Hunger Knock (bonk) case study

กระทู้สนทนา

ถ้าใครดู Tour de France เมื่อปีที่แล้วที่ Froome ชนะ จะเห็น stage หนึ่งที่ลูกทีมรอทีมคาร์เพื่อเอา Gel มาแล้วปั่นยื่นให้ Froome ซึ่งปกติการขึ้นเขาสุดท้ายแล้วจะไม่มีการให้อาหารหรือน้ำอย่างไร ถึงจะหลีกเลี่ยงบาลีให้ลูกน้อง Porte ไปหยิบให้ แต่เขาเป็นคนกิน Froome ถูกเพิ่มเวลาไป (ราวๆ 10 วินาที) แต่การทำผิดกฎอย่างไรก็ดีกว่าให้ hunger knock (bonk) หรือภาษาไทยว่า หิวหมดแรงคาร์โบ คงสภาพอยู่ เพราะการปั่นขึ้นเขากินแรงมาก ไม่มีคาร์โบมีแต่ตายกับตายลูกเดียว เพราะไขมัน/โปรตีน ให้พลังงานช้ามาก ปั่นต่อนะได้ แต่ความเร็วจะฮวบลง อาจสูญเสียไปหลายนาทีเลย ซึ่งเคยเกิดกับ Landis สมัยได้แชมป์ (แต่ถูกริบเพราะโด้ป) มาแล้วครั้งหนึ่ง จากการเป็นผู้นำเสื้อเหลือง วันนั้นสูญเสียเวลาไปกว่า 10 นาที หลุดเหลืองไปเลย แล้วมาเอาเวลาคืนวันรุ่งขึ้นได้สำเร็จ (โด้ปคืนนั้น)

เกรินมาแล้ว มาดู ตย การปั่น 80 กม สองวันของผมบ้าง

เมื่อวาน ทานอาหารเช้าแล้วออกจากบ้าน 5.45 ฟ้ายังไม่สว่าง ปั่นไปห้าแยกปากเกร็ด ติวานนท์ เลียบแม่น้ำแล้วข้ามสะพานไปพักที่วัดโบสถ์ที่มีองค์หลวงพ่อใหญ่ที่สุดในประเทศ พัก 15 นาทีแล้วปั่นกลับ ขากลับปั่นมาได้สัก 10 กม ก็แวะ 7 ซื้อไวตามิลก์ 330cc 10 บาท สูตรข้าวบาร์เลย์ แล้วปั่นถึงบ้าน 9.20 รวม 80 กม ความเร็ว 25-28 ใช้เสือหมอบ ไม่เหนื่อย ไม่หิว ไม่เกิดอาการ hunger knock ออกเช้าไม่ร้อนมาก เพราะถึงบ้านเร็ว

