ตามหาแท็กซี่ มีบางอย่างที่สำคัญ เราเผลอทิ้งไว้ในรถค่ะ
บอกก่อนนะคะว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง100%
อ้างอิงสถานที่และเวลาได้
เรายืมล๊อกอินเพื่อนมาโพสค่ะ
วันนี้เราเจอเรื่องหนักมาก มากเท่าที่ชีวิตคนคนนึง...จะเจอได้
ส่วนหนึ่งเรื่องเลวร้ายนี้
เกิดจากตัวเราเองเป็นส่วนประกอบ และอีกส่วนคือส่วนที่เราควบคุมไม่ได้
เพราะเกิดจากอีกฝ่ายกระทำกับเรา
เราเจ็บเราจุกเรากระอักกระอวน
อยากร้องไห้แต่ ร้องไม่ไหว รู้สึกแย่และอ่อนแอมากแล้ว ไม่อยากซ้ำเติมตัวเองด้วยการร้องไห้อีก
จริงๆการร้องไห้มันไม่แย่...
แต่เราเองเลือกจะเก็บกลั้นมันเอาไว้
เวลาประมาณ 21.45น.
เราโบกแท็กซี่คันหนึ่งจากสถานที่หนึ่ง
ซึ่งเราขอไม่บอกว่าที่ไหน เพื่อความปลอดภัยของเราในบางส่วน
เราแจ้งปลายทางให้ไปส่งในอีกจุดที่ห่างออกไปมาก คนละฝั่ง...
วันนี้...เราไม่ได้จำอะไรเลย
ว่ารถสีอะไรทะเบียนเลขอะไร
และคนขับชื่ออะไร
แต่ถ้าจำไม่ผิด คิดว่าน่าจะสีชมพู
แต่ในเรื่องราวที่จะเล่า ถ้าหากเป็นพี่แท็กซี่คันนั้น
เค้าน่าจะรู้ได้ทันทีเลยว่า เป็นเรา
เค้าจะรู้ว่าเป็นคนมาส่งเรา
ระหว่างทาง
เราคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ส่วนใหญ่นั่งสะท้อนเรื่องราวหดหู่ของตัวเองอยู่ กำลังจะไม่ไหว กำลังจะเบะ และน้ำตาปริ่มๆจะไหล คิดว่าไม่เกิน3วิ
เราจะบอกพี่แท็กซี่ว่าขอโทษ หนูขออนุญาติปล่อยโฮร้องไห้บนรถพี่นะคะ ทนรำคราญหนูแปบนึง ถึงบ้านก็ไม่เจอกันแล้ว แล้วปล่อยโหซะให้สิ้นซากความเจ็บปวดไป แต่ยังไม่ทันอ้าปากบอกว่าขอโทษ
พี่โชเฟอร์ก็ถามเราว่า เราไปทำอะไรตรงนั้น ทำไมถึงไปเรียกรถตรงนั้น...
ตอนนั้นเราชะงักและตกใจมาก
พี่เค้ารู้อะไรเกี่ยวกับตรงนั้นหรือเปล่า?
หรืออะไรยังไง ส่วนลึกในใจสุดๆเลยคือ
กลัวเค้าจะรู้ว่าเราไปทำอะไรตรงนั้น
พอคิดอีกที คิดว่าคงไม่เกี่ยว
เราน่าจะกระวนกระวายและเชื่อมโยงเรื่องไปเอง เลยถามหยั่งเชิงไปก่อนว่า...
ทำไมหรอค่ะ? ตรงนั้นมีอะไรหรอ?
เราเห็นพี่เค้าก็ชะงักกับคำถามอันดูวิตกจริตของเราผ่านกระจกหลัง แล้วตอบเราว่า "เปล่าไม่มีอะไร คือมาทำอะไร ไกลจากบ้านมากเลย"
เราโล่งอก เราคิดมากไปเอง
จากนั้นพี่แท็กซี่ชวนคุยเป็นระยะ...
เราเองรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
อยากชวนคุยเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะคุยอะไร แต่รู้สึกว่า อยู่ตรงนี้รู้สึกสบายใจ ไม่อยากปล่อยช่วงไว้ให้เงียบ แต่ก็เงียบเป็นระยะ
ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเส้นทาง
พี่แท็กซี่ปรึกษาว่าให้ไปส่งเส้นไหนดี
ใจจริงเราอยากให้ไปทางลัดแต่มันเปลี่ยวมากๆ เราเองน่ะไม่กลัว เพราะขับรถเองผ่านทางนั้นเป็นปรกติทั้งกลางวันกลางคืน เป็นพื้นที่เปลี่ยวที่ไม่มีอาชญากรรมเลย เราค่อนข้างมั่นใจ เพราะอยู่มานาน เรากลับกลัวแท็กซี่ไม่สบายใจตอนไปส่งมากกว่า เลยให้อ้อมไปอีกนิดดีกว่า
จนผ่านโซนหนึ่งซึ่งใกล้บ้านเราแล้ว
เป็นถนนที่สวยที่สุดในประเทศ
ตรงนั้นถนนมีรถจอดแปลกๆตามข้างทาง มีเด็กแว้นซ์ก่อหวอด และกระบะติดเครื่องเสียงจอดเรียงกันเป็นระยะ เราก็คุยกันไปว่า แถวนี้มีแต่เรื่องอันตราย
