มุมมองคนทำหนัง กับ "หนังโปรโมตท่องเที่ยวไทย" อยากได้แนวหนังแบบไหน แล้วใครแสดงนำ!?

กระทู้ข่าว
มติชนรายวัน 17 กันยายน 2557

จากนโยบายรัฐบาลของ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกฯ ที่จะลงทุนสร้างภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ประเทศไทยเพื่อสร้างภาพพจน์ที่ดีและส่งเสริมการท่องเที่ยวนั้น

เสียงของผู้ที่อยู่ในแวดวงการภาพยนตร์มีความเห็นกันอย่างไรบ้าง

อ๊อด-บัณฑิต ทองดี ผู้กำกับภาพยนตร์-ละครชื่อดัง ให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมาเคยทำหนังประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวมาหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสั้น เช่น หนังสั้นของเชียงคานกับ จ.สุโขทัย หากจะทำภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว อยากจะทำเกี่ยวกับเรื่องความเป็นไทยที่ไม่เหมือนชาติอื่นๆ เช่น ความน่ารักของคนไทยที่เป็นคนมีน้ำใจ อย่างเวลาคนต่างชาติมาเที่ยวก็อยากจะช่วยเหลือ แม้จะอายเวลาพูดภาษาอังกฤษก็ตาม ถ้าเป็นหนังแนวโรแมนติกจะเข้าถึงคนได้ง่ายที่สุด แล้วค่อยเสริมแนวคอมเมดี้ ผจญภัยเข้าไป อีกทั้งใช้สถานที่อย่าง จ.เชียงใหม่ ที่มีให้เห็นครบทั้งวัฒนธรรม ความทันสมัย ธรรมชาติ และอาจจะใช้ จ.พังงา ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของทะเลเป็นที่ถ่ายทำด้วย

สำหรับพระ-นางของเรื่องนั้น บัณฑิตบอกว่า ฝ่ายหนึ่งควรเป็นดาราต่างประเทศแสดงเป็นนักท่องเที่ยว ส่วนอีกฝ่ายเป็นคนไทยที่จะคอยให้ความช่วยเหลือ เช่น นางเอกเป็น จางซื่อยี่ พระเอกเป็น ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี

"อย่างไรก็ตาม หนังจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการประชาสัมพันธ์ที่จะทำให้หนังแพร่หลายได้อย่างกว้างขวาง เพราะถ้าฉายให้ชมเฉพาะกลุ่มคนแคบๆ ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ" อ๊อดแนะนำ


ด้าน ป๋อมแป๋ม-นิติ ชัยชิตาทร พิธีกรชื่อดังจากรายการ "เทยเที่ยวไทย" เผยว่า ถ้าทำจริง ส่วนตัวคิดในใจมาตลอดว่าระบำรำฟ้อนไม่น่าเอามาทำแล้ว เพราะสิ่งที่เรามักจะทำบ่อยคือวัฒนธรรมในแง่ High culture แต่สิ่งที่รู้สึกว่าดึงดูดนักท่องเที่ยวจริงๆ คือป๊อปคัลเจอร์ จริงๆ นักท่องเที่ยวที่มากรุงเทพฯจำนวนมาก ไปพารากอน, เซ็นทรัลเวิลด์มากกว่าวัดพระแก้ว หากจะทำก็ควรมีส่วนผสมของป๊อปคัลเจอร์ด้วย อย่างวิธีกินอยู่นอนหลับของคนปัจจุบัน ไม่ใช่เสนอแค่เรื่องสวยงามป่าเขาวัดวา คนมาบ้านเราส่วนมากไม่ได้ชอบแต่วัดวาหรือวังเก่า แต่ชอบวิถีชีวิตคนไทยจริง

ถ้าหากจะทำเองนึกถึงฉากหลังเป็นประตูน้ำ ให้ แองเจลีนา โจลี มาเจอกับ ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี มันควรเป็นคนที่คุยกันไม่รู้เรื่อง แต่เห็นความตั้งใจของคนไทยในการช่วยเหลือ อาจจะนำเสนอแบบภาพยนตร์ "แฮงก์โอเวอร์" คือสุดโต่งไปเลย แต่ทำให้คนรู้จักบ้านเรา หรือภาพยนตร์ "เดอะบีช" มันก็เป็นชายหาดเกี่ยวข้องกับเรื่องเสพยา แต่ก็ทำให้คนอยากมาประเทศไทย หรือ "Lost in Translation" คือมันไม่ต้องเป็นสถานที่สวยงาม แต่ให้มาใช้ชีวิตในประเทศไทยจริงๆ แต่ส่วนใหญ่เราชอบเน้นมุมสวยงาม ดีงาม เชื่อว่าฝรั่งไม่ได้คาดหวังอย่างนั้น นอกจากสถานที่หรือวัฒนธรรมแล้วเขาอยากเห็นวิถีชีวิตจริงๆ มากกว่า เพราะการท่องเที่ยวคือประสบการณ์ที่ได้เจออะไรใหม่ คนไปเที่ยวรู้สึกว่าตัวเองได้อะไรที่บ้านตัวเองไม่มี คิดว่าหนังช่วยเรื่องการท่องเที่ยวได้ แต่ต้องทำให้เห็นวิถีชีวิต

