แชร์ประสบการณ์ "จุดเปลี่ยนในชีวิต"

สวัสดีค่ะ

มีเรื่องดี ๆ (สำหรับตัวเอง) ในชีวิตที่อยากจะแบ่งปันให้กับเพื่อน ๆ หลายคน

เริ่มเลยละกัน  ตั้งแต่จำความได้ตัวเองเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจเท่าไหร่  ไปไหน ทำอะไรคนเดียวไม่ได้  แม้แต่ข้ามถนนถ้าไม่มีคนพาข้าม
หรือเพื่อนให้เกาะจะไม่กล้าเดินข้ามถนนเอง  สถานที่ไหนที่คนเยอะ ๆ จะไม่ชอบไป นิสัยแบบนี้ติดตัวไปจนถึงเรียนมหาวิทยาลัยปี 3
(นานมาก)  ป้าเค้าจะชอบถามว่าอยู่มหาวิทยาลัยไปเข้าค่ายอาสาฯ บ้างรึเปล่า  มันดีกับตัวเรานะ  จะได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะ  เม่ากิจกรรม
เราก็ตอบว่าไม่มีเพื่อนไป  ป้าเลยพูดว่า "เกิดมาก็ตัวคนเดียว ตายก็ตายคนเดียว เพื่อนหน่ะไปหาเอาข้างหน้าก็ได้"  (อันนี้ดอกแรกสำหรับจุดเปลี่ยน)

เริ่มคิด  แต่ก็ยังทำไม่ได้ เพราะด้วยความไม่มั่นใจมันเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองไปแล้ว  ต้องใช้เวลาและยาที่แรงกว่านีอีกหน่อย

จนกระทั่งจบปี 3 เป็นช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ที่จะต้องไปฝึกงานที่กรุงเทพฯ  (เราเรียนอยู่มหาวิทยาลัยทางภาคเหนือ)  ไปกับเพื่อนอีก 4 คน
รวมตัวเองเป็น 5 คน  ซึ่งเพื่อนที่ไปฝึกงานด้วยกันคนนึงเป็นคนหาที่ฝึกงานและที่พัก (ที่ฝึกงานแม่เพื่อนคนนี้ช่วยหาให้ ส่วนที่พักก็เป็น
บ้านญาติของเพื่อนคนนี้ (ไปแบบไม่ต้องเสียเงินค่าที่พัก  ดีจริง อะไรจริง)  แต่นี่แหล่ะที่เป็นจุดประเด็นปัญหาในภายหลัง
ต่อไปขอเรียกชื่อเพื่อนคนนี้ว่า "เปิ้ล"

แต่ด้วยความที่ว่าเราไปฝึกงานในช่วงที่ทางที่ฝึกงานซึ่งเป็นโรงงานทำเหล็กโรงงานนึงเค้ารับงานชิ้นนึงมาซึ่งเป็นงานที่ทำให้เรามีส่วน
ร่วมในการทำงานน้อยมาก  และไม่ค่อยเกี่ยวกับสาขาที่เราเรียนมาเลยทำให้เกิดอาการว่างงาน  ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากงานเอกสาร
ตามประสาเด็กน้อย  คิดยังไม่เยอะ  ทำให้เพื่อนบางคนเริ่มเกิดความเฉื่อยที่จะเรียนรู้อะไร  นอกจากทำงานเอกสารไปวัน ๆ  

ซึ่งเรารู้สึกเกรงใจเปิ้ลตรงที่ว่าแม่เค้าเป็นคนหาที่ฝึกงานนี้ให้ถ้าเราทำอะไรไม่ดี  มันจะเสียไปถึงแม่เปิ้ลด้วย  เรากับเปิ้ลเลยพยายาม
ที่จะออกไปนอกสำนักงาน  ไปดูพี่ ๆ ในโรงงานทำงาน  ไปคุย ไปพูด พยายาม active ตัวเองเพื่อไม่ให้คนอื่นเค้าว่าหรือพูดไม่ดี
กับสถาบันและแม่ของเปิ้ลที่ฝากให้มาฝึกงานที่นี่   ตัวเปิ้ลเองก็พยายามกระตุ้นเพื่อนอีก 3 คนที่เหลือ  แต่ไม่ได้ผลจึงทำให้เกิด
ความรู้สึกกินใจกันอยู่ลึก ๆ แต่ยังไม่แสดงออกมามากนัก  

