จากประธานผู้ปลุกปั้นราชันชุดขาวให้คืนสู่ตำแหน่งราชันฯ วันนี้ผู้บริหารวัย 67 ปี กำลังเผชิญมรสุมอีกครั้งในซานติอาโก เบร์นาบิว
ป้ายแขวนต่อต้านหน้าสนามซานติอาโก้ เบอร์นาเบว เรื่อยมาถึงเสียงตะโกนเรียกร้องในระหว่างเกมดาร์บี้แมทช์เมืองหลวงสเปน เริ่มสะท้อนเสียงจากหัวใจของเหล่าสาวกมาดริดิสต้าที่มีต่อการปกครองของ ฟลอเรนติโน เปเรซ ในอาณาจักรสีขาวได้เป็นอย่างดี
กิตติศัพท์ของ ฟลอเรนติโน เปเรซ นั้นลือลั่นขจรขจายไปทั่ววงการลูกหนังโลก ในฐานะประธานจอมทุ่มที่พร้อมจะสร้างทีมในความฝันให้เกิดขึ้นจริง เขานี่ล่ะคือผู้ให้กำเนิดขุนพลชุด"กาลาคติกอส"อันเลื่องชื่อ
อดีตนักการเมืองชาวสแปนิชเริ่มสร้างชื่อให้กับตัวเองในการลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานโลส บลังโกส เมื่อปี 2000 โดยเขาชูสโลแกนช็อคโลกขอคว้าตัว หลุยส์ ฟิโก้ กล่องดวงใจของบาร์เซโลนา ศัตรูหมายเลขหนึ่งเสริมทัพให้ได้ จนได้รับเสียงโหวตถล่มทลายถึง 94.2% ได้นั่งเก้าอี้ประธานสมใจ ต่อมาเปเรซสามารถทำตามคำสัญญาดังกล่าวได้สำเร็จ ยิ่งทำให้เขากุมหัวใจของเหล่าแฟนบอลได้แบบอยู่หมัด
จากนั้นอดีตวิศวกรก็เดินหน้าสร้างทีมชุด"กาลาคติกอส" ดึงนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์อย่าง ซีเนดีน ซีดาน, โรนัลโด้, เดวิด เบ็คแฮม และ ไมเคิล โอเว่น ร่วมทัพชนิดสะเทือนวงการ โดยนอกจากเรื่องในสนามแล้วเขายังมีเป้าหมายสำคัญเพื่อสร้างแบรนด์ เรอัล มาดริด เป็นทีมเบอร์หนึ่งของโลก และมันก็ได้ผลเมื่อพวกเขาฟันกำไรมากมายจากการขายเสื้อผ้าและสินค้าที่ระลึกของนักเตะคนดังเข้าสู่สโมสร แม้ว่าจะเอาไปหักลบกับค่าตัวแสนแพงของเหล่าแข้งซุปตาร์แล้วก็ตาม
และนี่คือนโยบายของเปเรซที่ยึดมั่นมาโดยตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงยุคปัจจุบัน นักเตะระดับโลกอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด้, แกเร็ธ เบล และ ฆาเมส โรดริเกวซ ต่างถูกดึงมาร่วมทีมไม่เพียงแค่เหตุผลทางฟุตบอลเท่านั้น แต่ผู้บริหารชาวสแปนิชยังมองว่าพวกเขาคือขุมทรัพย์ชั้นดีที่จะสร้างเงินมหาศาลให้กับสโมสรด้วย ดังนั้นเขาจึงพยายามเอาอกเอาใจและประคบประหงมเหล่าผู้เล่นระดับสตาร์เหล่านี้เป็นพิเศษจนลืมไปว่ากีฬาฟุตบอลนั้นเล่นเป็นทีม นักเตะทุกคนล้วนแต่มีความสำคัญต่อความสำเร็จของสโมสร ถ้าไม่ให้ใจกับทุกคนอย่างเท่าเทียมแล้วมันจะเป็นบ่อเกิดของปัญหาต่างๆที่เริ่มสั่นคลอนบัลลังก์ของเขาโดยไม่รู้ตัว
