ต้องยอมรับครับว่าในระยะหลังมานี้มีกลุ่มผู้เสพหนังปริมาณไม่น้อยที่นิยมเลือกเสพหนังฟอร์มใหญ่ เทคนิค CG เลิศล้ำตระการตา ซึ่งส่วนตัวผมเองก็ชอบเช่นกัน เวลาอยากพักสมอง ดูแบบเพลิน ๆ รึดูเอามัน แต่แทบทุกเรื่องนั้นต้องทุ่มทุนสร้างมหาศาล และแน่นอนว่าการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง เมื่อทุนสูงขึ้น เป้าหมายรายได้ที่ควรเป็นจึงสูงปี๊ด... ส่งผลให้หนังฟอร์มยักษ์หลาย ๆ เรื่องไม่ได้ไปต่อ เพราะรายได้ไม่คุ้มทุนสร้างนั่นเอง
และอยู่ดี ๆ วันนี้ผมก็คิดถึงหนังเรื่องพวกนี้ขึ้นมา
John Carter (2012)

นักวิจารณ์บางส่วนมองว่าเหตุที่หนังไม่ประสบความสำเร็จเป็นเพราะบทที่ยังไม่ดี กับแผนการตลาดที่คลาดเป้า ส่วนตัวแล้วผมชอบงานออกแบบตัวละคร เทคนิค Computer Graphic ไปจนถึงเสียงและดนตรีประกอบที่ถือว่าทำออกมาได้ดีพอสมควร และด้วยจุดอ่อนที่มีกับทุนสร้างที่หนักอึ้งถึง 250 ล้านเหรียญฯ รวมกับค่าอื่น ๆ อาทิเช่น งบด้านการตลาดราว 100 ล้านเหรียญฯ หนังก็ยังขาดทุนอยู่ถึง 200 ล้านเหรียญฯ ทำให้ผู้สร้างอย่าง Disney ต้องเจ็บตัวหนัก John Carter จึงไม่ได้ไปต่อ
Prince of Persia: The Sands of Time (2010)

หนังที่ดัดแปลงมาจากเกมส์ด้วยทุนสร้างถึง 200 ล้านเหรียญฯ หรือมูลค่าหนังราว 300 ล้านเหรียญฯ เมื่อรวมกับค่ากระบวนการต่าง ๆ และทำรายได้รวมราว 336 ล้านเหรียญฯ ซึ่งก็ไม่ถือว่าล้มเหลวซะทีเดียว แต่ด้วยความที่ Disney นั้นคาดหวังสูงมากกว่านี้ และตั้งใจที่จะนำไปเป็นทุนสร้างภาคต่อ ก็เป็นอันว่าต้องผิดหวังตามกันไป
The Last Airbender (2010)

ดูเหมือนจะเป็นช่วงขาลงของผู้กำกับ M. Night จริง ๆ ที่แม้หนังจะมีเทคนิคการสร้างภาพพิเศษน่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งทาง Paramount ก็หวังจะให้เป็นหนังภาคต่อที่เลอค่า แต่หนังก็ยังสอบตกในส่วนของบท บ้างก็ว่า Casting ไม่ดีด้วย เรื่องนี้ใช้ทุนสร้างราว 150 ล้านเหรียญฯ ทำรายได้ทั่วโลกได้ดี แต่ประสบความล้มเหลวในสหรัฐประกอบกับคำวิจารณ์ในแง่ลบทำให้หนังภาคต่อนั้นต้องยุติลง และมีข่าวว่าพี่ M. Night น้อยอกน้อยใจจะกลับไปทำหนังสยองขวัญเหมือนเดิมแล้วนะ เอาแบบ Signs อะไรอย่างนี้
The Golden Compass (2007)

