เห็นหลายๆท่านชอบถามเกี่ยวกับการเข้าโค้ง
เข้าอย่างไร
รถใหญ่กับรถเล็กเข้าไม่เหมือนกัน
แบนโค้งยังไงไม่ให้ล้ม
บลาๆๆ
ผมจะมาอธิบายการเข้าโค้ง ในแบบของผมนะครับ
ออกตัวก่อนว่านี่คือความเข้าใจของผมคนเดียวล้วนๆ ไม่มีการเรียนคอร์สใดๆทั้งสิ้น ไม่อ้างอิงจากตำราไหนๆ ผมเรียนยรู้เอง คิดเอง เข้าใจเอง ดังนั้น ผมจะไม่มีคำพูดเท่ๆแบบที่ครูฝึกเค้าเอาไว้พูดๆในคอร์สนะครับ
สำหรับท่านที่คิดว่าเก่งแล้ว เทพแล้ว เรียนมาหลายคอร์ส ลงมาหลายสนาม น้ำเต็มแก้ว รบกวนผ่านได้เลยครับ
หลายครั้งที่ผมได้ยินเพื่อนหรือคนที่ไปอบรมคอร์สขับขี่ ขับแข่ง อะไรต่างๆ แล้วมาโม้ให้คนอื่นฟังต่อๆพร้อมพกความมั่นใจมาเต็มประดาว่ากรูเรียนมาแล้วเทพแน่นอน
มักจะมาพร้อมคำพูด(ที่คิดว่า)เท่ๆ เช่น
เฮ้ย รถเล็กกับรถใหญ่เลี้ยวไม่เหมือนกัน
รถเล็กเลี้ยวด้วยแฮนด์ รถใหญ่เลี้ยวด้วยการเอียงตัว หรือ รถใหญ่น่ะ เลี้ยวด้วยเอว หรือ รถใหญ่น่ะ เลี้ยวด้วยตา(????) หรือ รถใหญ่น่ะ เลี้ยวด้วยหู(????????)
(นั่นเป็นการอบรมสั่งสอน สำหรับผู้ขับขี่ที่เป็นนกแก้วนกขุนทอง ท่องจำ ใส่อะไรมาก็ฟังอย่างเดียว)
ถ้าอยาก “เข้าใจ” อ่านต่อเลยครับ
หลักการเลี้ยวหรือการเปลี่ยนทิศทางของยานพาหนะสองล้อ เช่น มอเตอร์ และจักรยาน ผมแบ่งได้สองแบบครับ
1. เลี้ยวด้วยแฮนด์
อันนี้คงไม่ต้องอธิบายมากครับ แน่นอนล้อหน้าเอียงมันก็เปลี่ยนทิศทางและดึงให้ล้อหลังวิ่งเปลี่ยนทิศทางตาม อันนี้เป็นการเปลี่ยนทิศทางแบบเบสิค รถกี่ล้อก็ใช้หลักการนี้ครับ
2. เลี้ยวด้วยความต่างของเส้นรอบวงของหน้ายาง
หรือที่เรียกๆกันว่า แบนโค้งนั่นเอง
มันคืออะไร?
โดยปกติ ยางมอเตอร์ไซค์ มักจะมีลักษณะกลมโค้ง มากน้อยแล้วแต่ประเภทยางและลักษณะการใช้งาน
ซึ่งหน้ายางที่มีความโค้ง จะทำให้ ระยะเส้นรอบวงของหน้ายางด้านใน(inner) น้อยกว่าเส้นรอบวงของหน้ายางตรงกลางเสมอ(outer) ตามรูปครับ
ถ้ากลิ้งตรงๆ แน่นอนยางที่สัมผัสพื้น ก็จะมีเพียงตรงกลางอย่างเดียว ยางจะวิ่งตรง ไม่มีผลอะไร
แต่ถ้าเราจับยางมาเอียงแล้วกลิ้ง ยางจะวิ่งไม่ตรง จะวิ่งเป็นแนวโค้ง มากน้อยตามความเอียงของยาง
เพราะเนื่องจากระยะเส้นรอบวงต่อรอบน้อยกว่า แต่เมื่อถูกบังคับให้ว่งด้วยจำนวนรอบที่เท่ากัน จึงต้องถูกหักล้างด้วยการวิ่งเป็นวงกลม
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น ลองเอาล้อสองขนาดมาเชื่อมต่อกันด้วยเพลา แล้วจับกลิ้งไปบนพื้น จะเห็นว่ามันจะกลิ้งเป็นวงกลม เป็นไปไม่ได้เลยถ้ามันจะวิ่งไปตรงๆ(นอกจากไถบังคับให้มันไปถูกับพื้น ซึ่งมันไม่ใช่ลักษณะการหมุนแบบปกติ ยางจะสึกหรอมาก)
ยิ่งโค้งแคบ ยิ่งต้องเอียงเยอะ เพื่อใช้ความต่างของหน้ายางให้เยอะ เพื่อชดเชยให้พอกับโค้งแคบๆ
เมื่อมีการเปลี่ยนทิศทาง สิ่งที่ตามมาคือการเสียสมดุล