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ อังเคล ดิ มาเรีย ปีกทีมชาติอาร์เจนตินาที่ต้องจำใจโบกมือลาทีมทั้งที่ทำผลงานได้อย่างสุดยอดเมื่อซีซั่นก่อน เขาคือกุญแจสำคัญที่พามาดริดซิวแชมป์ โกปา เดล เรย์ กับ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 10 แต่สโมสรกลับไม่เคยให้ความสำคัญเลย จากบทสัมภาษณ์ของนักเตะนั้นแสดงให้เห็นถึงความน้อยเนื้อต่ำใจที่ตัวเองไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากสโมสร โดยเฉพาะท่านประธานที่ไม่เคยแม้แต่เข้ามาพูดคุยเรื่องสัญญาฉบับใหม่ที่เขาเรียกร้อง จนสุดท้าย ดิ มาเรีย ต้องย้ายไปเล่นกับแมนยูฯแทน
นี่ไม่ใช่เคสแรกที่เปเรซแสดงให้เห็นถึงการปล่อยปละละเลยนักเตะในทีม เพราะก่อนหน้านี้มันเคยเกิดขึ้นกับ โคลด มาเกเลเล กองกลางตัวรับที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดในโลกยุคนั้นมาแล้ว มิดฟิลด์ชาวฝรั่งเศสถือเป็นแข้งกำลังคัญประเภทปิดทองหลังพระมาโดยตลอดและช่วยทีมประสบความสำเร็จมากมาย แต่สุดท้ายสโมสรกลับไม่เคยมอบรางวัลตอบแทนผลงานของเขาเลย ดังนั้นเจ้าตัวจึงเลือกย้ายไปค้าแข้งกับเชลซีแทนในปี 2003 และนับจากเสียมาเกเกเล่ไปมาดริดก็ไม่สามารถคว้าโทรฟี่ใดๆมาเชยชมได้อีกเลยใน 3 ปีให้หลัง และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเอฟฟเฟคต์สำคัญที่ทำให้เปเรซโดนโจมตีอย่างหนักว่ามัวแต่แสดงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจกับเหล่าสตาร์ดังจนต้องประกาศลาตำแหน่งในปี 2007
แน่นอนว่ามหาเศรษฐีชาวสเปนจะไม่ถูกตำหนิหรือต่อว่าใดๆเลยจากการยึดนโยบายดังกล่าว หากราชันชุดขาวยังสามารถประสบความสำเร็จคว้าแชมป์รายการต่างๆเข้ามาประดับบารมีสโมสร แต่หากผลการแข่งขันไม่เป็นไปอย่างที่แฟนบอลคาดหวังเอาไว้ ปัญหาต่างๆที่ค่อยๆสะสมมาก็จะคืบคลานเข้ามาเลื่อยขาเก้าอี้ของเขาแบบไม่ทันตั้งตัวทันที
และในเกมแย่งชิงความเป็นหนึ่งของกรุงมาดริดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็มีสัญญาณที่เริ่มสั่นคลอนการปกครองของเปเรซบ้างแล้ว เมื่อมีสาวกมาดริดิสต้าบางส่วนแขวนป้ายเรียกร้องให้เขาลงจากตำแหน่งบริเวณหน้าสังเวียนซานติอาโก้ เบอร์นาเบว และยังมีเสียงตะโกนจากแฟนบอลในสนามให้เขาลาออกด้วย ภายหลังทีมเสียหน้าพ่ายคารังต่อ แอตเลติโก มาดริด 1-2 นับเป็นความปราชัยนัดที่สอง จากการออกสตาร์ท 3 เกมแรกในลาลีก้าฤดูกาลนี้
โดยตอนนี้เปเรซคงภาวนาให้ขุนพลมาดริดชุดนี้กลับมาสู่ฟอร์มเก่งโดยเร็วที่สุดเพื่อสร้างความมั่นคงกลับมาสู่บัลลังก์ของเขาอีกครั้ง แต่ถ้าหากสโมสรยังทำผลงานได้ไม่เข้าตาแบบนี้ไปเรื่อยๆ เปเรซก็คงต้องก้มหน้ารับผลการกระทำของตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเขาเลือกที่จะใช้วิธีนี้บริหารสโมสรและพิชิตใจแฟนบอลด้วยตัวเอง
...จริงอยู่ว่ากีฬาฟุตบอลในยุคปัจจุบันถือเป็นธุรกิจเต็มรูปแบบ แต่เราก็อย่ามัวแต่ให้ความสำคัญกับมันจนลืมแก่นแท้ของคำว่า"ฟุตบอล"...