พี่แท็กซี่เล่าว่า แถวนี้10กว่าปีก่อนเคยมีหมูจุ่มเรียงราย มีคนมาตีบงตีแบตเต็มเลย
และตอนที่ผ่านคลองทวีฯ
พี่เค้าเล่าว่า เมื่อก่อน คลองนี้มีเสน่ห์มาก
เพราะมีวิถีชีวิตชาวบ้านที่ยังใช้คลองอยู่ เช่นพวกคนทอดแห่หาปลาหรือว่ามีบ้านที่ยกย่อดักปลา
เรานึกถึงภาพตัวเอง10กว่าปีก่อนขึ้นมาทันที ครั้งนึง เราเคยปั่นจักรยานจากบ้านไปสนามหลวง2กับเพื่อน 5คน เป็นการปั่นไปไกลจากบ้านมากๆครั้งแรก พวกเราเหนื่อยมากแต่ก็สนุกมาก ผ่านทุ่งนาที่ยังมีคนปลูกข้าวอยู่มากมาย
ที่คลองทวีฯสมัยนั้น มีย่อดักปลาเยอะมากจริงๆ
มากกว่าตอนนี้ มีคนพายเรือ มีคนหาปลา
และได้ปั่นจักรยานตามรถไก่ปิ้ง มันสนุกมากจริงๆวันนั้น
"เออใช่ๆพี่ สมัยนั้นหนูเคยเห็นย่อดักปลาเยอะเลยมีคนทอดแห่ หนูเคยพายเรือเด็ดดอกบัวกับเพื่อนที่คลองนี้เลยแหละ บ้านเพื่อนอยู่ติดคลอง
สมัยนั้นนะมีทุ่งนาเต็มเลย
เออ...ตอนนี้ก็ยังมีนะ หนูเห็นเหลืออยู่ผืนนึงที่สนามหลวง2
เคยไปนั่งกินข้าวแล้วถ่ายรูปให้เพื่อนดู
มีแต่คนถามว่านี่แกบ้านอยู่กรุงเทพฯจริงๆใช่มั้ย ทำไมมีทุ่งนา 5555 หนูคิดว่ามันอาจจะเป็นนาผืนสุดท้ายของเขตทวีฯก็ได้นะ เพราะไม่เห็นผืนอื่นแล้ว"
เราเล่าจ้อเลย...
นึกถึงแล้วมีความสุขมากจริงๆ
ตอนนี้เราเริ่มอยากรู้จักพี่แท็กซี่ละ
ว่าเค้าเป็นใครชื่ออะไร
เราพยายามดูชื่อ แต่มองไม่เห็น รถวิ่งไวและถนนมืดมาก
เลยหันกลับมาจะบันทึกทะเบียน
แล้วค่อยไปค้นชื่อ คงพอทำได้
อาจเป็นการโทรไปแจ้งศูนย์ว่า
ทะเบียนนี้ บริการดีมาก
เหตุผลที่คนเราควรจำ
ชื่อคนขับกับทะเบียนรถ
คงมีแค่นี้ เพื่อความปลอดภัย
และเพื่อแจ้งพฤติกรรม ซึ่งในที่นี่เป็นแง่ที่ดี
แต่...ไม่รู้ทำไม ส่วนนึงในใจกลับบอกว่า
ไม่จำดีกว่า ไม่อยากรู้แล้วว่าเค้าเป็นใคร
เรามีเรื่องเลวร้ายที่หอบขึ้นรถมา
แล้วเราตั้งใจว่าจะทิ้งเรื่องนี้ให้หายไป
กับรถพี่เค้าเลย เพราะเวลาเรานั่งแท็กซี่
จะมีใครบ้างบังเอิญได้เจอรถคันเดิมอีก
โอกาสเป็นไปได้น้อยมาก อีกทั้งเส้นทางที่เรียกมา ไม่ใช่เส้นทางประจำ
เราคงไม่เจอกันอีก ไม่มีทาง
อย่างนั้น...ตอนนี้ เราค่อนข้างมั่นใจ
ว่าเราปลอดภัยแน่ๆ
เมื่อเดินทางกับแท็กซี่คันนี้ เพราะอีกไม่นานก็จะถึงจุดหมายแล้ว
ก็อย่าไปจำชื่อกับทะเบียนรถเลย
ปล่อยให้หายไปกับเรื่องเรา คงดีกว่า
เราเลยโยนโทรศัพท์ใส่กระเป๋า
แล้วเลิกสนใจมันทันที
ตลอดการเดินทาง เราไม่รู้สึกอยากเล่นโทรศัพท์เลยจริงๆ
"โหหรอ...งั้นแถวนี้ก็เชยสิ...
แถวบ้านผมรามอินทรา ทุ่งนาเต็มเลย
แล้วเป็นนาที่ราคาแพงมาก ผืนละเป็นร้อย...ร้อยล้าน..."
พี่เค้าเล่ายาวเลย ประมาณว่า...
(เอาที่พอจำได้จับใจความได้นะ)
แถวบ้านพี่เค้าที่รามอินทรา
ยังเหลือที่ดินที่ทำนากันเยอะอยู่ แล้วสมัยนี้ค่าที่แถวนั้นก็แพง คิดดูว่านาแต่ละผืนจะราคาเท่าไหน เรียกได้ว่า ที่แพงมันคือราคาที่ดิน
ส่วนข้าวขายได้อาจจะเป็นรายได้ขำๆ
ของเจ้าของที่ไปเลย
"โหพี่...งี้ก็ชาวนาร้อยล้านเลยดิ"
"เออใช่...ชาวนาร้อยล้าน555"
พี่แท็กซี่หัวเราะ
แล้วก็เล่าถึงเจ้าของที่ดินหลายคน
ที่พี่เค้ารู้จัก เป็นเศรษฐีที่ดินราคาสูง
แต่สุดประหลาดที่รวยเป็นล้าน แต่ทำตัวจ้นจน...
