๗. มหาจัตตารีสกสูตร (๑๑๗)
[๒๕๕] กมตา จ ภิกฺขเว มิจฺฉาทิฏฺฐิ ,
นตฺถิ ทินฺนํ
นตฺถิ ยิฏฺฐํ
นตฺถิ หุตํ
นตฺถิ สุกตทุกฺกตานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก
นตฺถิ อยํ โลโก
นตฺถิ ปโร โลโก
นตฺถิ มาตา
นตฺถิ ปิตา
นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา
นตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฏิปนฺนา
เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตีติ
อยํ ภิกฺขเว มิจฺฉาทิฏฺฐิ
[๒๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า
ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล
ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล
สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี
โลกนี้ไม่มี
โลกหน้าไม่มี
มารดาไม่มี
บิดาไม่มี
สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี
สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มี
นี้มิจฉาทิฐิ ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=%A8%D1%B5%B5%D2%C3%D5%CA%A1&book=13&bookZ=33&original=1
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=252
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
๙. นันทิขยสูตรที่ ๑
ว่าด้วยการสิ้นความยินดีเป็นเหตุหลุดพ้นจากทุกข์
[๑๐๓] พระนครสาวัตถี ฯลฯ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเห็นรูปอันไม่เที่ยงนั่นแหละ ว่าไม่เที่ยง
ความเห็นของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อเธอเห็นโดยชอบ ย่อมเบื่อหน่าย.
เพราะสิ้นความยินดี จึงสิ้นความกำหนัด
เพราะสิ้นความกำหนัด จึงสิ้นความยินดี
เพราะสิ้นความยินดี และความกำหนัด จิตหลุดพ้นแล้ว เรียกว่า หลุดพ้นดีแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเห็นเวทนาอันไม่เที่ยงนั่นแหละ ว่าไม่เที่ยง ฯลฯ
เห็นสัญญาอันไม่เที่ยง นั่นแหละ ว่าไม่เที่ยง ฯลฯ
เห็นสังขารอันไม่เที่ยงนั่นแหละ ว่าไม่เที่ยง ฯลฯ
เห็นวิญญาณอันไม่เที่ยงนั่นแหละ ว่าไม่เที่ยง ความเห็นของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ
เมื่อเธอเห็นโดยชอบ ย่อมเบื่อหน่าย
เพราะสิ้นความยินดี จึงสิ้นความกำหนัด
เพราะสิ้นความกำหนัด จึงสิ้นความยินดี
เพราะสิ้นความยินดีและความกำหนัด จิตหลุดพ้นแล้ว เรียกว่า หลุดพ้นดีแล้ว.
จบ สูตรที่ ๙.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=17&A=1161
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=103
๑๐. นันทิขยสูตรที่ ๒
ว่าด้วยการสิ้นความยินดีเป็นเหตุหลุดพ้นจากทุกข์
[๑๐๔] พระนครสาวัตถี ฯลฯ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลาย จงทำไว้ในใจซึ่งรูปโดยอุบายอันแยบคาย
และจงพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งรูป ตามความเป็นจริง.
เมื่อภิกษุทำไว้ในใจซึ่งรูปโดยอุบายอันแยบคาย
และพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งรูป ตามความเป็นจริง ย่อมเบื่อหน่ายในรูป
เพราะสิ้นความยินดี จึงสิ้นความกำหนัด
เพราะสิ้นความกำหนัด จึงสิ้นความยินดี
เพราะสิ้นความยินดีและความกำหนัด จิตหลุดพ้นแล้วเรียกว่า หลุดพ้นดีแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงทำไว้ในใจซึ่งเวทนาโดยอุบายอันแยบคาย ฯลฯ
ซึ่งสัญญาโดยอุบายอันแยบคาย ฯลฯ
ซึ่งสังขารโดยอุบายอันแยบคาย ฯลฯ ซึ่ง
วิญญาณโดยอุบายอันแยบคาย
และจงพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งวิญญาณ ตามความเป็นจริง.
เมื่อภิกษุทำไว้ในใจซึ่งวิญญาณโดยอุบายอันแยบคาย
และพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งวิญญาณตามความเป็นจริง ย่อมเบื่อหน่ายในวิญญาณ.
เพราะสิ้นความยินดี จึงสิ้นความกำหนัด
เพราะสิ้นความกำหนัด จึงสิ้นความยินดี
เพราะสิ้นความยินดีและความกำหนัด จึงหลุดพ้นแล้ว เรียกว่าหลุดพ้นดีแล้ว.
จบ สูตรที่ ๑๐.
จบ อัตตทีปวรรคที่ ๕.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=17&A=1173
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=104
คำถาม พวกมิจฉาทิฏฐิ ในขณะที่ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ
สามารถ ละความยินดี(นันทิ --> นนฺทิ )
ได้ไหม ?
มิจฉาทิฏฐิ สามารถละความยินดี(นนฺทิ) ได้ไหม ?