ที่มาบทความ :
http://www.goal.com/th/news/4259/%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%99/2014/09/15/5106651/Art-Corner-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%8B%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%99?ICID=SP
ความเห็นส่วนตัว :
หวังว่ากระแสนี้คงจะทำให้เปเรซสำนึกซะบ้างนะ ขนาดโดนไปรอบนึงตอนขายมาเกเลเล่ จนต้องลาออก พอได้กลับมาบริหารใหม่ ก็ไม่คิดจะแก้ไขอะไรทั้งนั้นเลย ยิ่งเปเรซโดนด่ามากเท่าไหร่ ข่าวลือที่โรนัลโด้จะกลับแมนยูก็ถี่ขึ้นเป็นเงาตามตัวเพราะเหมือนจะไม่ชอบใจในแนวทางการบริหารของเปเรซเช่นกัน ขนาดรามอสกับโรนัลโด้เข้าไปบอกเปเรซถึงในห้องว่าห้ามขายดิมาเรีย แถมอันเชล็อตติยังย้ำตลอดว่าจะไม่ขายดิมาเรีย แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าแกจะรั้งดิมาเรียด้วยซ้ำ(ด้วยการไม่ตอบรับข้อเสนอหรือพูดคุยสัญญาใหม่ตามที่นักเตะขอ) สุดท้ายก็ปล่อยขาย แล้วก็มาบอกว่านักเตะอยากย้ายออกเอง(แหงล่ะ ผลงานขนาดนั้น แต่ไม่มีการให้อะไรตอบแทนเลยมันก็น่าน้อยใจอยู่หรอก) กลายเป็นตอนนี้หลายคนแทบจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าการขายดิมาเรียคือหนึ่งในดีลที่พลาดที่สุดของราชันในยุคของเปเรซ
การที่นักเตะจะแสดงศักยภาพได้เหมาะสม สมราคา มันอยู่ที่ทีมเวิร์คของทีมเป็นหลัก ต่อให้จับนักเตะระดับตำนานมาอยู่รวมกัน แต่ถ้าเล่นเข้าขากันไม่ได้ เล่นไม่รู้ใจกัน สุดท้ายศักยภาพที่แสดงออกมามันก็ได้แค่ในระดับนักเตะ 1 คน ไม่ใช่ทีม 1 ทีม
ดังที่แอตเลติโก้ มาดริดที่ไม่ได้มีดารามากมายในทีม กับราชันชุดขาวเรอัล มาดริดที่รวมโคตรดาราจากทั่วโลกที่ฟอร์มระดับโลกทั้งนั้น
แอตเลติโก้ แสดงจุดสำคัญในข้อนี้ให้เห็นโดยการไล่บี้และคว่ำชุดขาวคาบ้านถึง 2 ปีติด เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร
การย้ายเข้ามาของนักเตะระดับโลกแต่ละคนที่เคยโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมในทีมเก่า เราก็ไม่ควรลืมว่ากว่าคนๆนั้นจะมีฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้น มันใช้เวลาบ่มเพาะ ปลุกปั้นมาขนาดไหน เช่น แกเร็ต เบลสมัยอยู่สเปอร์ มันก็ไม่ได้เก่งเปรี้ยงปร้างตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายเข้าไป แถมปีแรกนี่เจ็บออดๆแอดๆด้วยซ้ำ
สำนึกเถอะนะเปเรซ ไหว้ล่ะ
Art Corner เมื่ออาณาจักรเปเรซสั่นคลอน
จากประธานผู้ปลุกปั้นราชันชุดขาวให้คืนสู่ตำแหน่งราชันฯ วันนี้ผู้บริหารวัย 67 ปี กำลังเผชิญมรสุมอีกครั้งในซานติอาโก เบร์นาบิว
