"อภิสิทธิ์" แจงนโยบาย ครม.ด้านเศรษฐกิจ ชี้โอนภาษีช่วยคนจนต้องมีกลไกตรวจสอบ
แนะกำหนดมาตรการลดภาระด้านอื่น เตือน ห่วงกลายพันธุ์เป็น “ประชานิยม” แย้งหลัก
คิดตัวเอง ชี้จัดงบชำระหนี้จำนำข้าวปีละ 7 หมื่นล้าน แทนลากหนี้ยาว 30 ปี
วันที่ 19 กันยายน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนโยบาย
รัฐบาลเกี่ยวกับ “เศรษฐกิจดิจิดอล”ว่า เป็นทิศทางที่ต้องให้ภาคเศรษฐกิจที่สัมพันธ์กับ
เทคโนโลยีเติบโตขึ้น แต่จากแนวคิดนี้ไปสู่มาตรการที่จำเป็นจะต้องมองผลกระทบที่จะ
เกิดจากโครงสร้างใหญ่และประโยชน์ที่จะใช้จากเทคโนโลยีว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้หาก
ดำเนินการจริง ก็จะมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจได้หากทำเป็นระบบ
ส่วนนโยบายโอนภาษีช่วยคนจนที่จะต้องใช้เงินกว่า 5 หมื่นล้านบาทต่อปีนั้น หัวหน้าพรรค
ประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แนวคิดดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยมีการศึกษาเรื่องนี้ โดยเห็น
ว่าจะช่วยเป็นกลไกในการกระจายรายได้ สามารถดึงคนเข้าสู่ระบบภาษีได้ แต่ต้องระมัดระวัง
เพราะในอนาคตอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เป็นประชานิยมก็จะอันตรายมาก เนื่องจาก
จำนวนเงินที่ใช้สามารถเติบโตได้เร็ว ขณะเดียวกันก็ต้องสำรวจให้ชัดว่าคนพร้อมเข้าสู่ระบบ
ภาษีจริง และต้องมีกลไกที่จะไม่ให้เป็นเรื่องดุลพินิจของฝ่ายการเมืองหรือนโยบายที่จะเพิ่ม
อะไรได้ตามใจชอบ
“หลักคิดนี้ต้องยืนยันว่าให้เฉพาะคนทำงานไม่ใช่ให้คนที่อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทำงาน ซึ่งมีความ
พยายามเสนอใช้ในหลายประเทศ แต่ประเด็นสำคัญคือถ้าจะใช้กลไกนี้เป็นตัวหลักก็ต้องมี
คำตอบว่านโยบายที่จะช่วยผู้ด้อยโอกาสตรงไหนยังมีอยู่ หรือจะเลิกตรงไหน จึงจะเห็นความ
เป็นธรรมในภาพรวมได้ และต้องมีระบบตรวจสอบด้วย ผมได้ให้ข้อสังเกตกับกระทรวงการคลัง
ไปว่า มีความพร้อมแค่ไหนที่จะตรวจสอบเพราะหลายอาชีพได้รับการยกเว้นไม่อยู่ในระบบภาษี
และช่องว่างที่จะมีคนไม่ได้ทำงานเข้ามาใช้ประโยชน์ ซึ่งกระทรวงการคลังหวังเรื่องการนำคน
เข้าสู่ฐานภาษี หากพบว่ามีรายได้เมื่อไหร่ก็สามารถจัดเก็บได้ทันที” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เงินกว่าห้าหมื่นล้านที่จะใช้ในแต่ละปีกระทรวงการคลังคิดว่าคุ้มค่าใน
ระยะยาว แต่ตนเคยถามไปว่ามั่นใจได้จริงหรือไม่ เพราะถ้าจะทำเรื่องนี้โดยไม่ทบทวนเรื่อง
ความช่วยเหลือด้านอื่นไม่ได้ต้องเห็นภาพทั้งระบบว่าออกมาตรการนี้แล้วจะช่วยให้ภาระของ
รัฐลดลงหรือไม่ เนื่องจากผู้เสนอแนวคิดเรื่องนี้คิดว่าไม่ต้องไปช่วยเรื่องอื่นแล้วซึ่งเป็นไปได้ยาก
โดยคิดว่าหากมีระบบนี้แล้วอาจจะลดภาระการช่วยเหลือเกษตรกร หรือ ผู้ด้อยโอกาสอื่น จึง
ไม่ควรพิจารณามาตรการนี้เพียงอย่างเดียวแต่ต้องคิดถึงความพร้อมในแง่การปรับฐานการจัด
เก็บภาษีที่คิดว่าจะเพิ่มขึ้นมีมากน้อยแค่ไหน จะประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนอื่นจากการใช้เครื่องมือ