เรื่องนี้ผมชอบพี่หมีใหญ่มาก ๆ ใช้ทุนสร้างราว 180 ล้านเหรียญฯ ซึ่ง New Line วางไว้ว่าจะให้เดินรอยตาม Narnia กันเลย อุตส่าห์ได้ Nicole Kidman มานำแสดง ทำรายได้ทั่วโลกถล่มทลายถึง 372 ล้านเหรียญฯ แต่ในอเมริกาแทบจะหาทุนคืนไม่ได้ เพราะมีประเด็นโดนต่อต้านทางด้านศาสนา เนื่องจากผู้ประพันธ์นิยายได้ชื่อว่าเป็นผู้ต่อต้านศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกอย่างเปิดเผย และต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ จึงทำให้ในเนื้อหาของบทประพันธ์มีเรื่องของศาสนาและการเมืองสอดแทรกอยู่ ประกอบกับช่วงนั้นฐานะทางการเงินของ New Line ก็ระส่ำระส่ายจนต้องไปซบอก Warner Bros ในภายหลัง ก็เลยเป็นอันจบกัน เข็มทิศทองคําไม่ได้แสดงอภินิหารซะแล้ว
Eragon (2006)

20th Century Fox ใช้ทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญฯ สร้างรายได้จากทั่วโลกได้ราว 249 ล้านเหรียญฯ แต่ทาง Fox ก็ยังไม่กล้าสร้างภาค 2 ต่อ เพราะรายได้ที่สหรัฐฯ ทำได้เพียง 75 ล้านเหรียญฯ และผลตอบรับก็ไม่ดีอีกด้วย พี่มังกรเลยต้องพับปีกกลับเข้าถ้ำ อดบินผงาดฟ้าเลย
ทั้งหมดนี้เป็นหนังที่เราคงไม่ได้ดูภาคต่อกันแล้ว น่าเสียดายมาก ถ้าดูจากภาพรวมแล้ว หนังเหล่านี้น่าจะมีปัญหาจากการลงทุนที่ทุ่มไว้สูงลิ่วเกินไปนั่นเอง แต่ก็ไม่รู้ว่า ถ้าลดทุนสร้างหนังลงไปแล้วมันจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ก็ต้องขอเป็นกำลังใจให้ทีมสร้างหนังทั้งเก่าและใหม่ ที่จะได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของรุ่นพี่ แล้วสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ ออกมาให้พวกเราได้เสพกันอีกนะครับ รอชม...
ปล. มีหนังดีเรื่องไหนที่ไม่ประสบความสำเร็จอีกบ้าง? ใครมีข้อมูลลองเอามาแบ่งปันกันนะครับ
คิดถึงหนังใหญ่ ที่ไม่ได้ไปต่อ
และอยู่ดี ๆ วันนี้ผมก็คิดถึงหนังเรื่องพวกนี้ขึ้นมา
John Carter (2012)
นักวิจารณ์บางส่วนมองว่าเหตุที่หนังไม่ประสบความสำเร็จเป็นเพราะบทที่ยังไม่ดี กับแผนการตลาดที่คลาดเป้า ส่วนตัวแล้วผมชอบงานออกแบบตัวละคร เทคนิค Computer Graphic ไปจนถึงเสียงและดนตรีประกอบที่ถือว่าทำออกมาได้ดีพอสมควร และด้วยจุดอ่อนที่มีกับทุนสร้างที่หนักอึ้งถึง 250 ล้านเหรียญฯ รวมกับค่าอื่น ๆ อาทิเช่น งบด้านการตลาดราว 100 ล้านเหรียญฯ หนังก็ยังขาดทุนอยู่ถึง 200 ล้านเหรียญฯ ทำให้ผู้สร้างอย่าง Disney ต้องเจ็บตัวหนัก John Carter จึงไม่ได้ไปต่อ
Prince of Persia: The Sands of Time (2010)