เช่นคุณลุงเก็บขวดขาย
ที่ปล่อยที่ดินให้ห้างสีเขียวเช่า ย้ำว่าให้เช่า ไม่ขายนะจ้ะ
แต่กระนั้นคุณลุงก็ยังมาเก็บขวดขาย
คนต่อมาก็คุณยายขายขนมกล้วย
(มั้งนะถ้าจำไม่ผิดหรือขนมต้ม?)
ที่ก็รวยเป็นล้านเหมือนกัน
แต่อันนี้เราจำไม่ได้ว่ารวยเพราะอะไร ขายที่หรือให้เช่าที่นี่แหละ
แต่ก็มาขายขนมแก้เหงา
และยังอยู่บ้านเก่าๆทำตัวจนๆ เขียมกับเรื่องการอยู่การกิน
แต่วันดีคืนดีก็ซื้อความสุขให้ตัวเองบ้าง
ด้วยการควักเงินแสน จ้างวงลิเกลูกทุ่งสุดฮอท
ขอเป็นพระเอกในหัวใจเธอ~ มาขับกล่อมคุณยายให้บันเทิงใจ
แบบใครอยากดูมั้ย ยายไม่สน ยายอยากดูยายก็จ้างมา
"บางวันนะ ผมจะซื้อขนมยายก็แบบ หุยซื้อขนมคนรวย5555 ไม่อยากซื้อเลย"
ละก็คุณลุงกระเป๋าผ้า
ตาไม่ดีขับรถไม่ไหวแล้ว
ที่แต่งตัวโทรมๆถือถุงผ้าไปมา คนไม่รู้ก็จะนึกไม่ถึงหรอกว่าแกรวย
(ที่มาของการรวยจำไม่ได้ฟังไม่ถนัด)
วันนึง แกเรียกรถพี่แท็กซี่ ไปส่งที่เควิลเลทสุขุมวิท คุยไปคุยมาลุงบอกว่า วันนี้เพื่อนชวนไปดูรถ...รถลัมโบกินี่
"เชรดดดดดดดดลัมโบกินี่..."
เราร้องเชรดแบบตื่นเต้นสุดๆ555
"ช่ายยยย ลุงไปดูรถ รถลัมโบกินี่"
พี่แท็กซี่เล่าต่อว่า แกบอกว่าแต่แกไม่ได้ขับรถแล้ว ตาไม่ดีเพราะสมัยหนุ่มๆขับรถเร็ว
(มันเกี่ยวไรว้าาา???)
แต่แกก็มีรถคัมรี่คือเปลี่ยนรถแพงๆมาใช้รถบ้านอย่างคัมรี่หมด(คัมรี่รถบ้านตรงไหนค่ะพี่!!!)
"ผมชอบแกนะ คำพูดเค้ามันดูเป็นคนมีความรู้"
"ใช่ๆๆพี่"
แล้วเราก็เล่าต่อประมาณว่า คนที่เค้ารวยๆหนูจะเจออย่างนี้ละ
2แบบ คือรวยเพราะเขียมเก็บๆๆหาเก็บ
หรืออีกแบบก็รวยเพราะฉลาดแบบขยันหา รู้จักต่อยอดเงิน
เอาเงินไปลงทุนให้งอกเงยอะไรแบบนี้ ซึ่งคนแบบนี้หนูจะชอบเรียนรู้เรื่องราว
เค้ามากว่าแบบเค้ารวยมายังไง
คำพูดเค้าจะฉลาด ฟังดูมีความรู้จริง
ไม่ขี้อวดขี้โอ้ คือฟังแล้วรู้สึกได้เลย
ละจะเคยเจอที่แบบ...
จริงๆเค้าไม่มีหรอกแต่พูดอวดว่ามี
โอ้ว่ามีเจอประจำเลย พูดแบบว่าดูฉลาด แต่จริงๆไม่ใช่อะ...อันนี้เราก็รู้สึกได้
อย่างมีหนนึงนะ พี่แท็กซี่นี่แหละเล่า
เค้าเล่าอวดหนูว่าเค้าหาเงินได้เดือนละ
เป็นแสนเดือนที่แล้วได้แปดแสน ได้มาจากการเล่นหวยใต้ดิน วิธีเค้าคือมาวิเคราะห์หาความน่าจะเป็น
แล้วเค้าก็ถูกทุกงวดเลย
หนูว่ามันก็เป็นไปได้ แต่ไม่น่าจะทั้งหมดของเรื่องที่เค้าเล่า
และหนูคิดว่า เค้าไม่น่าพูดแบบเหมือนเปิดกระเป๋าตังให้คนอื่นฟังแบบนี้ พูดเลยนะว่าถ้าหนูเป็นโจร หนูจะปล้นเค้าแบบไม่ต้องคิดเยอะเลย
จริงๆ อันตรายมากแท็กซี่ไม่น่าเล่าอวด
แบบนั้น แต่หนูฟังเฉยๆนะ ไม่ได้ตอบโต้อะไรเค้า แบบว่าเออ สบายใจอยากเล่าก็เล่าไป...
อะหนูจะฟังละกันให้พี่สบายจายยย
"เอาช่ายยย บางคนนะ พูดอวดซะขึ้นรถเรามา พูดซะเรากลายเป็นธุลีดินเลย
แล้วบางคนนะอวดว่ามีแต่จริงๆบ่มีไก๋
แต่ดีแล้วแหละ ที่เราไม่ไปตอบอะไรเค้า อยู่เฉยๆ เราเป็นผู้หญิงด้วย เดินทางอย่างนี้มันอันตราย"
อะไรประมาณนี้
ช่วงประโยคสุดท้าย
ทำเราน้ำตาคลอเลยนะ...