นี้มาช่วยคนที่มีรายได้น้อยอย่างไร
“สิ่งที่รัฐบาลบอกว่าการทำเรื่องนี้ไม่ใช่ประชานิยมเพราะไม่ได้ใช้งบประมาณคงไม่ถูกต้อง
เพราะการอ้างว่าเงินส่วนนี้หักไปก่อนที่จะเข้ามาเป็นรายได้ของรัฐแล้วบอกไม่ใช่เงินงบประมาณ
นั้นจะคิดอย่างนี้ไม่ได้ แม้ว่ามาตรการนี้จะมีเหตุผลในทางเศรษฐศาสตร์แต่ขอย้ำว่าต้องมาพร้อม
กับการปรับฐานการจัดเก็บภาษี ระบบตรวจสอบ และการลดภาระด้านอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย”
นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่หม่อมราชวงศ์ ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า มีแนวคิดที่จะยืดการชำระหนี้
โครงการจำนำข้าว 7 แสนล้านบาท ออกไป 30 ปีว่า ยังไม่ทราบเหตุผลว่าจะทำเพื่ออะไรแต่ต้อง
คิดถึงภาระดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นด้วย ซึ่งตนคิดว่าปัญหาของผู้ที่เข้ามาบริหารทั้งตอนนี้ และอีกหลายปี
ข้างหน้าปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาลไทยต้องชำระหนี้เหล่านี้ จึงต้องหาความสมดุลว่าอย่าให้เป็นภาระยาว
สะสม แต่อย่าให้กลายเป็นข้อจำกัดจนรัฐบาลไม่มีเงินในการบริหารได้เลยในช่วงสามสี่ปีข้างหน้า
ซึ่งตนคิดว่าหากจัดงบชำระหนี้ในวงเงิน 7 หมื่นล้านบาทต่อปีก็ควรทำ
และหากรัฐบาลชุดนี้สามารถทำให้เห็นได้ว่ามีการลดปัญหาการทุจริตได้ก็จะมีเงินมากพอที่จะลงทุน
มากกว่าจะไปตั้งเป้าผลักภาระหนี้ส่วนนี้ไปให้รัฐบาลในอนาคตรับผิดชอบแทน
http://www.thairath.co.th/content/451373
มาร์ค ชี้นโยบายโอนภาษีช่วยคนจนต้องตรวจสอบ ห่วงเป็น ประชานิยม ข่าวไทยรัฐออนไลน์
แนะกำหนดมาตรการลดภาระด้านอื่น เตือน ห่วงกลายพันธุ์เป็น “ประชานิยม” แย้งหลัก
คิดตัวเอง ชี้จัดงบชำระหนี้จำนำข้าวปีละ 7 หมื่นล้าน แทนลากหนี้ยาว 30 ปี
วันที่ 19 กันยายน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงนโยบาย
รัฐบาลเกี่ยวกับ “เศรษฐกิจดิจิดอล”ว่า เป็นทิศทางที่ต้องให้ภาคเศรษฐกิจที่สัมพันธ์กับ
เทคโนโลยีเติบโตขึ้น แต่จากแนวคิดนี้ไปสู่มาตรการที่จำเป็นจะต้องมองผลกระทบที่จะ
เกิดจากโครงสร้างใหญ่และประโยชน์ที่จะใช้จากเทคโนโลยีว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้หาก
ดำเนินการจริง ก็จะมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจได้หากทำเป็นระบบ
ส่วนนโยบายโอนภาษีช่วยคนจนที่จะต้องใช้เงินกว่า 5 หมื่นล้านบาทต่อปีนั้น หัวหน้าพรรค
ประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แนวคิดดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยมีการศึกษาเรื่องนี้ โดยเห็น
ว่าจะช่วยเป็นกลไกในการกระจายรายได้ สามารถดึงคนเข้าสู่ระบบภาษีได้ แต่ต้องระมัดระวัง
เพราะในอนาคตอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เป็นประชานิยมก็จะอันตรายมาก เนื่องจาก
จำนวนเงินที่ใช้สามารถเติบโตได้เร็ว ขณะเดียวกันก็ต้องสำรวจให้ชัดว่าคนพร้อมเข้าสู่ระบบ
ภาษีจริง และต้องมีกลไกที่จะไม่ให้เป็นเรื่องดุลพินิจของฝ่ายการเมืองหรือนโยบายที่จะเพิ่ม
อะไรได้ตามใจชอบ