ป้ายแขวนต่อต้านหน้าสนามซานติอาโก้ เบอร์นาเบว เรื่อยมาถึงเสียงตะโกนเรียกร้องในระหว่างเกมดาร์บี้แมทช์เมืองหลวงสเปน เริ่มสะท้อนเสียงจากหัวใจของเหล่าสาวกมาดริดิสต้าที่มีต่อการปกครองของ ฟลอเรนติโน เปเรซ ในอาณาจักรสีขาวได้เป็นอย่างดี
กิตติศัพท์ของ ฟลอเรนติโน เปเรซ นั้นลือลั่นขจรขจายไปทั่ววงการลูกหนังโลก ในฐานะประธานจอมทุ่มที่พร้อมจะสร้างทีมในความฝันให้เกิดขึ้นจริง เขานี่ล่ะคือผู้ให้กำเนิดขุนพลชุด"กาลาคติกอส"อันเลื่องชื่อ
อดีตนักการเมืองชาวสแปนิชเริ่มสร้างชื่อให้กับตัวเองในการลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานโลส บลังโกส เมื่อปี 2000 โดยเขาชูสโลแกนช็อคโลกขอคว้าตัว หลุยส์ ฟิโก้ กล่องดวงใจของบาร์เซโลนา ศัตรูหมายเลขหนึ่งเสริมทัพให้ได้ จนได้รับเสียงโหวตถล่มทลายถึง 94.2% ได้นั่งเก้าอี้ประธานสมใจ ต่อมาเปเรซสามารถทำตามคำสัญญาดังกล่าวได้สำเร็จ ยิ่งทำให้เขากุมหัวใจของเหล่าแฟนบอลได้แบบอยู่หมัด
จากนั้นอดีตวิศวกรก็เดินหน้าสร้างทีมชุด"กาลาคติกอส" ดึงนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์อย่าง ซีเนดีน ซีดาน, โรนัลโด้, เดวิด เบ็คแฮม และ ไมเคิล โอเว่น ร่วมทัพชนิดสะเทือนวงการ โดยนอกจากเรื่องในสนามแล้วเขายังมีเป้าหมายสำคัญเพื่อสร้างแบรนด์ เรอัล มาดริด เป็นทีมเบอร์หนึ่งของโลก และมันก็ได้ผลเมื่อพวกเขาฟันกำไรมากมายจากการขายเสื้อผ้าและสินค้าที่ระลึกของนักเตะคนดังเข้าสู่สโมสร แม้ว่าจะเอาไปหักลบกับค่าตัวแสนแพงของเหล่าแข้งซุปตาร์แล้วก็ตาม
และนี่คือนโยบายของเปเรซที่ยึดมั่นมาโดยตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงยุคปัจจุบัน นักเตะระดับโลกอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด้, แกเร็ธ เบล และ ฆาเมส โรดริเกวซ ต่างถูกดึงมาร่วมทีมไม่เพียงแค่เหตุผลทางฟุตบอลเท่านั้น แต่ผู้บริหารชาวสแปนิชยังมองว่าพวกเขาคือขุมทรัพย์ชั้นดีที่จะสร้างเงินมหาศาลให้กับสโมสรด้วย ดังนั้นเขาจึงพยายามเอาอกเอาใจและประคบประหงมเหล่าผู้เล่นระดับสตาร์เหล่านี้เป็นพิเศษจนลืมไปว่ากีฬาฟุตบอลนั้นเล่นเป็นทีม นักเตะทุกคนล้วนแต่มีความสำคัญต่อความสำเร็จของสโมสร ถ้าไม่ให้ใจกับทุกคนอย่างเท่าเทียมแล้วมันจะเป็นบ่อเกิดของปัญหาต่างๆที่เริ่มสั่นคลอนบัลลังก์ของเขาโดยไม่รู้ตัว
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ อังเคล ดิ มาเรีย ปีกทีมชาติอาร์เจนตินาที่ต้องจำใจโบกมือลาทีมทั้งที่ทำผลงานได้อย่างสุดยอดเมื่อซีซั่นก่อน เขาคือกุญแจสำคัญที่พามาดริดซิวแชมป์ โกปา เดล เรย์ กับ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 10 แต่สโมสรกลับไม่เคยให้ความสำคัญเลย จากบทสัมภาษณ์ของนักเตะนั้นแสดงให้เห็นถึงความน้อยเนื้อต่ำใจที่ตัวเองไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากสโมสร โดยเฉพาะท่านประธานที่ไม่เคยแม้แต่เข้ามาพูดคุยเรื่องสัญญาฉบับใหม่ที่เขาเรียกร้อง จนสุดท้าย ดิ มาเรีย ต้องย้ายไปเล่นกับแมนยูฯแทน