มีคนไม่มองว่าถ้าเราไม่สวย
แล้วไม่ต้องกลัวอันตรายด้วย?
จริงๆหรอเนี้ยะ?
นอกจากพ่อกับเพื่อนสนิทแล้ว
ไม่เคยมีผู้ชายพูดเป็นห่วงเรา
เรื่องนี้มาก่อนเลยจริงๆเราสาบานได้
ทั้งชีวิตมีแต่ถูกล้อว่า
ไปไหนก็ปลอดภัยแน่เพราะไม่สวย
(โปรดอย่าโยงการเมือง กราบบบบ
เรื่องอคติต่อผู้หญิงที่ไม่สวยจะไม่ต้องกลัวอันตรายเป็นอคติฝังหัวชายไทยบางส่วนมาอย่างช้านาน เราโดนมาทั้งชีวิต)
มาถึงตรงนี้ คุณอาจจะรู้สึกว่า
เราคุยกันเยอะมาก
และนานขนาดนั้นเลยหรอ
ใช่ค่ะ นานเพราะระยะทางไกลมากๆ
ตอนที่มาถึงเรื่องอวดรวย
เราเข้าซอยบ้านมาละ อีกไม่เกิน10นาทีจะถึงหน้าบ้าน
ตลอดระยะเวลาสนทนานั้น เราลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไปหมดสิ้นเลย ลืมสนิทว่าครึ่งชั่วโมงก่อน
ไปเจออะไรมา ตอนนี้เรานั่งมองต้นแขนพี่โชเฟอร์
แล้วรู้สึกแปลกๆ ทำไมรู้สึกปลอดภัย
และอุ่นใจได้ขนาดนั้น...
(ที่มองต้นแขน เพราะเราขี้เกียจเงยหน้ามองพี่เค้าผ่านกระจกมองหลัง)
อีกไม่ถึง3นาที
รถจะถึงหน้าบ้านเราแล้ว
เรามีคำพูดบ้างอย่างอยู่ในใจ
แต่ก็พูดพึมพำกับตัวเองออกมาแทนว่า
"บ้าไปแล้ว"
ใช่คิดแบบนี้ได้ เราเป็นบ้าไปแล้ว
หมาเห่ารถเราทันทีที่ผ่าน
"มันเห่าอะไรของมัน มันไม่เคยเห็นรถหรอ" พี่แท็กซี่พูดขำๆ
"อ่อ มันมารับหนู

" เราพูดไปขณะควักเงิน 207 บาท
ตามมิตเตอร์
เวลา 22.05น.
เรายื่นเงิน 207 บาทให้พี่แท็กซี่
ก่อนบอกลาด้วยคำพูดสุดท้ายว่า
"โชคดีนะคะ

"
ไม่มีอะไร มากไปกว่านั้น
รู้สึกสบายใจ
เราเดินเข้าบ้านมา
โดยมีหมาที่มาเห่ารับเมื่อกี้
เดินมาส่งเป็นเพื่อน
เราอาบน้ำและเข้าห้องนอน...
เมื่ออยู่คนเดียว เรื่องเก่าๆกลับมาทำร้ายเราทันที
ทั้งที่นอนดูซีรี่ย์ฮอโมน
แต่เนื้อเรื่องวันนี้ยิ่งทำให้เราอิน
จนร้องไห้ฟูมฟายไปตามน้องออย
ในตอนจบ มันสะเทือนใจ
สักพัก...เราเริ่มรู้สึกว่า...
มีบางอย่างแปลกไป เรื่องเก่าที่เข้ามาทำร้ายกลับหายไปเมื่อนึกถึงเรื่องราวในรถแท็กซี่...
ทำไมนึกถึงแล้วรู้สึกดี
เราโยนบางอย่างทิ้งไปในรถคันนั้น
แต่มันมีบางอย่างเกิดขึ้นใหม่
กับระหว่างทางนั้นด้วย
สิ่งนั้นเองที่เราทำหายในรถแท็กซี่
เราอยากตามหาแท็กซี่
ที่คืนวันที่ 20 กันยายน 57
รับเรามาเวลา 21.45น.โดยประมาณ
ขออนุญาติไม่ระบุสถานที่รับตรงนี้
ส่งที่ซอยเพชรเกษมแห่งหนึ่ง
ระหว่างทางเข้ามาทางสาย3
และทะลุถนนอักษะมา
ถึงที่หมายเวลาประมาณ 4ทุ่ม
สีไม่แน่ใจระหว่างเขียวเหลืองหรือชมพู
ค่าโดยสาร 207 บาท จ่ายแบงค์100ไป2ใบ
เหรียญ5 และอีก2บาท
ใจเย็นๆนะคะทุกคน
เราเปล่าจะจีบพี่แท็กซี่...
เรามีแควนแย้ว
แต่เราอยากแค่บอกพี่เค้าว่า
"ขอบคุณ"
สำหรับการบริการที่ดีในคืนนี้
ในคืนที่มนุษย์คนหนึ่ง เจอเรื่องเลวร้ายสุดๆ
จากคนเลวร้ายสุดๆ
แต่กลับรู้สึกดีขึ้นได้
เพราะการสนทนาไร้สาระ
ที่คุยเป็นเพื่อนมาตลอดทาง
ใครที่กำลังอ่านอยู่แล้วรู้สึกว่า
กะอีแค่คุยกับแท็กซี่มันวิเศษ
ขนาดนั้นเลยหรอ?
