ความฝันที่ผมจะเล่าถึงก็คือ...
การมีรถหรูๆใช้สักคัน...
ความฝันนี้ของผมมีมาตั้งแต่ผมยังอยู่ในท้องแม่ (แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ตั้งท้องผม แม่เอาแต่ดูรถทั้งวัน แทนที่จะดูละคร เพราะปกติแม่ผมเป็นคนติดละครมาก) และเมื่อผมลืมตาดูโลกจนถึงช่วงจำความได้ก็มีของเล่น ส่วนมากก็เป็นพวกรถบังคับ ทั้งแบบจับรถถอยหลังแล้วปล่อยแล้วมันจะวิ่ง (ประมาณไขลานนั่นแหละครับ โบราณมาก555) และแบบบังคับด้วยรีโมท พอโตขึ้นมาอีกหน่อยมีตังค่าขนม ก็เอาไปซื้อโปสเตอร์รถมาติดในห้องนอน ช่วงไหนงบหมดก็ปริ้นจากคอมมาติดเอา เวลาปริ้นรูปรถมา ก็โดนแม่ด่าอีก เพราะเปลืองหมึกเครื่องปริ้น (แม่ผมเป็นคนประหยัดมากคิดทุกบาททุก "สตางค์" จริงๆ เห้อออ555)
พอโตขึ้นมาถึงตอนวัยรุ่น (ขอเล่าลัดมาตอนวัยรุ่นเลยนะครับ เพราะตอนผมเด็กๆ ก็เล่นรถบังคับอะไรไปตามประสานั่นแหละ) มีอากู๋ "Google" & "Youtube" กำเนิดมาก็เปิดเข้าไปดูเค้ารีวิวรถ ดูรูปรถ ดูเทคโนโลยีของรถต่างๆ พวกคอนเซ็ปต์คาร์ รถสปอร์ต บลาๆๆ ก็ดูมันมาเรื่อยๆ ติดตามอัพเดตข่าวสารตลอด ผมดูข้อมูลพวกนี้มากกว่าอ่านหนังสือเตรียมสอบซะอีก55555 (คือช่วงสอบก็อ่านบ้าง แต่ในสมองมีเรื่องพวกนี้มากกว่าข้อมูลที่จะใช้สอบซะอีก) จนช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อนๆเค้าพากันอ่านหนังสือเตรียมสอบกันให้วุ่นกลัวสอบไม่ติด แต่!!! ไอ้กระผมก็สนอยู่นะ555 เพื่อนนัดไปติวก็ไป แต่พอกลับมาบ้านเท่านั้นแหละ...ก็กระโจนไปที่โน้ตบุคเพื่อเล่นเกมแข่งรถเล้ยย!!! คือ...ไอ้ที่ไปติวมา ไม่ได้อยู่ในหัวสมองเลยย คิดแต่ว่า...ด่านนั้น ด่านนี้กูจะผ่านมันยังไงว้าา คอมเล่นเก่ง

เบียดซ้ายเบียดขวา คิดอยู่แค่นั้น วันไหนว่างๆก็โดดเข้าหน้าจอโน้ตบุคเพื่อเล่นเกมแข่งรถ
(ขอเล่าถึงประวัติโน้ตบุคนึดนึงนะครับ)...ไอ้โน้ตบุคเพื่อนยากของผมที่ผมใช้เล่นเกมเนี่ยย มันคือเงินเก็บทั้งหมดที่ผมเก็บมาตั้งแต่เกิด ผมซื้อโน้ตบุคตัวนี้ตอนอยู่ม.5 เล่น

แต่เกม เล่นไปได้ปีนึง...เมนบอร์ดไหม้เลยครับบ!!! จอ บอ !!! คือกดปุ่มเปิดเครื่องไม่ได้เลย ไฟไม่เข้าเลย ดับสนิท!!! พอเอาไปร้านให้เค้าซ่อม เค้าบอกอะไหล่มันแพงมาก คือถ้าจะเปลี่ยน ร้านซ่อมเค้าบอกต้องเสีย 5000 บาท เลยจำใจต้องปล่อยมัน ให้เป็นที่ทับกระดาษไป แต่ผมก็ยังโชคดีที่พี่สาวผมมีโน้ตบุคที่พี่แกไม่ใช้แล้ว เลยได้มาใช้แก้ขัดไปก่อน (สเปคไม่ถึง เล่นเกมไม่ได้ด้วยที่สำคัญ อึดอัดมาก ณ ตอนนั้น!!!555