เมื่อเราขับรถยนต์แล้วเลี้ยวไปทางใดทางหนึ่ง จะมีแรง เหวี่ยงหนีศูนย์ออกในทิศทางตรงข้ามเสมอ เช่นถ้าเราหักพวงมาลัยไปทางซ้าย เราจะถูก แรงเหวี่ยงไปทางขวา กลับกันถ้าเราหักพวงมาลัยไปทางขวาเราจะถูก แรงเหวี่ยงไปทางซ้าย สำหรับรถยนต์มันมี4ล้อ ไม่สามารถล้มได้โดยง่าย แต่กับสองล้อ ถ้ามีแรงมากระทำ สามารถล้มเอาได้ง่าย สิ่งที่เราๆทำโดยไม่รู้ตัวเลยคือ การเอียงรถเพื่อรองรับแรง เหวี่ยงที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเอียงเพื่อทำการชดเชยหน้ายางให้เข้ากับโค้งที่กำลังวิ่งอยู่
ยิ่งวิ่งเร็ว ยิ่งต้องเอียงเยอะ เพื่อชดเชยแรง เหวี่ยงที่มากขึ้นตามความเร็ว
ยิ่งมาเร็ว และโค้งแคบ หรือโค้งอาจไม่แคบมาก แต่มาเร็วมาก ยิ่งต้องเอียงเยอะ
วิธีนี้ นักขับขี่เรียกว่าการ Lean-With เป็นการขับขี่แบบมตรฐาน
( ใครบอกรถเล็กเลี้ยวไม่เอียง ว่างๆไปนั่งดูริมถนนนะครับ เอียงทุกคัน แม้แต่จักรยานก็เอียง)
บางครั้งเอียงจนหมดหน้ายางแล้วแต่ยังไม่สามารถชดเชยระยะโค้งได้เพียงพอ ผลคือเอียงมากไป หลุดหน้ายาง สไลด์ลงข้างทาง
วิธีแก้คือ ต้องเอียงตัวเข้าหาโค้ง เพื่อต้านแรงเหวี่ยงที่พยายามเหวี่ยงเราออกนอกโค้ง โดยไม่จำเป็นต้องเอียงรถเพิ่ม
แต่ถ้าโค้งแคบ หรือมาเร็ว อาจเอียงรถไม่พอกับรัศมีโค้ง หรือเอียงจนหมดหน้ายางแล้วก็ยังไม่พอกับรัศมีโค้ง
สิ่งที่ต้องทำเพิ่มมีสองอย่างคือ ชะลอความเร็วรถ หรือ “หักแฮนด์เข้าช่วย”
วิธีนี้ นักขับขี่เรียกว่าการ Lean-In
แต่สำหรับการแข่งขัน สิ่งที่ต้องทำคือเร็วที่สุด รถต้องวิ่งเร็ว โค้งต้องโค้งให้เร้วที่สุดทุกโค้ง ดังนั้นเรื่องของการโค้งไม่หมดหน้ายางนั้น คงไม่มี ถ้าโค้งไหนกว้าง ก็เติมความเร้วเข้าไป เรียกได้ว่าใช้หน้ายางหมดแทบทุกโค้ง แต่ถ้าเอียงรถแล้วหักแฮนด์ช่วยแล้ว เอียงตัวแล้ว ยังไม่พอ สิ่งที่ต้องทำก็คือ “การโหนตัว” ซึ่งจะทำให้ต้านแรงเหวี่ยงได้มากกว่าเดิม ส่งผลให้เราหักแฮนด์ช่วยเลี้ยวได้มากขึ้น
วิธีนี้ นักขับขี่เรียกว่าการ Hang-on
ในทางกลับกัน หากเราเปลี่ยนทิศทางในโค้งแคบๆด้วยความเร็วต่ำ แต่ถ้าเราเอียงรถมากไป แรงเหวี่ยง ไม่เพียงพอที่จะสร้างสมดุล สิ่งที่ตามมาก็คือแรงดึงดูดโลกดูดเราและรถลงไปนอนกับพื้น สิ่งที่ต้องแก้คือการโหนตัวออกไปนอกโค้งเพื่อหักล้างกับแรงดึงดูดโลกให้เกิดสมดุล มักเห็นบ่อยในการขับขี่แบบ Gymkhana(จิ๋มคาหน้า)
วิธีนี้ นักขับขี่เรียกว่าการ Lean-out
สรุป
การโค้งไม่ยาก ขี่ๆไปเถอะ อยู่ในโค้งเดียวกัน อยากเอียงมากขึ้นก็ใส่ความเร็วเข้าไป อยากเอียงน้อยลงความเร็วเท่าเดิม ก็เอียงตัวเข้าโค้งพร้อมหักแฮนด์ช่วย อยากเอียงน้อยที่สุดก็โหนตัวลงเยอะๆแล้วหักแฮนด์เข้าโค้ง ลองทำดูครับแล้วจะเข้าใจเอง
ระวังจะข้ามเสตปไปกลายเป็น Hang-Out(หรือกลิ้งนั่นเอง) นะครับ
เครดิจภาพทั้งหมด จากอินเตอร์เน็ต และภาพสุดท้าย จากสตอร์มครับ
.