หนังที่ดัดแปลงมาจากเกมส์ด้วยทุนสร้างถึง 200 ล้านเหรียญฯ หรือมูลค่าหนังราว 300 ล้านเหรียญฯ เมื่อรวมกับค่ากระบวนการต่าง ๆ และทำรายได้รวมราว 336 ล้านเหรียญฯ ซึ่งก็ไม่ถือว่าล้มเหลวซะทีเดียว แต่ด้วยความที่ Disney นั้นคาดหวังสูงมากกว่านี้ และตั้งใจที่จะนำไปเป็นทุนสร้างภาคต่อ ก็เป็นอันว่าต้องผิดหวังตามกันไป
The Last Airbender (2010)
ดูเหมือนจะเป็นช่วงขาลงของผู้กำกับ M. Night จริง ๆ ที่แม้หนังจะมีเทคนิคการสร้างภาพพิเศษน่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งทาง Paramount ก็หวังจะให้เป็นหนังภาคต่อที่เลอค่า แต่หนังก็ยังสอบตกในส่วนของบท บ้างก็ว่า Casting ไม่ดีด้วย เรื่องนี้ใช้ทุนสร้างราว 150 ล้านเหรียญฯ ทำรายได้ทั่วโลกได้ดี แต่ประสบความล้มเหลวในสหรัฐประกอบกับคำวิจารณ์ในแง่ลบทำให้หนังภาคต่อนั้นต้องยุติลง และมีข่าวว่าพี่ M. Night น้อยอกน้อยใจจะกลับไปทำหนังสยองขวัญเหมือนเดิมแล้วนะ เอาแบบ Signs อะไรอย่างนี้
The Golden Compass (2007)
เรื่องนี้ผมชอบพี่หมีใหญ่มาก ๆ ใช้ทุนสร้างราว 180 ล้านเหรียญฯ ซึ่ง New Line วางไว้ว่าจะให้เดินรอยตาม Narnia กันเลย อุตส่าห์ได้ Nicole Kidman มานำแสดง ทำรายได้ทั่วโลกถล่มทลายถึง 372 ล้านเหรียญฯ แต่ในอเมริกาแทบจะหาทุนคืนไม่ได้ เพราะมีประเด็นโดนต่อต้านทางด้านศาสนา เนื่องจากผู้ประพันธ์นิยายได้ชื่อว่าเป็นผู้ต่อต้านศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกอย่างเปิดเผย และต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ จึงทำให้ในเนื้อหาของบทประพันธ์มีเรื่องของศาสนาและการเมืองสอดแทรกอยู่ ประกอบกับช่วงนั้นฐานะทางการเงินของ New Line ก็ระส่ำระส่ายจนต้องไปซบอก Warner Bros ในภายหลัง ก็เลยเป็นอันจบกัน เข็มทิศทองคําไม่ได้แสดงอภินิหารซะแล้ว
Eragon (2006)
20th Century Fox ใช้ทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญฯ สร้างรายได้จากทั่วโลกได้ราว 249 ล้านเหรียญฯ แต่ทาง Fox ก็ยังไม่กล้าสร้างภาค 2 ต่อ เพราะรายได้ที่สหรัฐฯ ทำได้เพียง 75 ล้านเหรียญฯ และผลตอบรับก็ไม่ดีอีกด้วย พี่มังกรเลยต้องพับปีกกลับเข้าถ้ำ อดบินผงาดฟ้าเลย
ทั้งหมดนี้เป็นหนังที่เราคงไม่ได้ดูภาคต่อกันแล้ว น่าเสียดายมาก ถ้าดูจากภาพรวมแล้ว หนังเหล่านี้น่าจะมีปัญหาจากการลงทุนที่ทุ่มไว้สูงลิ่วเกินไปนั่นเอง แต่ก็ไม่รู้ว่า ถ้าลดทุนสร้างหนังลงไปแล้วมันจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ก็ต้องขอเป็นกำลังใจให้ทีมสร้างหนังทั้งเก่าและใหม่ ที่จะได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของรุ่นพี่ แล้วสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ ออกมาให้พวกเราได้เสพกันอีกนะครับ รอชม...
ปล. มีหนังดีเรื่องไหนที่ไม่ประสบความสำเร็จอีกบ้าง? ใครมีข้อมูลลองเอามาแบ่งปันกันนะครับ