จนกระทั่งวันนึง (จำเหตุการณ์แน่ๆ ไม่ค่อยได้)  ตอนเลิกงานเหมือนจะทะเลาะกันเล็ก ๆเรื่องที่เพื่อนเป็นแบบนี้ ทำให้เปิ้ลเสียใจและเดิน
จากโรงงานกลับบ้าน  (ปกติเวลาไปทำงานจะนั่งตุ๊ก ๆ ไป แต่ก็ไม่ไกลกันเท่าไหร่ระว่างบ้านกับที่ทำงาน)  ไม่ยอมพูดกับใคร  ตัวเรา
พยายามเดินไปปลอบเปิ้ล  และพยายามคุยกับเพื่อนอีก 3 คน  แต่อารมณ์นั้นมีแต่ความเงียบและมาคุเม่าฝนตก  จนในที่สุดพวกเรา
ทั้ง 5 คนก็เดินมาจนถึงบ้านพัก  ก็มานั่งเคลียร์ปัญหากันว่ามันเกิดอะไรขึ้น  เพื่อน ๆ อีก 3 คนก็บอกว่า "เราหน่ะอะไร ๆ ก็เปิ้ล  ทำตาม
เปิ้ล"  (ในอารมณ์นั้น  ตรูผิดอันใด  ทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีและถูก  แต่กลับเป็นแบบนี้ไป)  บทสรุปของวันนั้น  คือ  โอเค  เราไม่โกรธกัน
เราเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม  

แต่ก็อย่างว่านั่นแหล่ะ  มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  มันเกิดเป็นเหมือนช่องว่างบาง ๆ ระหว่างเปิ้ลกับเรา  และเพื่อนอีก 3 คนจนในที่สุด
เปิ้ลคงไปปรึกษาแม่  เลยได้ข้อสรุปว่า ไหน ๆ การฝึกงานครั้งนี้มันก็ไม่ใช่ตัวบังคับ  ไม่มีผลได้ผลเสียกับเกรดหรือการเรียนของเรา
และงานที่ฝึกก็ไม่มีอะไรมาก  จึงยุติการฝึกงานลงเพียงเท่านี้   พอดีว่าป้าเราอยู่กรุงเทพฯ  เลยโทรฯไปคุย  ป้าเลยบอกว่างั้นก็อยู่
กรุงเทพฯ อีกสักพักค่อยกลับ  เดี๋ยวป้าไปรับ  กลุ่มฝึกงาน 5 คนเลยสลายตัวกลับบ้านใครบ้านมัน  รอเปิดเทอมซัมเมอร์

เรื่องที่เกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ ตอนฝึกงานมันน่าจะจบแค่นี้  คนที่รู้เรื่องก็มีกันอยู่ 5 คน  ซึ่งบังเอิญว่าเพื่อนอีก 2 คนที่ไปฝึกงานพร้อมกัน
เรากับเค้าเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันซึ่งทั้งกลุ่มมีอยู่ 7 คน  และที่สำคัญกว่านั้น  1 ใน 2 คนนั้นเป็นรูมเมทของเรา  (เห็นลางอะไรรึเปล่า)

หลังจากเปิดเทอมซัมเมอร์  ด้วยความที่มีความในใจกันกับรูมเมทตั้งแต่ตอนฝึกงาน ทำให้ไม่สนิทใจกันจนนำไปสู่การแยกห้อง
ในที่สุดแต่ยังอยู่หอเดียวกัน   ระหว่างนั้นเรารู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเพื่อน ๆ ในกลุ่มที่เหลือ  เพราะตอนซัมเมอร์เราลงเรียนไม่กี่ตัว
และตัวเรียนที่ลง  ก็ลงเรียนพร้อมกับเพื่อนในกลุ่ม  แต่เราสังเกตุว่าเพื่อน ๆ ไม่มีใครมานั่งด้วย  ไม่คุยด้วย  ซึ่งถ้าเป็นปกติเรามักจะมี
นัดไปเม้าท์มอย  หรือไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันหลังเลิกเรียน  แต่คราวนี้ไม่มีและเป็นแบบนี้ทุกวัน   เราเลยเริ่มคิดได้ว่าเรื่องจากตอน
ฝึกงานมันคงไม่จบที่กรุงเทพฯ จริง ๆ นั่นแหล่ะ  เพราะตั้งแต่เคลียร์กันวันนั้นเราไม่เคยเล่าเรื่องนี้หรือไม่เคยมีใครมาถามความจริง
จากเราเลย