) แต่โน้ตบุคเพื่อนยากของผมก็ฟื้นชีพอีกครั้งหลังจากที่เป็นที่ทับกระดาษมา 3 ปี เมื่อผมลองเอาไปซ่อมที่พันธุ์ทิพย์ เสียตังไป 2000 บาท อ้ากกกกกก !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ดีใจมากกกกกกกก !!!!!!!!!!!!!!!!!!! 5555
และแล้วผลจากการที่ผมเล่นแต่เกมก็ปรากฎ!!...ผมสอบไม่ติดสักที่ แต่ดีที่ผมเล่นกีฬา เลยได้ทุนกีฬาที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง เลยรอดตัวไป แต่ความฝันมันก็คือความฝันเนอะ คนมันมีใจรัก ก็ยังดูไปเรื่อยๆ อัพเดตตลอด พอมีแอพ "Instagram" ก็ฟอลแต่ค่ายรถสปอร์ต&คนที่มีรถหรูๆ (&สาวๆด้วยนิสนึง555) มีงานมอเตอร์โชว์ที่ไหนก็ไปมันซะทุกที่ งานมอเตอร์โชว์ครั้งแรกที่ผมได้ไปดู คืองาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 31 ที่จัดที่ไบเทค บางนา ผมตื่นเต้นมาก เพราะเราเป็นไอ้บ้านนอกคนนึง เคยเห็นรถแพงๆ รถหรูๆ รถสปอร์ตแต่ในจอ พอได้มาเจอของจริง มันเป็นอะไรที่...ฟินมากก!!!
พอช่วงมหาลัยปี 3 ก็มีฟีลลิ่งอยากหางานเกี่ยวกับรถหรูๆทำ ผมไม่เกี่ยงเลยนะว่าจะเป็นตำแหน่งอะไร ขอแค่ได้อยู่ใกล้ๆพวกเทพบุตรสุดแรงพวกนี้เป็นพอ จนได้มาเจอบริษัทนำเข้ารถเจ้านึง ย่านศรีนครินทร์ เปิดรับสมัครพนักงาน ผมเลยลองไปสมัครดู พอไปถึงโชว์รูม ไอ้เราก็เคยไปสมัครงานเองครั้งแรกเนอะ ก็ป้ำๆเป๋อๆ เดินไปถามพี่ยามหน้าโชว์รูม..."พี่ครับ ผมมาสมัครงานครับ"...พี่ยามแกก็พาผมเข้าไปหลังโชว์รูม แม่เจ้า!!! มีทั้ง Lamborghini gallado , aventador , aston martin , bentley จอดอยู่ ผมก็ได้แต่ยืนมอง ด้วยความตกตะลึง และตกอยู่ในภวังค์ ละพี่ยามแกก็ทำให้ผมหลุดจากภวังค์ด้วยการบอกผมว่า..."น้อง! นั่งรอพี่เค้าตรงเก้าอี้นี้นะ!"... ผมก็นั่งรอไป สักพักก็มีคนมาเรียกผมเข้าไปในโชว์รูมที่เต็มไปด้วยรถในฝันของผมทั้งนั้น ไอ้เราก็ด้วยความรักและอยากดูใกล้ๆ ก็เลยเดินเข้าไปดู ...
จังหวะนี้แหละ กำลังจะเข้าไปใกล้รถ มีผู้ชายคนนึงอายุราวๆ 40 (ดูจากการแต่งตัวน่าจะเป็นช่าง) พูดเสียงดังขึ้นมาประโยคนึง ประโยคนี้แหละที่ทำให้ผมอึ้ง&ผิดหวัง น้าแกพูดว่า..."น้องๆ ๆ !!! นั่งอยู่กับที่ด้วยคับ อย่าเข้าใกล้รถ!"... ผมคิดในใจ คือแบบว่า ...เห้ยย แค่จะดู ยังไม่ได้แตะรถคุณเลยครับ อะไรจะกลัวเปื้อน กลัวผมทำเลอะหรือไง คือไอ้เราตอนจะเดินเข้าไปดูก็เอามือไขว้หลังด้วยนะ เก็บมือสุดฤทธิ์ แต่นี้คืออะไร แค่ดูก็ไม่ให้ดูเลยหรอ เฟลมากก! ณ ตอนนั้น สักพักก็มีพี่ผู้หญิงคนนึงเอาใบสมัคร&ใบถามความเห็นของเราที่มีต่องาน ...ผมก็เขียนไปตามที่คิด คือ..."สมัครตำแหน่งพนักงานขายประจำโชว์รูมหรือตำแหน่งอื่นที่บริษัทเห็นสมควร"... (อย่างที่ผมบอกข้างบน คือผมทำตำแหน่งอะไรก็ได้ ขอให้ได้ใกล้ชิดความฝันของผมก็พอ) พอเขียนอะไรเสร็จเรียบร้อย พี่ผู้หญิงก็เดินมาบอกว่า ..."