นี่ไม่ใช่เคสแรกที่เปเรซแสดงให้เห็นถึงการปล่อยปละละเลยนักเตะในทีม เพราะก่อนหน้านี้มันเคยเกิดขึ้นกับ โคลด มาเกเลเล กองกลางตัวรับที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดในโลกยุคนั้นมาแล้ว มิดฟิลด์ชาวฝรั่งเศสถือเป็นแข้งกำลังคัญประเภทปิดทองหลังพระมาโดยตลอดและช่วยทีมประสบความสำเร็จมากมาย แต่สุดท้ายสโมสรกลับไม่เคยมอบรางวัลตอบแทนผลงานของเขาเลย ดังนั้นเจ้าตัวจึงเลือกย้ายไปค้าแข้งกับเชลซีแทนในปี 2003 และนับจากเสียมาเกเกเล่ไปมาดริดก็ไม่สามารถคว้าโทรฟี่ใดๆมาเชยชมได้อีกเลยใน 3 ปีให้หลัง และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเอฟฟเฟคต์สำคัญที่ทำให้เปเรซโดนโจมตีอย่างหนักว่ามัวแต่แสดงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจกับเหล่าสตาร์ดังจนต้องประกาศลาตำแหน่งในปี 2007
แน่นอนว่ามหาเศรษฐีชาวสเปนจะไม่ถูกตำหนิหรือต่อว่าใดๆเลยจากการยึดนโยบายดังกล่าว หากราชันชุดขาวยังสามารถประสบความสำเร็จคว้าแชมป์รายการต่างๆเข้ามาประดับบารมีสโมสร แต่หากผลการแข่งขันไม่เป็นไปอย่างที่แฟนบอลคาดหวังเอาไว้ ปัญหาต่างๆที่ค่อยๆสะสมมาก็จะคืบคลานเข้ามาเลื่อยขาเก้าอี้ของเขาแบบไม่ทันตั้งตัวทันที
และในเกมแย่งชิงความเป็นหนึ่งของกรุงมาดริดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็มีสัญญาณที่เริ่มสั่นคลอนการปกครองของเปเรซบ้างแล้ว เมื่อมีสาวกมาดริดิสต้าบางส่วนแขวนป้ายเรียกร้องให้เขาลงจากตำแหน่งบริเวณหน้าสังเวียนซานติอาโก้ เบอร์นาเบว และยังมีเสียงตะโกนจากแฟนบอลในสนามให้เขาลาออกด้วย ภายหลังทีมเสียหน้าพ่ายคารังต่อ แอตเลติโก มาดริด 1-2 นับเป็นความปราชัยนัดที่สอง จากการออกสตาร์ท 3 เกมแรกในลาลีก้าฤดูกาลนี้
โดยตอนนี้เปเรซคงภาวนาให้ขุนพลมาดริดชุดนี้กลับมาสู่ฟอร์มเก่งโดยเร็วที่สุดเพื่อสร้างความมั่นคงกลับมาสู่บัลลังก์ของเขาอีกครั้ง แต่ถ้าหากสโมสรยังทำผลงานได้ไม่เข้าตาแบบนี้ไปเรื่อยๆ เปเรซก็คงต้องก้มหน้ารับผลการกระทำของตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเขาเลือกที่จะใช้วิธีนี้บริหารสโมสรและพิชิตใจแฟนบอลด้วยตัวเอง
...จริงอยู่ว่ากีฬาฟุตบอลในยุคปัจจุบันถือเป็นธุรกิจเต็มรูปแบบ แต่เราก็อย่ามัวแต่ให้ความสำคัญกับมันจนลืมแก่นแท้ของคำว่า"ฟุตบอล"...