.
.
ผมเคยพูดคุยกับเพื่อนนักขับขี่ท่านหนึ่ง เค้าบอกว่าไปเทรนมา ครูฝึกบอกว่า รถน่ะ เลี้ยวด้วยตา
เลี้ยวด้วยตา เป็นคำพูดที่ดูเท่มาก
ผมก็ถามว่า เลี้ยวด้วยตายังไง
ได้คำตอบว่า ครูฝึกอธิบายมาว่าใช้ตามองโค้ง แล้วถึงเลี้ยวได้
ผมเลยตอบไปว่า ถ้างั้น ผมก็ใข้ตากินข้าว ใช้ตาเดิน ใช้ตาขับรถ ทุกอย่างใช้ตาหมด
เค้าเงียบเลย
อ้อ แต่บางอย่าง ไม่ใช้ตาก็ทำได้นะ ปิดไฟมืดๆยังทำได้เลย


เล่าสู่กันฟัง#วิธีเข้าโค้ง
เข้าอย่างไร
รถใหญ่กับรถเล็กเข้าไม่เหมือนกัน
แบนโค้งยังไงไม่ให้ล้ม
บลาๆๆ
ผมจะมาอธิบายการเข้าโค้ง ในแบบของผมนะครับ
ออกตัวก่อนว่านี่คือความเข้าใจของผมคนเดียวล้วนๆ ไม่มีการเรียนคอร์สใดๆทั้งสิ้น ไม่อ้างอิงจากตำราไหนๆ ผมเรียนยรู้เอง คิดเอง เข้าใจเอง ดังนั้น ผมจะไม่มีคำพูดเท่ๆแบบที่ครูฝึกเค้าเอาไว้พูดๆในคอร์สนะครับ
สำหรับท่านที่คิดว่าเก่งแล้ว เทพแล้ว เรียนมาหลายคอร์ส ลงมาหลายสนาม น้ำเต็มแก้ว รบกวนผ่านได้เลยครับ
หลายครั้งที่ผมได้ยินเพื่อนหรือคนที่ไปอบรมคอร์สขับขี่ ขับแข่ง อะไรต่างๆ แล้วมาโม้ให้คนอื่นฟังต่อๆพร้อมพกความมั่นใจมาเต็มประดาว่ากรูเรียนมาแล้วเทพแน่นอน
มักจะมาพร้อมคำพูด(ที่คิดว่า)เท่ๆ เช่น
เฮ้ย รถเล็กกับรถใหญ่เลี้ยวไม่เหมือนกัน
รถเล็กเลี้ยวด้วยแฮนด์ รถใหญ่เลี้ยวด้วยการเอียงตัว หรือ รถใหญ่น่ะ เลี้ยวด้วยเอว หรือ รถใหญ่น่ะ เลี้ยวด้วยตา(????) หรือ รถใหญ่น่ะ เลี้ยวด้วยหู(????????)