เดี๋ยวทางเราจะติดต่อกลับไปนะ"... ผมก็ตอบรับและเดินออกจากโชว์รูมนี้ด้วยความเฟลอย่างมาก คือแบบ อะไรกันเนี่ยย แค่ดูยังไม่ได้เลยหรอ และพนักงานในโชว์รูมก็ไม่เป็นมิตรเอาซะเลย ผมยิ้มให้ ก็บิดหน้าหนี ... ใช่สิว่ะ! เรามันไม่สำคัญ แต่แบบว่าผมก็เป็นคนที่ไม่ได้ดูน่ารังเกียจอะไรขนาดนั้นนะ การแต่งตัวผมก็ใส่เสื้อเชิ้ต รองเท้าหนังอย่างดีนะ แต่ทำไมเค้ามองผมยังกับว่าผมเป็นแมลงสาบงั้นอ่ะ
หลังจากผ่านไปหลายเดือนเขาก็ไม่ติดต่อมา ทำให้ผมรู้คำตอบแล้วหละ แต่สิ่งที่ผมคาใจคือ ที่ผมเขียนในเอกสารที่พี่แกอ่านผ่านๆ ผมก็เขียนนะว่าสิ่งนี้มันคือความฝันของผม แต่เค้ามาทำลายความศรัทธาที่ผมมีต่อบริษัทเค้าอ่ะ บริษัทนี้คือบริษัทนึงที่ในอดีตผมอยากทำงานด้วยมากๆๆ แต่พอเขามาทำแบบนี้...หมดกันน!! บริษัทนี้ก็มีชื่อเสียงสูงส่งระดับประเทศนะ แต่ทำไมการกระทำมันสวนทางกันเลย รึว่าผมต้องเป็นลูกค้าเท่านั้นรึ คุณถึงจะยิ้มให้ มีบริการที่ดีให้ (อันที่จริงพนักงานก็ไม่มีจิตใจจะบริการหรอก ดูจากพนักงานที่รับโทรศัพท์ลูกค้า น้ำเสียงนี้ดีนะ แต่หน้าตาไม่รับแขกเลย เหมือนประมาณว่าเมื่อไรคุณท่านจะวางสายซะที น่ารำคาญชะมัด)
***คือเขาไม่ให้โอกาสคนที่มีฝัน คนที่เทใจทั้งหมดให้กับสินค้าของเขาเลย***
สุดท้ายนี้ผมก็ได้แค่พูดว่า ..... "มันคือความฝัน...ที่ผมอยากให้เป็นความจริง" ..... เพราะถ้ามี อะไรๆมันคงง่ายขึ้นเยอะเนอะ
ปล.ผมก็ยังสู้นะ เผื่อว่าอนาคตจะมีตังแล้วไปเยี่ยมโชว์รูมนี้ ผมอยากจะทำให้เค้าสะอึกบ้าง ที่เค้าเคยดูหมิ่นผมเอาไว้ 55
มันคือความฝัน...ที่ผมอยากให้เป็นความจริง
ความฝันนี้ของผมมีมาตั้งแต่ผมยังอยู่ในท้องแม่ (แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ตั้งท้องผม แม่เอาแต่ดูรถทั้งวัน แทนที่จะดูละคร เพราะปกติแม่ผมเป็นคนติดละครมาก) และเมื่อผมลืมตาดูโลกจนถึงช่วงจำความได้ก็มีของเล่น ส่วนมากก็เป็นพวกรถบังคับ ทั้งแบบจับรถถอยหลังแล้วปล่อยแล้วมันจะวิ่ง (ประมาณไขลานนั่นแหละครับ โบราณมาก555) และแบบบังคับด้วยรีโมท พอโตขึ้นมาอีกหน่อยมีตังค่าขนม ก็เอาไปซื้อโปสเตอร์รถมาติดในห้องนอน ช่วงไหนงบหมดก็ปริ้นจากคอมมาติดเอา เวลาปริ้นรูปรถมา ก็โดนแม่ด่าอีก เพราะเปลืองหมึกเครื่องปริ้น (แม่ผมเป็นคนประหยัดมากคิดทุกบาททุก "สตางค์" จริงๆ เห้อออ555)