ตัวเราเองก็เลือกที่จะเงียบ  ไม่รื้อฟื้นและถามเพื่อน ๆ ว่าทำไม อะไร เกิดอะไรขึ้น  ซึ่งตลอดซัมเมอร์นั้นเราใช้ชีวิตตัวคนเดียว
ไปไหนมาไหนเอง  เพราะความจำเป็นบังคับ  ถ้าเราไม่ไปเราไม่ทำ  ใครจะทำ ใครจะช่วยเรา  จากที่ไม่มีความมั่นใจใจตัวเอง
ทำอะไรต้องพึ่งพาคนอื่นตลอด  กลายเป็นคนมั่นใจขึ้น  กล้าทำอะไรๆ ด้วยตัวเอง  อยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุข  เพราะเราไม่รู้ว่า
เราจะทุกข์ไปทำไม  เราไม่เคยร้องไห้เสียใจทีโดนเพื่อนทิ้งแม้แต่ครั้งเดียว  

หลังจากซัมเมอร์ผ่านไป  ใกล้จะเปิดเทอมปี 4 เราต้องจ่ายเงินค่าหอคนเดียวซึ่งจ่ายไม่ไหว (เราอยู่หอนอกมหาวิทยาลัยค่ะ)  และพอได้
ข่าวมาว่าหอพักในมหาวิทยาลัยมีที่ว่าง เลยเข้าไปขออาจารย์ที่หอพัก  แต่รูมเมทเราบังเอิญรู้  (แต่ไม่แน่ใจว่ารู้จากไหน)  เลยติดต่อมา
บอกว่ากลับมาอยู่ด้วยกันก็ได้นะ  ได้มีโอกาสคุยกัน (หลังจากไม่ได้คุยกันอยู่เป็นเทอม)  เลยตัดสินใจกลับไปอยู่ด้วยกันอีกที  

ส่วนเพื่อนๆ คนอื่นพอเปิดเทอมปี  4 ได้มีโอกาสคุยกันเยอะขึ้น  เพราะตัวเรียนมันตรงกันทุกตัว  เห็นหน้ากันทุกวัน  เลยมีโอกาสได้คุย
เรื่องนี้แบบอ้อม ๆ มีเพื่อนคนนึงพูดขึ้นมาว่า " เราเกือบจะเกลียดเธอแล้วหล่ะ  จากเรื่องฝึกงาน" (ซึ่งเพื่อนคนนี้ไม่ใช่คนที่ไปฝึกงานด้วยกัน)

ในใจลึก ๆ เราไม่เคยโกรธเพื่อนที่ทำแบบนี้  อาจจะมีแอบน้อยใจว่า ทำไมไม่มาถามเราสักคำ  แต่ถ้าไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น   เราก็จะ
ยังเป็นคนแหย ๆ ไม่มั่นใจ  ทำอะไรเองไม่ได้  ไม่กล้าไปหมดทุกเรื่อง  และเราคงจะรับมือกับชีวิตทำงานที่เราได้เจอหลังจากเรียนจบไม่ได้

ซึ่งเราถือว่า  มันคือจุดเปลี่ยนในชีวิตที่สำคัญจุดนึงของเรา  และเป็นจุดเปลี่ยนแรกก่อนจะมีจุดเปลี่ยนอีกจุดตอนทำงานแล้ว

แล้วเพื่อนๆ หล่ะคะ  มีจุดเปลี่ยนในชีวิตที่เป็นประสบการณ์ในชีวิตอะไรมาแชร์กันบ้างคะเม่าติดดอย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่