[๒๕๕] กมตา จ ภิกฺขเว มิจฺฉาทิฏฺฐิ ,
นตฺถิ ทินฺนํ
นตฺถิ ยิฏฺฐํ
นตฺถิ หุตํ
นตฺถิ สุกตทุกฺกตานํ กมฺมานํ ผลํ วิปาโก
นตฺถิ อยํ โลโก
นตฺถิ ปโร โลโก
นตฺถิ มาตา
นตฺถิ ปิตา
นตฺถิ สตฺตา โอปปาติกา
นตฺถิ โลเก สมณพฺราหฺมณา สมฺมคฺคตา สมฺมาปฏิปนฺนา
เย อิมญฺจ โลกํ ปรญฺจ โลกํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตีติ
อยํ ภิกฺขเว มิจฺฉาทิฏฺฐิ
[๒๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า
ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล
ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล
สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล
ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี
โลกนี้ไม่มี
โลกหน้าไม่มี
มารดาไม่มี
บิดาไม่มี
สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี
สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มี
นี้มิจฉาทิฐิ ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_name.php?name=%A8%D1%B5%B5%D2%C3%D5%CA%A1&book=13&bookZ=33&original=1
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=252
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
๙. นันทิขยสูตรที่ ๑
ว่าด้วยการสิ้นความยินดีเป็นเหตุหลุดพ้นจากทุกข์
[๑๐๓] พระนครสาวัตถี ฯลฯ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเห็นรูปอันไม่เที่ยงนั่นแหละ ว่าไม่เที่ยง
ความเห็นของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อเธอเห็นโดยชอบ ย่อมเบื่อหน่าย.
เพราะสิ้นความยินดี จึงสิ้นความกำหนัด
เพราะสิ้นความกำหนัด จึงสิ้นความยินดี
เพราะสิ้นความยินดี และความกำหนัด จิตหลุดพ้นแล้ว เรียกว่า หลุดพ้นดีแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเห็นเวทนาอันไม่เที่ยงนั่นแหละ ว่าไม่เที่ยง ฯลฯ
เห็นสัญญาอันไม่เที่ยง นั่นแหละ ว่าไม่เที่ยง ฯลฯ
เห็นสังขารอันไม่เที่ยงนั่นแหละ ว่าไม่เที่ยง ฯลฯ
เห็นวิญญาณอันไม่เที่ยงนั่นแหละ ว่าไม่เที่ยง ความเห็นของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ
เมื่อเธอเห็นโดยชอบ ย่อมเบื่อหน่าย
เพราะสิ้นความยินดี จึงสิ้นความกำหนัด
เพราะสิ้นความกำหนัด จึงสิ้นความยินดี
เพราะสิ้นความยินดีและความกำหนัด จิตหลุดพ้นแล้ว เรียกว่า หลุดพ้นดีแล้ว.
จบ สูตรที่ ๙.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=17&A=1161
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=103
๑๐. นันทิขยสูตรที่ ๒
ว่าด้วยการสิ้นความยินดีเป็นเหตุหลุดพ้นจากทุกข์
[๑๐๔] พระนครสาวัตถี ฯลฯ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลาย จงทำไว้ในใจซึ่งรูปโดยอุบายอันแยบคาย
และจงพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งรูป ตามความเป็นจริง.
เมื่อภิกษุทำไว้ในใจซึ่งรูปโดยอุบายอันแยบคาย
และพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งรูป ตามความเป็นจริง ย่อมเบื่อหน่ายในรูป
เพราะสิ้นความยินดี จึงสิ้นความกำหนัด
เพราะสิ้นความกำหนัด จึงสิ้นความยินดี
เพราะสิ้นความยินดีและความกำหนัด จิตหลุดพ้นแล้วเรียกว่า หลุดพ้นดีแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงทำไว้ในใจซึ่งเวทนาโดยอุบายอันแยบคาย ฯลฯ
ซึ่งสัญญาโดยอุบายอันแยบคาย ฯลฯ
ซึ่งสังขารโดยอุบายอันแยบคาย ฯลฯ ซึ่ง
วิญญาณโดยอุบายอันแยบคาย
และจงพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งวิญญาณ ตามความเป็นจริง.
เมื่อภิกษุทำไว้ในใจซึ่งวิญญาณโดยอุบายอันแยบคาย
และพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งวิญญาณตามความเป็นจริง ย่อมเบื่อหน่ายในวิญญาณ.
เพราะสิ้นความยินดี จึงสิ้นความกำหนัด
เพราะสิ้นความกำหนัด จึงสิ้นความยินดี
เพราะสิ้นความยินดีและความกำหนัด จึงหลุดพ้นแล้ว เรียกว่าหลุดพ้นดีแล้ว.
จบ สูตรที่ ๑๐.
จบ อัตตทีปวรรคที่ ๕.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=17&A=1173
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=104
คำถาม พวกมิจฉาทิฏฐิ ในขณะที่ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ
สามารถ ละความยินดี(นันทิ --> นนฺทิ ) ได้ไหม ?