ที่มาบทความ : http://www.goal.com/th/news/4259/%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%99/2014/09/15/5106651/Art-Corner-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%8B%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%99?ICID=SP
ความเห็นส่วนตัว :
หวังว่ากระแสนี้คงจะทำให้เปเรซสำนึกซะบ้างนะ ขนาดโดนไปรอบนึงตอนขายมาเกเลเล่ จนต้องลาออก พอได้กลับมาบริหารใหม่ ก็ไม่คิดจะแก้ไขอะไรทั้งนั้นเลย ยิ่งเปเรซโดนด่ามากเท่าไหร่ ข่าวลือที่โรนัลโด้จะกลับแมนยูก็ถี่ขึ้นเป็นเงาตามตัวเพราะเหมือนจะไม่ชอบใจในแนวทางการบริหารของเปเรซเช่นกัน ขนาดรามอสกับโรนัลโด้เข้าไปบอกเปเรซถึงในห้องว่าห้ามขายดิมาเรีย แถมอันเชล็อตติยังย้ำตลอดว่าจะไม่ขายดิมาเรีย แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าแกจะรั้งดิมาเรียด้วยซ้ำ(ด้วยการไม่ตอบรับข้อเสนอหรือพูดคุยสัญญาใหม่ตามที่นักเตะขอ) สุดท้ายก็ปล่อยขาย แล้วก็มาบอกว่านักเตะอยากย้ายออกเอง(แหงล่ะ ผลงานขนาดนั้น แต่ไม่มีการให้อะไรตอบแทนเลยมันก็น่าน้อยใจอยู่หรอก) กลายเป็นตอนนี้หลายคนแทบจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าการขายดิมาเรียคือหนึ่งในดีลที่พลาดที่สุดของราชันในยุคของเปเรซ
การที่นักเตะจะแสดงศักยภาพได้เหมาะสม สมราคา มันอยู่ที่ทีมเวิร์คของทีมเป็นหลัก ต่อให้จับนักเตะระดับตำนานมาอยู่รวมกัน แต่ถ้าเล่นเข้าขากันไม่ได้ เล่นไม่รู้ใจกัน สุดท้ายศักยภาพที่แสดงออกมามันก็ได้แค่ในระดับนักเตะ 1 คน ไม่ใช่ทีม 1 ทีม
ดังที่แอตเลติโก้ มาดริดที่ไม่ได้มีดารามากมายในทีม กับราชันชุดขาวเรอัล มาดริดที่รวมโคตรดาราจากทั่วโลกที่ฟอร์มระดับโลกทั้งนั้น
แอตเลติโก้ แสดงจุดสำคัญในข้อนี้ให้เห็นโดยการไล่บี้และคว่ำชุดขาวคาบ้านถึง 2 ปีติด เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร
การย้ายเข้ามาของนักเตะระดับโลกแต่ละคนที่เคยโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมในทีมเก่า เราก็ไม่ควรลืมว่ากว่าคนๆนั้นจะมีฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้น มันใช้เวลาบ่มเพาะ ปลุกปั้นมาขนาดไหน เช่น แกเร็ต เบลสมัยอยู่สเปอร์ มันก็ไม่ได้เก่งเปรี้ยงปร้างตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายเข้าไป แถมปีแรกนี่เจ็บออดๆแอดๆด้วยซ้ำ
สำนึกเถอะนะเปเรซ ไหว้ล่ะ