“หลักคิดนี้ต้องยืนยันว่าให้เฉพาะคนทำงานไม่ใช่ให้คนที่อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ทำงาน ซึ่งมีความ
พยายามเสนอใช้ในหลายประเทศ แต่ประเด็นสำคัญคือถ้าจะใช้กลไกนี้เป็นตัวหลักก็ต้องมี
คำตอบว่านโยบายที่จะช่วยผู้ด้อยโอกาสตรงไหนยังมีอยู่ หรือจะเลิกตรงไหน จึงจะเห็นความ
เป็นธรรมในภาพรวมได้ และต้องมีระบบตรวจสอบด้วย ผมได้ให้ข้อสังเกตกับกระทรวงการคลัง
ไปว่า มีความพร้อมแค่ไหนที่จะตรวจสอบเพราะหลายอาชีพได้รับการยกเว้นไม่อยู่ในระบบภาษี
และช่องว่างที่จะมีคนไม่ได้ทำงานเข้ามาใช้ประโยชน์ ซึ่งกระทรวงการคลังหวังเรื่องการนำคน
เข้าสู่ฐานภาษี หากพบว่ามีรายได้เมื่อไหร่ก็สามารถจัดเก็บได้ทันที” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เงินกว่าห้าหมื่นล้านที่จะใช้ในแต่ละปีกระทรวงการคลังคิดว่าคุ้มค่าใน
ระยะยาว แต่ตนเคยถามไปว่ามั่นใจได้จริงหรือไม่ เพราะถ้าจะทำเรื่องนี้โดยไม่ทบทวนเรื่อง
ความช่วยเหลือด้านอื่นไม่ได้ต้องเห็นภาพทั้งระบบว่าออกมาตรการนี้แล้วจะช่วยให้ภาระของ
รัฐลดลงหรือไม่ เนื่องจากผู้เสนอแนวคิดเรื่องนี้คิดว่าไม่ต้องไปช่วยเรื่องอื่นแล้วซึ่งเป็นไปได้ยาก
โดยคิดว่าหากมีระบบนี้แล้วอาจจะลดภาระการช่วยเหลือเกษตรกร หรือ ผู้ด้อยโอกาสอื่น จึง
ไม่ควรพิจารณามาตรการนี้เพียงอย่างเดียวแต่ต้องคิดถึงความพร้อมในแง่การปรับฐานการจัด
เก็บภาษีที่คิดว่าจะเพิ่มขึ้นมีมากน้อยแค่ไหน จะประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนอื่นจากการใช้เครื่องมือ
นี้มาช่วยคนที่มีรายได้น้อยอย่างไร
“สิ่งที่รัฐบาลบอกว่าการทำเรื่องนี้ไม่ใช่ประชานิยมเพราะไม่ได้ใช้งบประมาณคงไม่ถูกต้อง
เพราะการอ้างว่าเงินส่วนนี้หักไปก่อนที่จะเข้ามาเป็นรายได้ของรัฐแล้วบอกไม่ใช่เงินงบประมาณ
นั้นจะคิดอย่างนี้ไม่ได้ แม้ว่ามาตรการนี้จะมีเหตุผลในทางเศรษฐศาสตร์แต่ขอย้ำว่าต้องมาพร้อม
กับการปรับฐานการจัดเก็บภาษี ระบบตรวจสอบ และการลดภาระด้านอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย”
นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่หม่อมราชวงศ์ ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า มีแนวคิดที่จะยืดการชำระหนี้
โครงการจำนำข้าว 7 แสนล้านบาท ออกไป 30 ปีว่า ยังไม่ทราบเหตุผลว่าจะทำเพื่ออะไรแต่ต้อง
คิดถึงภาระดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นด้วย ซึ่งตนคิดว่าปัญหาของผู้ที่เข้ามาบริหารทั้งตอนนี้ และอีกหลายปี
ข้างหน้าปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาลไทยต้องชำระหนี้เหล่านี้ จึงต้องหาความสมดุลว่าอย่าให้เป็นภาระยาว
สะสม แต่อย่าให้กลายเป็นข้อจำกัดจนรัฐบาลไม่มีเงินในการบริหารได้เลยในช่วงสามสี่ปีข้างหน้า
ซึ่งตนคิดว่าหากจัดงบชำระหนี้ในวงเงิน 7 หมื่นล้านบาทต่อปีก็ควรทำ
และหากรัฐบาลชุดนี้สามารถทำให้เห็นได้ว่ามีการลดปัญหาการทุจริตได้ก็จะมีเงินมากพอที่จะลงทุน
มากกว่าจะไปตั้งเป้าผลักภาระหนี้ส่วนนี้ไปให้รัฐบาลในอนาคตรับผิดชอบแทน
http://www.thairath.co.th/content/451373