วันนี้มีโอกาสได้ลองไปร่วมงานปั่น Car free day กับเค้าด้วยครับ
พูดกันตามตรงคือจริงๆผมไม่รู้สึกสนใจ และช่วงหลังผมไม่ชอบปั่นกลุ่มใหญ่ๆ
แต่ขอลองดูครับเพราะผมก็มองเหมือนกันว่าปัญหาจราจรบ้านเรามันวิกฤติแล้วล่ะ
ผมให้มุมมองสองแง่แบบสั้น ดอกไม้กับก้อนอิฐครับ
ดอกไม้
ผมมองว่างาน car free day มีความจำเป็นต้องจัดขึ้นถึงแม้ว่าเราจะมองว่ามันเละเทะก็ตามที
เพราะไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่รู้สึกอะไรกันเลย ว่าทำไมเราจึงควรลดการใช้รถส่วนตัวลงบ้าง เพราะ
ไม่มีข่าวช่วยบอกยิ่งกับชนชาติที่อ่านหนังสือน้อยแล้วยังไงก็ต้องมีงานแบบนี้ช่วยเตือนจิตสำนึก
อยู่เป็นระยะ ไม่รู้มีใครทันยุคสมัยที่เรามีงานปิดถนนเพื่อเดินพาเหรดทางวัฒนธรรมบ้างครับ
เช่นงานสีลม มาดริกา หรือขบวนแห่รถบุปชาติในวันปิยะ สังเกตุไหมครับเดี่ยวนี้งานพวกนี้
หายไปแล้วเพราะเราบอกเกิดปัญหารถติดชาวบ้านโวยวาย
สิ่งที่ตามมาที่เราอาจจะเริ่มลืมเลือนคือความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมเราเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ
ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือปัญหาที่ควบคุมไม่ได้เริ่มมีมากขึ้นตาม เราจะเห็นได้จากวัยรุ่นยุคใหม่
ฟุ๊งเฟ้อ ไม่สู้งาน ชอบอะไรแบบสำเร็จรูป ขาดความสามารถในการคิดและวิเคราะห์ลงเรื่อยๆ
ก้อนอิฐ
งานเละมากและเรียกได้ว่าสารที่ต้องการจะสื่อเมื่อไปถึงนักปั่นที่มาร่วมงานแล้วมันผิดประเด็นไปเลย
กลายเป็นประเด็นงานอวดจักรยานกันแทนช่วยกันสร้างจิตสำนึก มาเพราะอยากสนุกและได้ของแจก
มากกว่าหรือโชว์พาวกลุ่มไม่ได้ร่วมแสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน
ซึ่งผมก็แตกมุมมองได้สองด้านแต่ผมเลือกวิเคราะห์ในด้านดอกไม้มากกว่าก้อนอิฐนะครับ
คืออย่างน้อยก็รวมคนมาร่วมมือกันได้ขนาดนี้ ต่อให้ภาพรวมยังดูไม่มีประสิทธิภาพในการสร้างจิตสำนึกได้
แต่สักวันมันก็อาจจะค่อยๆซึมซับไปเรื่อยๆ จิตสำนึกของคนทั้งเมืองนี่ไม่ใช่มาร่วมงานครั้งเดียวกลับไป
บรรลุเลยไม่มีทาง เพราะจิตสำนึกเมืองต้องมาจากการร่วมกันสร้างในหลายมิติมากกว่าแค่งานๆเดียวหรือหน่วยงาน
ใดหน่วยงานหนึ่งจะรับผิดชอบได้
ถ้างานครั้งนี้มันเละ โดนด่า ไม่ได้ผล เอาตรงๆผมก็มองว่าเผางบประมานไปสูญเปล่าเหมือนกัน
แต่ไม่ทำเลยไม่ได้ สิ่งที่ถูกคือถ้ามันเละก็ทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่บอกไม่ทำอีกแล้ว
แต่ถ้าทีมเดียวทำอะไรที่ไร้ประสิทธิภาพซ้ำซากก็ต้องปรับเปลี่ยนทีมใหม่มาดูแล
สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือนอกจากรณรงค์เผางบแบบสนุกมือแล้ว
ทำยังไงให้คนใช้จักรยานหรือบริการรถสาธารณะต่างๆรู้สึกปลอดภัยก่อน
เพราะขนาดผมปั่นเป็นประจำมาก่อน ตั้งแต่โดนรถชนมาล่าสุดผมก็แหยงครับ
เริ่มไม่ไว้ใจความปลอดภัยบนท้องถนนในกรุงเทพแล้ว
การจะเปลี่ยนเมืองต้องค่อยๆแก้ปัญหาทีละจุด
แต่ต้องลงมือทำ และทำให้เป็นด้วย
ถึงผมจะเฉยๆค่อนไปทางไม่ชอบ แต่ถ้ามีอีกและไม่ติดธุระอะไรผมก็จะมาร่วมด้วย
เพราะถ้าอยากให้อะไรมันเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนด้วยตัวเราเองก่อน
บ้านเรานักวิจารณ์ดีเด่นมีมากพอแล้ว มาช่วยกันเพิ่มนักลงมือปฏิบัติกันดีกว่าครับ