(นั่นเป็นการอบรมสั่งสอน สำหรับผู้ขับขี่ที่เป็นนกแก้วนกขุนทอง ท่องจำ ใส่อะไรมาก็ฟังอย่างเดียว)
ถ้าอยาก “เข้าใจ” อ่านต่อเลยครับ
หลักการเลี้ยวหรือการเปลี่ยนทิศทางของยานพาหนะสองล้อ เช่น มอเตอร์ และจักรยาน ผมแบ่งได้สองแบบครับ
1. เลี้ยวด้วยแฮนด์
อันนี้คงไม่ต้องอธิบายมากครับ แน่นอนล้อหน้าเอียงมันก็เปลี่ยนทิศทางและดึงให้ล้อหลังวิ่งเปลี่ยนทิศทางตาม อันนี้เป็นการเปลี่ยนทิศทางแบบเบสิค รถกี่ล้อก็ใช้หลักการนี้ครับ
2. เลี้ยวด้วยความต่างของเส้นรอบวงของหน้ายาง
หรือที่เรียกๆกันว่า แบนโค้งนั่นเอง
มันคืออะไร?
โดยปกติ ยางมอเตอร์ไซค์ มักจะมีลักษณะกลมโค้ง มากน้อยแล้วแต่ประเภทยางและลักษณะการใช้งาน
ซึ่งหน้ายางที่มีความโค้ง จะทำให้ ระยะเส้นรอบวงของหน้ายางด้านใน(inner) น้อยกว่าเส้นรอบวงของหน้ายางตรงกลางเสมอ(outer) ตามรูปครับ
ถ้ากลิ้งตรงๆ แน่นอนยางที่สัมผัสพื้น ก็จะมีเพียงตรงกลางอย่างเดียว ยางจะวิ่งตรง ไม่มีผลอะไร
แต่ถ้าเราจับยางมาเอียงแล้วกลิ้ง ยางจะวิ่งไม่ตรง จะวิ่งเป็นแนวโค้ง มากน้อยตามความเอียงของยาง
เพราะเนื่องจากระยะเส้นรอบวงต่อรอบน้อยกว่า แต่เมื่อถูกบังคับให้ว่งด้วยจำนวนรอบที่เท่ากัน จึงต้องถูกหักล้างด้วยการวิ่งเป็นวงกลม
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น ลองเอาล้อสองขนาดมาเชื่อมต่อกันด้วยเพลา แล้วจับกลิ้งไปบนพื้น จะเห็นว่ามันจะกลิ้งเป็นวงกลม เป็นไปไม่ได้เลยถ้ามันจะวิ่งไปตรงๆ(นอกจากไถบังคับให้มันไปถูกับพื้น ซึ่งมันไม่ใช่ลักษณะการหมุนแบบปกติ ยางจะสึกหรอมาก)
ยิ่งโค้งแคบ ยิ่งต้องเอียงเยอะ เพื่อใช้ความต่างของหน้ายางให้เยอะ เพื่อชดเชยให้พอกับโค้งแคบๆ
เมื่อมีการเปลี่ยนทิศทาง สิ่งที่ตามมาคือการเสียสมดุล
เมื่อเราขับรถยนต์แล้วเลี้ยวไปทางใดทางหนึ่ง จะมีแรง เหวี่ยงหนีศูนย์ออกในทิศทางตรงข้ามเสมอ เช่นถ้าเราหักพวงมาลัยไปทางซ้าย เราจะถูก แรงเหวี่ยงไปทางขวา กลับกันถ้าเราหักพวงมาลัยไปทางขวาเราจะถูก แรงเหวี่ยงไปทางซ้าย สำหรับรถยนต์มันมี4ล้อ ไม่สามารถล้มได้โดยง่าย แต่กับสองล้อ ถ้ามีแรงมากระทำ สามารถล้มเอาได้ง่าย สิ่งที่เราๆทำโดยไม่รู้ตัวเลยคือ การเอียงรถเพื่อรองรับแรง เหวี่ยงที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเอียงเพื่อทำการชดเชยหน้ายางให้เข้ากับโค้งที่กำลังวิ่งอยู่
ยิ่งวิ่งเร็ว ยิ่งต้องเอียงเยอะ เพื่อชดเชยแรง เหวี่ยงที่มากขึ้นตามความเร็ว
ยิ่งมาเร็ว และโค้งแคบ หรือโค้งอาจไม่แคบมาก แต่มาเร็วมาก ยิ่งต้องเอียงเยอะ