คุณจะไม่มีทางเข้าใจค่ะ
ถ้าไม่เคยเจอเรื่องแย่ๆ
แต่มีคนมาช่วยเราไว้ให้ผ่านพ้นมาได้
ขอบคุณค่ะ
ตามหาแท็กซี่ มีบางอย่างที่สำคัญ เราเผลอทิ้งไว้ในรถค่ะ
บอกก่อนนะคะว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง100%
อ้างอิงสถานที่และเวลาได้
เรายืมล๊อกอินเพื่อนมาโพสค่ะ
วันนี้เราเจอเรื่องหนักมาก มากเท่าที่ชีวิตคนคนนึง...จะเจอได้
ส่วนหนึ่งเรื่องเลวร้ายนี้
เกิดจากตัวเราเองเป็นส่วนประกอบ และอีกส่วนคือส่วนที่เราควบคุมไม่ได้
เพราะเกิดจากอีกฝ่ายกระทำกับเรา
เราเจ็บเราจุกเรากระอักกระอวน
อยากร้องไห้แต่ ร้องไม่ไหว รู้สึกแย่และอ่อนแอมากแล้ว ไม่อยากซ้ำเติมตัวเองด้วยการร้องไห้อีก
จริงๆการร้องไห้มันไม่แย่...
แต่เราเองเลือกจะเก็บกลั้นมันเอาไว้
เวลาประมาณ 21.45น.
เราโบกแท็กซี่คันหนึ่งจากสถานที่หนึ่ง
ซึ่งเราขอไม่บอกว่าที่ไหน เพื่อความปลอดภัยของเราในบางส่วน
เราแจ้งปลายทางให้ไปส่งในอีกจุดที่ห่างออกไปมาก คนละฝั่ง...
วันนี้...เราไม่ได้จำอะไรเลย
ว่ารถสีอะไรทะเบียนเลขอะไร
และคนขับชื่ออะไร
แต่ถ้าจำไม่ผิด คิดว่าน่าจะสีชมพู
แต่ในเรื่องราวที่จะเล่า ถ้าหากเป็นพี่แท็กซี่คันนั้น
เค้าน่าจะรู้ได้ทันทีเลยว่า เป็นเรา
เค้าจะรู้ว่าเป็นคนมาส่งเรา
ระหว่างทาง
เราคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ส่วนใหญ่นั่งสะท้อนเรื่องราวหดหู่ของตัวเองอยู่ กำลังจะไม่ไหว กำลังจะเบะ และน้ำตาปริ่มๆจะไหล คิดว่าไม่เกิน3วิ
เราจะบอกพี่แท็กซี่ว่าขอโทษ หนูขออนุญาติปล่อยโฮร้องไห้บนรถพี่นะคะ ทนรำคราญหนูแปบนึง ถึงบ้านก็ไม่เจอกันแล้ว แล้วปล่อยโหซะให้สิ้นซากความเจ็บปวดไป แต่ยังไม่ทันอ้าปากบอกว่าขอโทษ
พี่โชเฟอร์ก็ถามเราว่า เราไปทำอะไรตรงนั้น ทำไมถึงไปเรียกรถตรงนั้น...
ตอนนั้นเราชะงักและตกใจมาก
พี่เค้ารู้อะไรเกี่ยวกับตรงนั้นหรือเปล่า?
หรืออะไรยังไง ส่วนลึกในใจสุดๆเลยคือ
กลัวเค้าจะรู้ว่าเราไปทำอะไรตรงนั้น
พอคิดอีกที คิดว่าคงไม่เกี่ยว
เราน่าจะกระวนกระวายและเชื่อมโยงเรื่องไปเอง เลยถามหยั่งเชิงไปก่อนว่า...
ทำไมหรอค่ะ? ตรงนั้นมีอะไรหรอ?
เราเห็นพี่เค้าก็ชะงักกับคำถามอันดูวิตกจริตของเราผ่านกระจกหลัง แล้วตอบเราว่า "เปล่าไม่มีอะไร คือมาทำอะไร ไกลจากบ้านมากเลย"
เราโล่งอก เราคิดมากไปเอง
จากนั้นพี่แท็กซี่ชวนคุยเป็นระยะ...
เราเองรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
อยากชวนคุยเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะคุยอะไร แต่รู้สึกว่า อยู่ตรงนี้รู้สึกสบายใจ ไม่อยากปล่อยช่วงไว้ให้เงียบ แต่ก็เงียบเป็นระยะ
ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเส้นทาง
พี่แท็กซี่ปรึกษาว่าให้ไปส่งเส้นไหนดี
ใจจริงเราอยากให้ไปทางลัดแต่มันเปลี่ยวมากๆ เราเองน่ะไม่กลัว เพราะขับรถเองผ่านทางนั้นเป็นปรกติทั้งกลางวันกลางคืน เป็นพื้นที่เปลี่ยวที่ไม่มีอาชญากรรมเลย เราค่อนข้างมั่นใจ เพราะอยู่มานาน เรากลับกลัวแท็กซี่ไม่สบายใจตอนไปส่งมากกว่า เลยให้อ้อมไปอีกนิดดีกว่า
จนผ่านโซนหนึ่งซึ่งใกล้บ้านเราแล้ว
เป็นถนนที่สวยที่สุดในประเทศ
ตรงนั้นถนนมีรถจอดแปลกๆตามข้างทาง มีเด็กแว้นซ์ก่อหวอด และกระบะติดเครื่องเสียงจอดเรียงกันเป็นระยะ เราก็คุยกันไปว่า แถวนี้มีแต่เรื่องอันตราย
พี่แท็กซี่เล่าว่า แถวนี้10กว่าปีก่อนเคยมีหมูจุ่มเรียงราย มีคนมาตีบงตีแบตเต็มเลย
และตอนที่ผ่านคลองทวีฯ
พี่เค้าเล่าว่า เมื่อก่อน คลองนี้มีเสน่ห์มาก
เพราะมีวิถีชีวิตชาวบ้านที่ยังใช้คลองอยู่ เช่นพวกคนทอดแห่หาปลาหรือว่ามีบ้านที่ยกย่อดักปลา
เรานึกถึงภาพตัวเอง10กว่าปีก่อนขึ้นมาทันที ครั้งนึง เราเคยปั่นจักรยานจากบ้านไปสนามหลวง2กับเพื่อน 5คน เป็นการปั่นไปไกลจากบ้านมากๆครั้งแรก พวกเราเหนื่อยมากแต่ก็สนุกมาก ผ่านทุ่งนาที่ยังมีคนปลูกข้าวอยู่มากมาย
ที่คลองทวีฯสมัยนั้น มีย่อดักปลาเยอะมากจริงๆ
มากกว่าตอนนี้ มีคนพายเรือ มีคนหาปลา
และได้ปั่นจักรยานตามรถไก่ปิ้ง มันสนุกมากจริงๆวันนั้น
"เออใช่ๆพี่ สมัยนั้นหนูเคยเห็นย่อดักปลาเยอะเลยมีคนทอดแห่ หนูเคยพายเรือเด็ดดอกบัวกับเพื่อนที่คลองนี้เลยแหละ บ้านเพื่อนอยู่ติดคลอง
สมัยนั้นนะมีทุ่งนาเต็มเลย
เออ...ตอนนี้ก็ยังมีนะ หนูเห็นเหลืออยู่ผืนนึงที่สนามหลวง2
เคยไปนั่งกินข้าวแล้วถ่ายรูปให้เพื่อนดู
มีแต่คนถามว่านี่แกบ้านอยู่กรุงเทพฯจริงๆใช่มั้ย ทำไมมีทุ่งนา 5555 หนูคิดว่ามันอาจจะเป็นนาผืนสุดท้ายของเขตทวีฯก็ได้นะ เพราะไม่เห็นผืนอื่นแล้ว"
เราเล่าจ้อเลย...
นึกถึงแล้วมีความสุขมากจริงๆ
ตอนนี้เราเริ่มอยากรู้จักพี่แท็กซี่ละ
ว่าเค้าเป็นใครชื่ออะไร
เราพยายามดูชื่อ แต่มองไม่เห็น รถวิ่งไวและถนนมืดมาก
เลยหันกลับมาจะบันทึกทะเบียน
แล้วค่อยไปค้นชื่อ คงพอทำได้
อาจเป็นการโทรไปแจ้งศูนย์ว่า
ทะเบียนนี้ บริการดีมาก
เหตุผลที่คนเราควรจำ
ชื่อคนขับกับทะเบียนรถ
คงมีแค่นี้ เพื่อความปลอดภัย
และเพื่อแจ้งพฤติกรรม ซึ่งในที่นี่เป็นแง่ที่ดี
แต่...ไม่รู้ทำไม ส่วนนึงในใจกลับบอกว่า
ไม่จำดีกว่า ไม่อยากรู้แล้วว่าเค้าเป็นใคร
เรามีเรื่องเลวร้ายที่หอบขึ้นรถมา
แล้วเราตั้งใจว่าจะทิ้งเรื่องนี้ให้หายไป
กับรถพี่เค้าเลย เพราะเวลาเรานั่งแท็กซี่
จะมีใครบ้างบังเอิญได้เจอรถคันเดิมอีก
โอกาสเป็นไปได้น้อยมาก อีกทั้งเส้นทางที่เรียกมา ไม่ใช่เส้นทางประจำ
เราคงไม่เจอกันอีก ไม่มีทาง
อย่างนั้น...ตอนนี้ เราค่อนข้างมั่นใจ
ว่าเราปลอดภัยแน่ๆ
เมื่อเดินทางกับแท็กซี่คันนี้ เพราะอีกไม่นานก็จะถึงจุดหมายแล้ว
ก็อย่าไปจำชื่อกับทะเบียนรถเลย
ปล่อยให้หายไปกับเรื่องเรา คงดีกว่า
เราเลยโยนโทรศัพท์ใส่กระเป๋า
แล้วเลิกสนใจมันทันที
ตลอดการเดินทาง เราไม่รู้สึกอยากเล่นโทรศัพท์เลยจริงๆ
"โหหรอ...งั้นแถวนี้ก็เชยสิ...
แถวบ้านผมรามอินทรา ทุ่งนาเต็มเลย
แล้วเป็นนาที่ราคาแพงมาก ผืนละเป็นร้อย...ร้อยล้าน..."
พี่เค้าเล่ายาวเลย ประมาณว่า...
(เอาที่พอจำได้จับใจความได้นะ)
แถวบ้านพี่เค้าที่รามอินทรา
ยังเหลือที่ดินที่ทำนากันเยอะอยู่ แล้วสมัยนี้ค่าที่แถวนั้นก็แพง คิดดูว่านาแต่ละผืนจะราคาเท่าไหน เรียกได้ว่า ที่แพงมันคือราคาที่ดิน
ส่วนข้าวขายได้อาจจะเป็นรายได้ขำๆ
ของเจ้าของที่ไปเลย
"โหพี่...งี้ก็ชาวนาร้อยล้านเลยดิ"
"เออใช่...ชาวนาร้อยล้าน555"
พี่แท็กซี่หัวเราะ
แล้วก็เล่าถึงเจ้าของที่ดินหลายคน
ที่พี่เค้ารู้จัก เป็นเศรษฐีที่ดินราคาสูง
แต่สุดประหลาดที่รวยเป็นล้าน แต่ทำตัวจ้นจน...