ครั้งแรกของผมกับ Bangkok Car free day
พูดกันตามตรงคือจริงๆผมไม่รู้สึกสนใจ และช่วงหลังผมไม่ชอบปั่นกลุ่มใหญ่ๆ
แต่ขอลองดูครับเพราะผมก็มองเหมือนกันว่าปัญหาจราจรบ้านเรามันวิกฤติแล้วล่ะ
ผมให้มุมมองสองแง่แบบสั้น ดอกไม้กับก้อนอิฐครับ
ดอกไม้
ผมมองว่างาน car free day มีความจำเป็นต้องจัดขึ้นถึงแม้ว่าเราจะมองว่ามันเละเทะก็ตามที
เพราะไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่รู้สึกอะไรกันเลย ว่าทำไมเราจึงควรลดการใช้รถส่วนตัวลงบ้าง เพราะ
ไม่มีข่าวช่วยบอกยิ่งกับชนชาติที่อ่านหนังสือน้อยแล้วยังไงก็ต้องมีงานแบบนี้ช่วยเตือนจิตสำนึก
อยู่เป็นระยะ ไม่รู้มีใครทันยุคสมัยที่เรามีงานปิดถนนเพื่อเดินพาเหรดทางวัฒนธรรมบ้างครับ
เช่นงานสีลม มาดริกา หรือขบวนแห่รถบุปชาติในวันปิยะ สังเกตุไหมครับเดี่ยวนี้งานพวกนี้
หายไปแล้วเพราะเราบอกเกิดปัญหารถติดชาวบ้านโวยวาย
สิ่งที่ตามมาที่เราอาจจะเริ่มลืมเลือนคือความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมเราเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ
ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือปัญหาที่ควบคุมไม่ได้เริ่มมีมากขึ้นตาม เราจะเห็นได้จากวัยรุ่นยุคใหม่
ฟุ๊งเฟ้อ ไม่สู้งาน ชอบอะไรแบบสำเร็จรูป ขาดความสามารถในการคิดและวิเคราะห์ลงเรื่อยๆ
ก้อนอิฐ
งานเละมากและเรียกได้ว่าสารที่ต้องการจะสื่อเมื่อไปถึงนักปั่นที่มาร่วมงานแล้วมันผิดประเด็นไปเลย
กลายเป็นประเด็นงานอวดจักรยานกันแทนช่วยกันสร้างจิตสำนึก มาเพราะอยากสนุกและได้ของแจก
มากกว่าหรือโชว์พาวกลุ่มไม่ได้ร่วมแสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน
ซึ่งผมก็แตกมุมมองได้สองด้านแต่ผมเลือกวิเคราะห์ในด้านดอกไม้มากกว่าก้อนอิฐนะครับ
คืออย่างน้อยก็รวมคนมาร่วมมือกันได้ขนาดนี้ ต่อให้ภาพรวมยังดูไม่มีประสิทธิภาพในการสร้างจิตสำนึกได้
แต่สักวันมันก็อาจจะค่อยๆซึมซับไปเรื่อยๆ จิตสำนึกของคนทั้งเมืองนี่ไม่ใช่มาร่วมงานครั้งเดียวกลับไป
บรรลุเลยไม่มีทาง เพราะจิตสำนึกเมืองต้องมาจากการร่วมกันสร้างในหลายมิติมากกว่าแค่งานๆเดียวหรือหน่วยงาน
ใดหน่วยงานหนึ่งจะรับผิดชอบได้
ถ้างานครั้งนี้มันเละ โดนด่า ไม่ได้ผล เอาตรงๆผมก็มองว่าเผางบประมานไปสูญเปล่าเหมือนกัน
แต่ไม่ทำเลยไม่ได้ สิ่งที่ถูกคือถ้ามันเละก็ทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่บอกไม่ทำอีกแล้ว
แต่ถ้าทีมเดียวทำอะไรที่ไร้ประสิทธิภาพซ้ำซากก็ต้องปรับเปลี่ยนทีมใหม่มาดูแล
สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือนอกจากรณรงค์เผางบแบบสนุกมือแล้ว
ทำยังไงให้คนใช้จักรยานหรือบริการรถสาธารณะต่างๆรู้สึกปลอดภัยก่อน
เพราะขนาดผมปั่นเป็นประจำมาก่อน ตั้งแต่โดนรถชนมาล่าสุดผมก็แหยงครับ
เริ่มไม่ไว้ใจความปลอดภัยบนท้องถนนในกรุงเทพแล้ว
การจะเปลี่ยนเมืองต้องค่อยๆแก้ปัญหาทีละจุด
แต่ต้องลงมือทำ และทำให้เป็นด้วย
ถึงผมจะเฉยๆค่อนไปทางไม่ชอบ แต่ถ้ามีอีกและไม่ติดธุระอะไรผมก็จะมาร่วมด้วย
เพราะถ้าอยากให้อะไรมันเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนด้วยตัวเราเองก่อน
บ้านเรานักวิจารณ์ดีเด่นมีมากพอแล้ว มาช่วยกันเพิ่มนักลงมือปฏิบัติกันดีกว่าครับ