พอโตขึ้นมาถึงตอนวัยรุ่น (ขอเล่าลัดมาตอนวัยรุ่นเลยนะครับ เพราะตอนผมเด็กๆ ก็เล่นรถบังคับอะไรไปตามประสานั่นแหละ) มีอากู๋ "Google" & "Youtube" กำเนิดมาก็เปิดเข้าไปดูเค้ารีวิวรถ ดูรูปรถ ดูเทคโนโลยีของรถต่างๆ พวกคอนเซ็ปต์คาร์ รถสปอร์ต บลาๆๆ ก็ดูมันมาเรื่อยๆ ติดตามอัพเดตข่าวสารตลอด ผมดูข้อมูลพวกนี้มากกว่าอ่านหนังสือเตรียมสอบซะอีก55555 (คือช่วงสอบก็อ่านบ้าง แต่ในสมองมีเรื่องพวกนี้มากกว่าข้อมูลที่จะใช้สอบซะอีก) จนช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อนๆเค้าพากันอ่านหนังสือเตรียมสอบกันให้วุ่นกลัวสอบไม่ติด แต่!!! ไอ้กระผมก็สนอยู่นะ555 เพื่อนนัดไปติวก็ไป แต่พอกลับมาบ้านเท่านั้นแหละ...ก็กระโจนไปที่โน้ตบุคเพื่อเล่นเกมแข่งรถเล้ยย!!! คือ...ไอ้ที่ไปติวมา ไม่ได้อยู่ในหัวสมองเลยย คิดแต่ว่า...ด่านนั้น ด่านนี้กูจะผ่านมันยังไงว้าา คอมเล่นเก่ง
(ขอเล่าถึงประวัติโน้ตบุคนึดนึงนะครับ)...ไอ้โน้ตบุคเพื่อนยากของผมที่ผมใช้เล่นเกมเนี่ยย มันคือเงินเก็บทั้งหมดที่ผมเก็บมาตั้งแต่เกิด ผมซื้อโน้ตบุคตัวนี้ตอนอยู่ม.5 เล่น
และแล้วผลจากการที่ผมเล่นแต่เกมก็ปรากฎ!!...ผมสอบไม่ติดสักที่ แต่ดีที่ผมเล่นกีฬา เลยได้ทุนกีฬาที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง เลยรอดตัวไป แต่ความฝันมันก็คือความฝันเนอะ คนมันมีใจรัก ก็ยังดูไปเรื่อยๆ อัพเดตตลอด พอมีแอพ "Instagram" ก็ฟอลแต่ค่ายรถสปอร์ต&คนที่มีรถหรูๆ (&สาวๆด้วยนิสนึง555) มีงานมอเตอร์โชว์ที่ไหนก็ไปมันซะทุกที่ งานมอเตอร์โชว์ครั้งแรกที่ผมได้ไปดู คืองาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 31 ที่จัดที่ไบเทค บางนา ผมตื่นเต้นมาก เพราะเราเป็นไอ้บ้านนอกคนนึง เคยเห็นรถแพงๆ รถหรูๆ รถสปอร์ตแต่ในจอ พอได้มาเจอของจริง มันเป็นอะไรที่...ฟินมากก!!!
พอช่วงมหาลัยปี 3 ก็มีฟีลลิ่งอยากหางานเกี่ยวกับรถหรูๆทำ ผมไม่เกี่ยงเลยนะว่าจะเป็นตำแหน่งอะไร ขอแค่ได้อยู่ใกล้ๆพวกเทพบุตรสุดแรงพวกนี้เป็นพอ จนได้มาเจอบริษัทนำเข้ารถเจ้านึง ย่านศรีนครินทร์ เปิดรับสมัครพนักงาน ผมเลยลองไปสมัครดู พอไปถึงโชว์รูม ไอ้เราก็เคยไปสมัครงานเองครั้งแรกเนอะ ก็ป้ำๆเป๋อๆ เดินไปถามพี่ยามหน้าโชว์รูม..."พี่ครับ ผมมาสมัครงานครับ"...พี่ยามแกก็พาผมเข้าไปหลังโชว์รูม แม่เจ้า!!! มีทั้ง Lamborghini gallado , aventador , aston martin , bentley จอดอยู่ ผมก็ได้แต่ยืนมอง ด้วยความตกตะลึง และตกอยู่ในภวังค์ ละพี่ยามแกก็ทำให้ผมหลุดจากภวังค์ด้วยการบอกผมว่า..."น้อง! นั่งรอพี่เค้าตรงเก้าอี้นี้นะ!"... ผมก็นั่งรอไป สักพักก็มีคนมาเรียกผมเข้าไปในโชว์รูมที่เต็มไปด้วยรถในฝันของผมทั้งนั้น ไอ้เราก็ด้วยความรักและอยากดูใกล้ๆ ก็เลยเดินเข้าไปดู ...