ส่วนตัวเชื่อว่าคนไม่อยากดูอะไรที่ตายแล้ว ความสตันต์ความนิ่งของสถานที่หรือความสวยงามของธรรมชาติเอามาขายให้ตื่นตาตื่นใจอยู่ได้แค่ 5 นาที แต่ที่นักท่องเที่ยวจะประทับใจไปตลอดคือสิ่งที่มีชีวิตมากกว่า ฉะนั้น ก็ควรนำเสนอชีวิตจริงๆ ของคนนี่แหละ

บอล-ทายาท เดชเสถียร ผู้ผลิตและดำเนินรายการ "หนังพาไป" ให้ความเห็นว่า เรื่องวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตก็ควรนำเสนอ แต่เราเสนอกันมา 10 ปีแล้ว เขาเห็นหมดละสิ่งเหล่านี้ เพราะคนต่างชาติมาเที่ยวไทยปีละหลายล้านคน อาจจะครึ่งโลกแล้วด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เขาไม่เคยได้คำตอบคือการถูกโกงหรือเอาเปรียบ ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวเจอปัญหาแท็กซี่โกง ตุ๊กตุ๊กเถื่อน ระบำโป๊เปลือย ปัญหาชายหาดที่ต้องจ่ายค่าที่นั่ง ทำประเด็นนี้ดีกว่าว่าไทยจะแก้ปัญหาให้เขาอย่างไร

เชื่อว่านักท่องเที่ยวอย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์ กลับไปอย่างไม่ประทับใจเพราะเจอปัญหาเหล่านี้ ไหนๆ รัฐบาลก็คุมอำนาจเด็ดขาดแล้วอยากให้ประกาศไปเลยว่าสิ่งเหล่านี้จะหมดไป อันนี้จะทำให้คนที่เคยมาอยากกลับมาอีก เป็นการกำจัดมาเฟียท่องเที่ยวไปด้วย เพราะเวลาเจอฝรั่งเขาจะบอกเจอปัญหาเหล่านี้ที่ประเทศคุณ ซึ่งก็มีมานานแล้ว แต่ไม่มีรัฐบาลไหนยืนยันว่าจะแก้ได้สักที ก็คิดว่ารัฐบาลนี้แหละน่าจะทำได้มากสุด

ถ้าได้ทำเองคงทำในเชิงเปรียบภาพให้เห็นปัญหาที่หมดไป อาจไม่มีตัวละคร แต่การท่องเที่ยวเราหวังแค่คนมาเหยียบประเทศ มองยอดตัวเลขเท่านั้น ไม่ได้สนใจว่ามาแล้วจะเจอปัญหาอะไรหรือโดนฆ่าตาย ขณะที่เจอโฆษณาของการท่องเที่ยวอินเดียที่แสดงถึงปัญหาการลวนลามและโกงนักท่องเที่ยว แต่จุดประสงค์เขาคือต้องการปรับเปลี่ยนความคิดคนในประเทศ ซึ่งมันเจ๋ง เพราะเขายืดอกรับปัญหา การพูดแต่ด้านดีคนยุคนี้จะไม่เชื่อแล้ว เราดูออกว่าหลอก อาจจะไม่โกหกแต่พูดไม่หมดเสนอด้านลบบ้างก็ได้ แต่เป็นลบที่มาเสริมด้านบวกให้มีเสน่ห์มากขึ้น หรือถึงจะลบแต่ต้องทำให้รู้ว่าอีก 10 ปีจะไม่เห็นภาพแบบนี้แล้ว เราจะร่วมแก้ปัญหาภายในประเทศ


ด้าน เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี นักแสดงและนักเขียนบทจากค่ายจีทีเอช เห็นว่า ถ้าทำหนังคงเป็นแนวโรแมนติกคอมเมดี้สนุกสนาน แล้วเลือกฉากหลังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนต่างชาติน่าจะชอบ เช่น ภูเขา ทะเล ถ้าเราทำหนังที่ไทยมากๆ เช่น ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ มันจะดึงดูดคนไทยมากกว่าต่างชาติ มันคือประวัติศาสตร์ไทยที่เราอินกันอยู่ แต่คนต่างชาติต้องใช้เวลาศึกษา เพราะเขาไม่มีความรู้ตรงจุดนั้นมากพอ