วิธีนี้ นักขับขี่เรียกว่าการ Lean-With เป็นการขับขี่แบบมตรฐาน
( ใครบอกรถเล็กเลี้ยวไม่เอียง ว่างๆไปนั่งดูริมถนนนะครับ เอียงทุกคัน แม้แต่จักรยานก็เอียง)
บางครั้งเอียงจนหมดหน้ายางแล้วแต่ยังไม่สามารถชดเชยระยะโค้งได้เพียงพอ ผลคือเอียงมากไป หลุดหน้ายาง สไลด์ลงข้างทาง
วิธีแก้คือ ต้องเอียงตัวเข้าหาโค้ง เพื่อต้านแรงเหวี่ยงที่พยายามเหวี่ยงเราออกนอกโค้ง โดยไม่จำเป็นต้องเอียงรถเพิ่ม
แต่ถ้าโค้งแคบ หรือมาเร็ว อาจเอียงรถไม่พอกับรัศมีโค้ง หรือเอียงจนหมดหน้ายางแล้วก็ยังไม่พอกับรัศมีโค้ง
สิ่งที่ต้องทำเพิ่มมีสองอย่างคือ ชะลอความเร็วรถ หรือ “หักแฮนด์เข้าช่วย”
วิธีนี้ นักขับขี่เรียกว่าการ Lean-In
แต่สำหรับการแข่งขัน สิ่งที่ต้องทำคือเร็วที่สุด รถต้องวิ่งเร็ว โค้งต้องโค้งให้เร้วที่สุดทุกโค้ง ดังนั้นเรื่องของการโค้งไม่หมดหน้ายางนั้น คงไม่มี ถ้าโค้งไหนกว้าง ก็เติมความเร้วเข้าไป เรียกได้ว่าใช้หน้ายางหมดแทบทุกโค้ง แต่ถ้าเอียงรถแล้วหักแฮนด์ช่วยแล้ว เอียงตัวแล้ว ยังไม่พอ สิ่งที่ต้องทำก็คือ “การโหนตัว” ซึ่งจะทำให้ต้านแรงเหวี่ยงได้มากกว่าเดิม ส่งผลให้เราหักแฮนด์ช่วยเลี้ยวได้มากขึ้น
วิธีนี้ นักขับขี่เรียกว่าการ Hang-on
ในทางกลับกัน หากเราเปลี่ยนทิศทางในโค้งแคบๆด้วยความเร็วต่ำ แต่ถ้าเราเอียงรถมากไป แรงเหวี่ยง ไม่เพียงพอที่จะสร้างสมดุล สิ่งที่ตามมาก็คือแรงดึงดูดโลกดูดเราและรถลงไปนอนกับพื้น สิ่งที่ต้องแก้คือการโหนตัวออกไปนอกโค้งเพื่อหักล้างกับแรงดึงดูดโลกให้เกิดสมดุล มักเห็นบ่อยในการขับขี่แบบ Gymkhana(จิ๋มคาหน้า)
วิธีนี้ นักขับขี่เรียกว่าการ Lean-out
สรุป
การโค้งไม่ยาก ขี่ๆไปเถอะ อยู่ในโค้งเดียวกัน อยากเอียงมากขึ้นก็ใส่ความเร็วเข้าไป อยากเอียงน้อยลงความเร็วเท่าเดิม ก็เอียงตัวเข้าโค้งพร้อมหักแฮนด์ช่วย อยากเอียงน้อยที่สุดก็โหนตัวลงเยอะๆแล้วหักแฮนด์เข้าโค้ง ลองทำดูครับแล้วจะเข้าใจเอง
ระวังจะข้ามเสตปไปกลายเป็น Hang-Out(หรือกลิ้งนั่นเอง) นะครับ
เครดิจภาพทั้งหมด จากอินเตอร์เน็ต และภาพสุดท้าย จากสตอร์มครับ
.
.
.
ผมเคยพูดคุยกับเพื่อนนักขับขี่ท่านหนึ่ง เค้าบอกว่าไปเทรนมา ครูฝึกบอกว่า รถน่ะ เลี้ยวด้วยตา
เลี้ยวด้วยตา เป็นคำพูดที่ดูเท่มาก
ผมก็ถามว่า เลี้ยวด้วยตายังไง
ได้คำตอบว่า ครูฝึกอธิบายมาว่าใช้ตามองโค้ง แล้วถึงเลี้ยวได้
ผมเลยตอบไปว่า ถ้างั้น ผมก็ใข้ตากินข้าว ใช้ตาเดิน ใช้ตาขับรถ ทุกอย่างใช้ตาหมด
เค้าเงียบเลย
อ้อ แต่บางอย่าง ไม่ใช้ตาก็ทำได้นะ ปิดไฟมืดๆยังทำได้เลย