อยากให้อ่านบทความนี้ ที่มุมมองจากต่างประเทศมองมาที่ประเทศว่าเป็นอย่างไร
11 ก.ย. 2557 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือองค์การนิรโทษกรรมสากล ออกแถลงการณ์รายงาน “ประเทศไทย: การปราบปรามอย่างรุนแรงไม่มีแนวโน้มลดลงในช่วง 100 วันหลังการยึดอำนาจของทหาร” โดยเนื้อหาเป็นการเปิดเผยข้อมูลการปราบปราม จับกุม การซ้อมทรมาณ และความอยุติธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศไทยหลังการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ซึ่งภายหลังจากที่แถลงการณ์ฉบับนี้ออกมา สื่อต่างประเทศหลายสำนักก็ได้หยิบเนื้อหามาใช้ในการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของคณะรัฐประหารเป็นจำนวนมาก เริ่มจาก The New York Times บทความของ Thomas Fuller ที่ชื่อว่า “รายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐบาลทหาร” โดยเน้นย้ำถึงการจับกุมและพิจารณาคดีที่เป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัยในช่วงหลังรัฐประหาร เพราะมีการหว่านแหจับกุมผู้กระทำความผิดฐานชุมนุมทางการเมืองเพื่อประท้วงการรัฐประหารและในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยผู้ที่ถูกจับเกือบทุกคนนั้นไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว ซึ่งในรายงานขององค์กรสิทธินั้น ได้คาดการณ์ประมาณตัวเลขของประชาชนที่ถูกเรียกไปรายงานตัวไว้ถึง 570 คน ส่วนใหญ่ได้รับการปล่อย และส่วนใหญ่เป็นนักการเมือง ทั้งนี้มีจำนวนถึง 141 คนที่เป็นนักวิชาการ นักเขียน นักข่าว และนักกิจกรรม และในกรณีของกฤชสุดา ที่ถูกกักตัวไว้ถึง29วัน ก็มีคำกล่าวอ้างจากเจ้าตัวว่าโดนซ้อมทรมาณ ทั้งนี้ คสช ยังได้ทำการปิดเว็ปไซต์ วิทยุ สื่อ และแหล่งข้อมูล อื่นๆที่เป็นปฎิปักษ์ต่อ คสช ทั้งในโรงเรียนและในมหาวิทยาลัยอีกด้วย
ในบทความของ Thomas Fuller ยังระบุว่า มีการสั่งยกเลิกงานแถลงข่าวที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารถึงสองครั้ง เช่นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทัพได้สั่งยกเลิกงานแถลงข่าวของ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ซึ่งองค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ระบุว่า การยกเลิกงานในครั้งนี้ “ยิ่งเป็นการทำให้บรรยากาศสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยตกต่ำไปอีกมาก”
ใน DW Akademie องค์กรสื่อฯของประเทศเยอรมันนี ได้สัมภาษณ์ Rupert Abbott ประธานองค์การนิรโทษกรรมสากลและผู้ร่วมทำรายงานฉบับข้างต้น กล่าวถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในไทยได้สร้างบรรยากาศความกลัวให้กับประชาชน และถึงแม้ว่า คสช จะพยายามรับมือกับแรงกดดันจากนานาชาติเพียงใด ก็ไม่หนีไปจากข้อกล่าวหาด้านการละเมิดสิทธิฯนี้ได้ Ruper Abbott กล่าวว่า คณะรัฐประหารนั้นได้ละเมิดสิทธิสากลอย่างชัดเจน โดยหลักฐานก็คือคำสั่งของพวกเขา เช่น ที่ห้ามให้มีการชุมนุม การเรียกบุคคลมารายงานตัว และการออกกฎจำกัดสิทธิในการแสดงออก ทั้งนี้เขาเสริมว่าหลักฐานของรายงานฉบับนี้นั้นมาจากงานวิจัยเชิงลึก และการสัมภาษณ์ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการละเมิดสิทธิหลายราย ซึ่งมันทำให้เห็นภาพว่าตอนนี้การปราบปรามนั้นได้ทวีรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆและแย่ลงมาก