เชื่อว่าจุดขายที่เด่นสุดของไทยคือสถานที่ท่องเที่ยว ผู้คนยิ้มแย้ม อาจต้องเลือกนักแสดงฮอลลีวู้ดคนหนึ่งมาช่วยดึงดูด เพราะถ้ามันเป็นเรื่องราวไทยๆ นักแสดงไทยหมด ยากที่คนต่างชาติจะเห็นว่าน่าสนใจ แต่ถ้าคนดังระดับโลกมันจะกระจายสู่ต่างประเทศได้มากขึ้น เช่น จัสติน บีเบอร์ เล่น ยังไงแฟนทั่วโลกก็ต้องดู ถ้ามันดีก็บอกต่อและเป็นการบอกต่อระดับโลก เผยแพร่ได้โดยไม่ต้องใช้พลังในการประชาสัมพันธ์เยอะ ซึ่งโอกาสระดับนั้นก็มี แต่ติดที่การลงทุนด้วย

สิ่งที่ต้องทำคือให้หนังได้ระดับเอเชียก่อน แล้วค่อยไต่ไปเรื่อยๆ เราสู้กับหนังฮอลลีวู้ดด้วยซีจีหรือแอ๊กชั่นไม่ได้อยู่แล้ว หนังเขาตลาดโลก เรื่องหนึ่งงบ 500 ล้านบาท เราทำก็เจ๊งตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ต้องวัดที่คุณภาพและสิ่งที่ทำได้ หนังไทยดีกว่าคนอื่น ข้อแรกคือดราม่าลึกกว่า ด้วยความที่คนเอเชียชอบเก็บอารมณ์ไว้ข้างใน ไม่ค่อยแสดงออก ทำให้เล่นแล้วมีความลึกอยู่ในนั้น น่าสนใจกว่า

ข้อสองคือความตลกและสนุกสนานที่อยู่คู่ไทยมาแต่แรก และอารมณ์ขันคือสิ่งสากล ยกเว้นแต่มุขเฉพาะจริงๆ คิดว่าไทยมีศักยภาพทำหนังระดับแดจังกึมได้เลย อาจเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคนทำอาหารและผลไม้ เพราะ 2 อย่างนี้มีความหลากหลาย อาหารไทยมีการผสมผสาน ถ้าชาติอื่นจะมีประมาณ 2 รสชาติใน 1 คำ แต่ไทยมีหลายรส รู้สึกอาหารการกินไทยเป็นอันดับ 1 ในโลก

หนังมีอิทธิพลเยอะมากอย่างที่หลายคนอาจไม่รู้ หนังมีพลังมากกับความต้องการไปเที่ยว ตอนแสดงภาพยนตร์ "กวนมึนโฮ" ทำให้คนไทยไปเกาหลีเพิ่มขึ้น 2 เท่า ถ้าหนังสำเร็จคนจะอยากตามรอย อยากไปดูที่ถ่ายทำ อยากไปเที่ยว อย่างเรื่อง "ลอส อินไทยแลนด์" ก็ทำให้คนจีนมาไทยเยอะมาก ตอนไปงานที่จีนเขาบอกรู้จักไทยก็เพราะหนังเรื่องนี้

หนัง ละครไทยดังในจีนประมาณหนึ่ง มีหลายคนมาไทยเพราะอยากเจอดาราที่ชอบ อยากรู้ประเทศที่ดาราคนนั้นอาศัยอยู่เป็นไง ในอินสตาแกรมและทวิตเตอร์ของผมก็ยอดฟอลโลว์ครึ่งหนึ่งก็เป็นคนอินโดนีเซียที่ตามมาจากหนัง แม้ในแง่ของการทำหนังแล้วนำเสนอแต่สิ่งดีๆ มันอาจจะไม่ดี คนก็รู้สึกได้ว่าไม่จริง เพราะทั่วโลกมีด้านไม่ดีหมด ไม่เฉพาะไทย แต่ต้องตอบตัวเองก่อนว่าทำหนังเพื่อจุดประสงค์อะไร ถ้าโปรโมตการท่องเที่ยวแล้วทำเรื่องฆาตกรในไทย ใครจะอยากมา เราไม่จำเป็นต้องเล่าด้านไม่ดีถ้าไม่เกี่ยวกับเรื่อง ต้องมีเรื่องก่อนแล้วหาเหตุการณ์มาซัพพอร์ต

เป็นมุมมองและข้อแนะนำน่าสนใจ ที่คนคิดจะสร้างภาพยนตร์โปรโมตประเทศไทยต้องนำไปพิจารณาให้รอบด้าน เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จดังเป้าหมายที่ตั้งไว้

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่