วันนี้ ขับรถไปงาน วัด วัง วิว ปั่นมาราธอน 80 กม (ความจริง 82.5 กม ตามไมล์) กินข้าวเช้าเท่าเดิม และกินข้าวต้มในงาน 1 ถ้วย + น้ำเต้าหู้ รวมแล้วกินมากกว่าเมื่อวานหน่อย แต่เริ่มปั่น 8.25 แดดออกจ้าแล้ว ช่วง 5 กม แรกปั่นช้าไม่เกิน 25 เพราะคนแยะ จากนั้นความเร็วเพิ่มเรื่อยๆ ผมก็ไล่ไปข้างหน้าเรื่อยๆ ในที่สุดก็อยู่กลุ่มที่ความเร็วเหมาะกับตัวเอง 32-38 แต่ก็ยังเห็นกลุ่มหน้าที่ห่างไปอีก จุดให้น้ำจุดแรก 30 กม ก็หยุดรับน้ำดื้มขวดเล็กกินหมด และกินน้ำเกลือแร่ในกระป๋องน้ำตัวเองเพิ่มด้วย (เมื่อวานพกแต่น้ำเปล่า) จากจุดนี้ลมแรงมาก ปั่นได้ไม่หลุด 32-35 จนราวๆ 52 กม ก็หยุดจุดน้ำที่สอง ดื่มน้ำขวดเล็ก + น้ำเกลือแร่ แล้วก็ไปต่อ ตามกลุ่ม 30-32 ตามเดิม แต่ตามไปได้จนราวๆ 70 กม เกิดอาการหิว วิงเวียนหัว Hunger Knock ขึ้นมา คาร์โบหมดแล้ว (สมองต้องมีน้ำตาลมาเลี้ยงไม่งั้นมึน) ก็เลยปล่อยหลุดปั่นคนเดียว 22-25 แล้วก็ช้าลงๆ เหลือ 20-21 แดดก็ร้อนมาก มีจุดหนึ่งหน้ามืดปั่นไปเอียงซ้ายเกือบตกข้างทาง ก็คุมสติโดยยกกระบอกน้ำมาดื่ม ช่วง 30 กม สุดท้ายมีจุดให้น้ำแยะมากราวๆ 3 จุด ทุก 10 กม ทีเดียว มาถึงปั้มบางจาก สว ที่ปั่นมาด้วยกัน (อายุน้อยกว่าผมหน่อย เพราะหนวดยังดำอยู่) เขาขอแวะ ผมก็อยากแวะซื้อน้ำเกลือแร่ เพราะหมดนานแล้ว แต่ดูเหลืออีก 5 กม เอง (ความจริง 7 กม) ก็ลองสู้ดู ช่วงนี้กลุ่มที่ผมเคยแซงไป เริ่มแซงกลับมาหลายสิบคัน เพราะความเร็วผมเหลือ 19-20 เอง มาถึงในงานเวลา 11.25 ได้รับเหรียญ ทานเฉาก๋วยน้ำแดงก่อนอื่นเลยครับเพื่อเอาน้ำตาลมาตุนก่อน จากนั้นทานมันทอด ข้าวแกงเขียวหวาน ก๋วยเตี๋ยว และกลับมาเอาเฉาก๋วยอีกแต่หมดแล้วมีแต่น้ำแดง+น้ำแข็งไส กินไปดูเขาให้ถ้วย และจับรางวัลของชำร่วย เช่น สูบพกพา มีร้องเพลง+หางเครื่องเด็กนักเรียน อิ่มแล้วก็ปั่นออกจากงานไปที่จอดรถ อ.บางปะอินห่างไป 1 กม ครับ

สรุป วันที่ 2 82 กม เกิดอาการ hunger knock ทั้งที่ทานอาหารเช้ามากกว่าวันแรกเมื่อปั่นไป 70 กมแล้ว ผมคิดว่า เกิดจากการใช้แรงมากกว่าวันแรกมาก และปั่นตลอดไม่หยุดพัก หยุด 2 จุดให้น้ำแค่ 1 นาทีแต่ละจุด ผมคิดว่า ถ้าผมตามกลุ่ม 28-30 อาจไม่เกิดอาการนี้ก็ได้ หรือควรจะพกกล้วยตากสัก 2 ลูก (หาซื้อได้ที่ 7) น่าจะป้องกันอาการนี้ได้

ปล ตอนนั้นผมทรมานมาก อยากแวะปั้มบางจากเพื่อซื้อ sponsor หรือไวตามิลค์ แต่ก็ฝืน (ไม่ควรอย่างยิ่ง อาจ knock กลางทาง) ไม่รู้จะฝืนไปทำไม ถ้วยก็ไม่ได้ (มี 5 ใบ) ยิ่งตอนออกจากงาน 12.30 ยังเห็นพวก 80 และ 60 กม ยังทะยอยปั่นเข้ามาอีกหลายสิบคน ยิ่งเห็นความไม่เข้าท่า (อีโก้สูง) ของตัวเอง มันไม่คุ้มกับการทำเวลาให้เร็วขึ้นแค่ 5 นาทีถ้าแวะปั้ม หวังว่า พวกนักปั่นที่ไม่มีทางได้ถ้วย อย่าเอาผมเป็นตัวอย่าง เพราะมันไม่ดี
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่