Rupert ได้เล่าถึงการละเมิดสิทธิของ คสช ในการเรียกบุคคลมารายงานตัวหลังจากการรัฐประหาร ด้วยการใช้คำสวยหรูจากกองทัพว่าเป็นการ “ปรับทัศนคติ” พวกเขา(บุคคลที่โดนเรียก) ไม่มีสิทธิในการแต่งตั้งทนายและยังโดนบังคับให้เซ็นสัญญาที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกหลังจากถูกปล่อยตัว และเมื่อถูกปล่อยตัวแล้ว พวกเขาก็ยังจะถูกจับตามองจากกองทัพ มีนักวิเคราะห์การเมืองท่านหนึ่งที่ถูกเรียกซ้ำสอง และถูกกักตัวไว้เพื่อเป็นการทำโทษ Rupert เชื่อว่านี่เป็นการใช้อำนาจในการปราบปรามและกักตัว เพื่อบังคับให้พวกเขา(ที่ถูกละเมิดสิทธิ) ให้ความร่วมมือและใครที่ไม่ให้ความร่วมมือกับกองทัพในการไปรายงานตัว ก็จะถูกขึ้นศาลทหารที่ไม่มีสิทธิอุทรณ์ และมีความเสี่ยงมากที่จะติดคุก หลายคนถูกปฎิเสธหนังสือเดินทาง ไม่ใช่เพียงแค่บุคคลที่เป็นเป้าหมาย แต่รวมถึงครอบครัวของพวกเขาเหล่านั้นด้วย ซึ่งสมาชิกในครอบครัวของเป้าหมายบางคนก็ถูกกักตัวและข่มขู่เช่นเดียวกัน
Rupert ยังได้เรียกร้องไปถึง สภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่จะมีการประชุมกันในสัปดาห์นี้ที่กรุงเจนีวา ให้กดดันรัฐบาลไทยให้เปลี่ยนท่าทีเพื่อเคารพสิทธิมนุษยชนในทุกๆด้านมากขึ้นด้วย
ในบทความของ The Australian สำนักข่าวของประเทศออสเตรเลีย เรื่อง “ องค์การนิรโทษกรรมชี้ การปราบปราม ‘อย่างไม่ลดละ’ ในประเทศไทย หลังรัฐประหาร” ของ Peter Alford กล่าวถึงรายงานขององค์การนิรโทษกรรมสากลที่เรียกร้องให้นานาชาติ ทั้งสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และประเทศที่เกี่ยวข้อง ทำการกดดันเพื่อให้รัฐบาลทหารยกเลิกกฎหมายการชุมนุม และเรียกร้องให้ประชาชนมีสิทธิเต็มที่ในการแสดงออกโดยเร็ว
สำนักข่าวคาธอลิกอิสระประจำเอเชีย ก็พูดถึงการละเมิดสิทธิมนุษชนในประเทศไทยเช่นเดียวกัน โดยอ้างรายงานข่าวจาก AFP และใช้ชื่อบทความว่า “คดีหมิ่นประมาทราชวงศ์มีการเพิ่มมากขึ้น ‘อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน’ หลังรัฐประหารในประเทศไทย” โดยเน้นที่ข้อกล่าวหาการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เกิดขึ้นในประเทศไทยภายหลังรัฐประหารว่ามีการเพิ่มจำนวนของคดีขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ในรายงานระบุว่า ตามที่องค์การนิรโทษกรรมได้แถลงล่าสุด มีคนไทยจำนวนถึง 14 คนที่ถูกกล่าวหาว่าได้ก่อคดีดังกล่าวภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือน และโทษสูงสุดของคดีนี้คือ 15 ปี