จังหวะนี้แหละ กำลังจะเข้าไปใกล้รถ มีผู้ชายคนนึงอายุราวๆ 40 (ดูจากการแต่งตัวน่าจะเป็นช่าง) พูดเสียงดังขึ้นมาประโยคนึง ประโยคนี้แหละที่ทำให้ผมอึ้ง&ผิดหวัง น้าแกพูดว่า..."น้องๆ ๆ !!! นั่งอยู่กับที่ด้วยคับ อย่าเข้าใกล้รถ!"... ผมคิดในใจ คือแบบว่า ...เห้ยย แค่จะดู ยังไม่ได้แตะรถคุณเลยครับ อะไรจะกลัวเปื้อน กลัวผมทำเลอะหรือไง คือไอ้เราตอนจะเดินเข้าไปดูก็เอามือไขว้หลังด้วยนะ เก็บมือสุดฤทธิ์ แต่นี้คืออะไร แค่ดูก็ไม่ให้ดูเลยหรอ เฟลมากก! ณ ตอนนั้น สักพักก็มีพี่ผู้หญิงคนนึงเอาใบสมัคร&ใบถามความเห็นของเราที่มีต่องาน ...ผมก็เขียนไปตามที่คิด คือ..."สมัครตำแหน่งพนักงานขายประจำโชว์รูมหรือตำแหน่งอื่นที่บริษัทเห็นสมควร"... (อย่างที่ผมบอกข้างบน คือผมทำตำแหน่งอะไรก็ได้ ขอให้ได้ใกล้ชิดความฝันของผมก็พอ) พอเขียนอะไรเสร็จเรียบร้อย พี่ผู้หญิงก็เดินมาบอกว่า ..."เดี๋ยวทางเราจะติดต่อกลับไปนะ"... ผมก็ตอบรับและเดินออกจากโชว์รูมนี้ด้วยความเฟลอย่างมาก คือแบบ อะไรกันเนี่ยย แค่ดูยังไม่ได้เลยหรอ และพนักงานในโชว์รูมก็ไม่เป็นมิตรเอาซะเลย ผมยิ้มให้ ก็บิดหน้าหนี ... ใช่สิว่ะ! เรามันไม่สำคัญ แต่แบบว่าผมก็เป็นคนที่ไม่ได้ดูน่ารังเกียจอะไรขนาดนั้นนะ การแต่งตัวผมก็ใส่เสื้อเชิ้ต รองเท้าหนังอย่างดีนะ แต่ทำไมเค้ามองผมยังกับว่าผมเป็นแมลงสาบงั้นอ่ะ
หลังจากผ่านไปหลายเดือนเขาก็ไม่ติดต่อมา ทำให้ผมรู้คำตอบแล้วหละ แต่สิ่งที่ผมคาใจคือ ที่ผมเขียนในเอกสารที่พี่แกอ่านผ่านๆ ผมก็เขียนนะว่าสิ่งนี้มันคือความฝันของผม แต่เค้ามาทำลายความศรัทธาที่ผมมีต่อบริษัทเค้าอ่ะ บริษัทนี้คือบริษัทนึงที่ในอดีตผมอยากทำงานด้วยมากๆๆ แต่พอเขามาทำแบบนี้...หมดกันน!! บริษัทนี้ก็มีชื่อเสียงสูงส่งระดับประเทศนะ แต่ทำไมการกระทำมันสวนทางกันเลย รึว่าผมต้องเป็นลูกค้าเท่านั้นรึ คุณถึงจะยิ้มให้ มีบริการที่ดีให้ (อันที่จริงพนักงานก็ไม่มีจิตใจจะบริการหรอก ดูจากพนักงานที่รับโทรศัพท์ลูกค้า น้ำเสียงนี้ดีนะ แต่หน้าตาไม่รับแขกเลย เหมือนประมาณว่าเมื่อไรคุณท่านจะวางสายซะที น่ารำคาญชะมัด)
***คือเขาไม่ให้โอกาสคนที่มีฝัน คนที่เทใจทั้งหมดให้กับสินค้าของเขาเลย***
สุดท้ายนี้ผมก็ได้แค่พูดว่า ..... "มันคือความฝัน...ที่ผมอยากให้เป็นความจริง" ..... เพราะถ้ามี อะไรๆมันคงง่ายขึ้นเยอะเนอะ
ปล.ผมก็ยังสู้นะ เผื่อว่าอนาคตจะมีตังแล้วไปเยี่ยมโชว์รูมนี้ ผมอยากจะทำให้เค้าสะอึกบ้าง ที่เค้าเคยดูหมิ่นผมเอาไว้ 55