เช่นคุณลุงเก็บขวดขาย
ที่ปล่อยที่ดินให้ห้างสีเขียวเช่า ย้ำว่าให้เช่า ไม่ขายนะจ้ะ
แต่กระนั้นคุณลุงก็ยังมาเก็บขวดขาย
คนต่อมาก็คุณยายขายขนมกล้วย
(มั้งนะถ้าจำไม่ผิดหรือขนมต้ม?)
ที่ก็รวยเป็นล้านเหมือนกัน
แต่อันนี้เราจำไม่ได้ว่ารวยเพราะอะไร ขายที่หรือให้เช่าที่นี่แหละ
แต่ก็มาขายขนมแก้เหงา
และยังอยู่บ้านเก่าๆทำตัวจนๆ เขียมกับเรื่องการอยู่การกิน
แต่วันดีคืนดีก็ซื้อความสุขให้ตัวเองบ้าง
ด้วยการควักเงินแสน จ้างวงลิเกลูกทุ่งสุดฮอท
ขอเป็นพระเอกในหัวใจเธอ~ มาขับกล่อมคุณยายให้บันเทิงใจ
แบบใครอยากดูมั้ย ยายไม่สน ยายอยากดูยายก็จ้างมา
"บางวันนะ ผมจะซื้อขนมยายก็แบบ หุยซื้อขนมคนรวย5555 ไม่อยากซื้อเลย"
ละก็คุณลุงกระเป๋าผ้า
ตาไม่ดีขับรถไม่ไหวแล้ว
ที่แต่งตัวโทรมๆถือถุงผ้าไปมา คนไม่รู้ก็จะนึกไม่ถึงหรอกว่าแกรวย
(ที่มาของการรวยจำไม่ได้ฟังไม่ถนัด)
วันนึง แกเรียกรถพี่แท็กซี่ ไปส่งที่เควิลเลทสุขุมวิท คุยไปคุยมาลุงบอกว่า วันนี้เพื่อนชวนไปดูรถ...รถลัมโบกินี่
"เชรดดดดดดดดลัมโบกินี่..."
เราร้องเชรดแบบตื่นเต้นสุดๆ555
"ช่ายยยย ลุงไปดูรถ รถลัมโบกินี่"
พี่แท็กซี่เล่าต่อว่า แกบอกว่าแต่แกไม่ได้ขับรถแล้ว ตาไม่ดีเพราะสมัยหนุ่มๆขับรถเร็ว
(มันเกี่ยวไรว้าาา???)
แต่แกก็มีรถคัมรี่คือเปลี่ยนรถแพงๆมาใช้รถบ้านอย่างคัมรี่หมด(คัมรี่รถบ้านตรงไหนค่ะพี่!!!)
"ผมชอบแกนะ คำพูดเค้ามันดูเป็นคนมีความรู้"
"ใช่ๆๆพี่"
แล้วเราก็เล่าต่อประมาณว่า คนที่เค้ารวยๆหนูจะเจออย่างนี้ละ
2แบบ คือรวยเพราะเขียมเก็บๆๆหาเก็บ
หรืออีกแบบก็รวยเพราะฉลาดแบบขยันหา รู้จักต่อยอดเงิน
เอาเงินไปลงทุนให้งอกเงยอะไรแบบนี้ ซึ่งคนแบบนี้หนูจะชอบเรียนรู้เรื่องราว
เค้ามากว่าแบบเค้ารวยมายังไง
คำพูดเค้าจะฉลาด ฟังดูมีความรู้จริง
ไม่ขี้อวดขี้โอ้ คือฟังแล้วรู้สึกได้เลย
ละจะเคยเจอที่แบบ...
จริงๆเค้าไม่มีหรอกแต่พูดอวดว่ามี
โอ้ว่ามีเจอประจำเลย พูดแบบว่าดูฉลาด แต่จริงๆไม่ใช่อะ...อันนี้เราก็รู้สึกได้
อย่างมีหนนึงนะ พี่แท็กซี่นี่แหละเล่า
เค้าเล่าอวดหนูว่าเค้าหาเงินได้เดือนละ
เป็นแสนเดือนที่แล้วได้แปดแสน ได้มาจากการเล่นหวยใต้ดิน วิธีเค้าคือมาวิเคราะห์หาความน่าจะเป็น
แล้วเค้าก็ถูกทุกงวดเลย
หนูว่ามันก็เป็นไปได้ แต่ไม่น่าจะทั้งหมดของเรื่องที่เค้าเล่า
และหนูคิดว่า เค้าไม่น่าพูดแบบเหมือนเปิดกระเป๋าตังให้คนอื่นฟังแบบนี้ พูดเลยนะว่าถ้าหนูเป็นโจร หนูจะปล้นเค้าแบบไม่ต้องคิดเยอะเลย
จริงๆ อันตรายมากแท็กซี่ไม่น่าเล่าอวด
แบบนั้น แต่หนูฟังเฉยๆนะ ไม่ได้ตอบโต้อะไรเค้า แบบว่าเออ สบายใจอยากเล่าก็เล่าไป...
อะหนูจะฟังละกันให้พี่สบายจายยย
"เอาช่ายยย บางคนนะ พูดอวดซะขึ้นรถเรามา พูดซะเรากลายเป็นธุลีดินเลย
แล้วบางคนนะอวดว่ามีแต่จริงๆบ่มีไก๋
แต่ดีแล้วแหละ ที่เราไม่ไปตอบอะไรเค้า อยู่เฉยๆ เราเป็นผู้หญิงด้วย เดินทางอย่างนี้มันอันตราย"
อะไรประมาณนี้
ช่วงประโยคสุดท้าย
ทำเราน้ำตาคลอเลยนะ...
มีคนไม่มองว่าถ้าเราไม่สวย
แล้วไม่ต้องกลัวอันตรายด้วย?
จริงๆหรอเนี้ยะ?
นอกจากพ่อกับเพื่อนสนิทแล้ว
ไม่เคยมีผู้ชายพูดเป็นห่วงเรา
เรื่องนี้มาก่อนเลยจริงๆเราสาบานได้
ทั้งชีวิตมีแต่ถูกล้อว่า
ไปไหนก็ปลอดภัยแน่เพราะไม่สวย
(โปรดอย่าโยงการเมือง กราบบบบ
เรื่องอคติต่อผู้หญิงที่ไม่สวยจะไม่ต้องกลัวอันตรายเป็นอคติฝังหัวชายไทยบางส่วนมาอย่างช้านาน เราโดนมาทั้งชีวิต)
มาถึงตรงนี้ คุณอาจจะรู้สึกว่า
เราคุยกันเยอะมาก
และนานขนาดนั้นเลยหรอ
ใช่ค่ะ นานเพราะระยะทางไกลมากๆ
ตอนที่มาถึงเรื่องอวดรวย
เราเข้าซอยบ้านมาละ อีกไม่เกิน10นาทีจะถึงหน้าบ้าน
ตลอดระยะเวลาสนทนานั้น เราลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไปหมดสิ้นเลย ลืมสนิทว่าครึ่งชั่วโมงก่อน
ไปเจออะไรมา ตอนนี้เรานั่งมองต้นแขนพี่โชเฟอร์
แล้วรู้สึกแปลกๆ ทำไมรู้สึกปลอดภัย
และอุ่นใจได้ขนาดนั้น...
(ที่มองต้นแขน เพราะเราขี้เกียจเงยหน้ามองพี่เค้าผ่านกระจกมองหลัง)
อีกไม่ถึง3นาที
รถจะถึงหน้าบ้านเราแล้ว
เรามีคำพูดบ้างอย่างอยู่ในใจ
แต่ก็พูดพึมพำกับตัวเองออกมาแทนว่า
"บ้าไปแล้ว"
ใช่คิดแบบนี้ได้ เราเป็นบ้าไปแล้ว
หมาเห่ารถเราทันทีที่ผ่าน
"มันเห่าอะไรของมัน มันไม่เคยเห็นรถหรอ" พี่แท็กซี่พูดขำๆ
"อ่อ มันมารับหนู
ตามมิตเตอร์
เวลา 22.05น.
เรายื่นเงิน 207 บาทให้พี่แท็กซี่
ก่อนบอกลาด้วยคำพูดสุดท้ายว่า
"โชคดีนะคะ
ไม่มีอะไร มากไปกว่านั้น
รู้สึกสบายใจ
เราเดินเข้าบ้านมา
โดยมีหมาที่มาเห่ารับเมื่อกี้
เดินมาส่งเป็นเพื่อน
เราอาบน้ำและเข้าห้องนอน...
เมื่ออยู่คนเดียว เรื่องเก่าๆกลับมาทำร้ายเราทันที
ทั้งที่นอนดูซีรี่ย์ฮอโมน
แต่เนื้อเรื่องวันนี้ยิ่งทำให้เราอิน
จนร้องไห้ฟูมฟายไปตามน้องออย
ในตอนจบ มันสะเทือนใจ
สักพัก...เราเริ่มรู้สึกว่า...
มีบางอย่างแปลกไป เรื่องเก่าที่เข้ามาทำร้ายกลับหายไปเมื่อนึกถึงเรื่องราวในรถแท็กซี่...
ทำไมนึกถึงแล้วรู้สึกดี
เราโยนบางอย่างทิ้งไปในรถคันนั้น
แต่มันมีบางอย่างเกิดขึ้นใหม่
กับระหว่างทางนั้นด้วย
สิ่งนั้นเองที่เราทำหายในรถแท็กซี่
เราอยากตามหาแท็กซี่
ที่คืนวันที่ 20 กันยายน 57
รับเรามาเวลา 21.45น.โดยประมาณ
ขออนุญาติไม่ระบุสถานที่รับตรงนี้
ส่งที่ซอยเพชรเกษมแห่งหนึ่ง
ระหว่างทางเข้ามาทางสาย3
และทะลุถนนอักษะมา
ถึงที่หมายเวลาประมาณ 4ทุ่ม
สีไม่แน่ใจระหว่างเขียวเหลืองหรือชมพู
ค่าโดยสาร 207 บาท จ่ายแบงค์100ไป2ใบ
เหรียญ5 และอีก2บาท
ใจเย็นๆนะคะทุกคน
เราเปล่าจะจีบพี่แท็กซี่...
เรามีแควนแย้ว
แต่เราอยากแค่บอกพี่เค้าว่า
"ขอบคุณ"
สำหรับการบริการที่ดีในคืนนี้
ในคืนที่มนุษย์คนหนึ่ง เจอเรื่องเลวร้ายสุดๆ
จากคนเลวร้ายสุดๆ
แต่กลับรู้สึกดีขึ้นได้
เพราะการสนทนาไร้สาระ
ที่คุยเป็นเพื่อนมาตลอดทาง
ใครที่กำลังอ่านอยู่แล้วรู้สึกว่า
กะอีแค่คุยกับแท็กซี่มันวิเศษ
ขนาดนั้นเลยหรอ?
คุณจะไม่มีทางเข้าใจค่ะ
ถ้าไม่เคยเจอเรื่องแย่ๆ
แต่มีคนมาช่วยเราไว้ให้ผ่านพ้นมาได้
ขอบคุณค่ะ