ซึ่งนักวิจารณ์จากหลายฝ่ายให้ความเห็นว่ากฎหมายข้อนี้ถูกนำมาใช้เป็นข้อกล่าวหาทางการเมืองเสียมากกว่า ซึ่งในหลายข้อกล่าวหานั้นก็ไม่ได้เกี่ยวโยงกับขบวนการคนเสื้อแดงเลย
อีกสำนักข่าวหนึ่งที่เขียนประเด็นสิทธิมนุษยชนอย่างน่าสนใจคือ Views Times เรื่อง “กลุ่มสิทธิฯประณามรัฐบาลทหารทำลายสิทธิมนุษยชน” โดยมีการเปิดเผยคำพูดบางส่วนของผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิ์อ้างจากรายงานขององค์การนิรโทษกรรมฯว่า “ฉันบอกพวกเขาไปว่า ฉันมีสิทธิที่จะพูดกับทนายและครอบครัวของฉัน แต่พวกเขาบอกให้ฉันหุบปาก พวกเขาบอกว่า ‘คุณถูกควบคุมตัว และคุณไม่มีสิทธิเหล่านั้น’ ” Views Times ยังได้เล่าถึงที่มาของการรัฐประหารโดยพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ที่หวังจะทำให้ประเทศไทยออกจากวังวนทางการเมือง และการจัดแคมเปญสร้างความสุขเพื่อหวังดึงนักท่องเที่ยวและนักลงทุน มีการสัญญาจากพลเอกประยุทธที่จะเคารพสิทธิมนุษยชน แต่ทว่าพวกเขาก็ได้ทำการเปลี่ยนแปลงกฎหมายของประเทศ แทนที่จะเพิ่มสิทธิเสรีภาพมากขึ้นตามที่ได้สัญญาไว้ กลับทำให้ คสช มีอำนาจในการแทรกแซงสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาคิดว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคง” ได้อย่างชอบธรรม คสช ได้ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนสากลโดยการจำกัดสิทธิในการแสดงออกในทุกๆด้าน Gregory Poling ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประเทศไทย จากศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์สากลประจำวอชิงตัน (CSIS) กล่าวว่าสถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทยในตอนนี้นั้น “ถูกจำกัดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” โดยมีการห้ามชุมนุมเกินห้าคน การปิดสถานีวิทยุและสื่อต่างๆ มีการเซนเซ่อร์ตัวเองจากสื่อหลายสำนัก รวมทั้งนักวิชาการเองด้วย ในจุดนี้ Richard Bennett จากองค์การนิรโทษกรรมสากลได้เสริมว่า “กองทัพได้ปราบปรามแม้กระทั่งสิ่งเล็กๆอย่างเช่นการใส่เสื้อที่อาจ ‘สร้างความแตกแยก’ หรือการอ่านหนังสือที่มีสัญลักษณ์ในเชิงต่อต้านการรัฐประหาร”
Polling เสริมว่าการจำกัดสิทธิในการแสดงออกนี้ส่งผลต่อนักกิจกรรมและองค์กรต่างๆด้านสิทธิ มีการสั่งห้ามการจัดแถลงข่าว หรืองานสัมมนาที่เกี่ยวกับความยุติธรรมซึ่งทำให้ องค์การสหประชาชาติได้แสดงความเป็นห่วงอย่างมากต่อบรรยากาศที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนต้องเผชิญ Polling กล่าวว่าการปราบปรามอาชญากรรมทางความคิดและความเห็นเหล่านี้นั้นเป็นมากกว่าระบอบอำนาจนิยมทหารธรรมดา แต่นี่เป็น เผด็จการนิยมทหารเต็มรูปแบบ
Paul Chambers ประธานศูนย์วิจัยกิจการภายในของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำประเทศไทย ในเชียงใหม่ ก็มีความเห็นคล้ายกัน เขากล่าวว่า “ภายใต้กฎอัยการศึกปี 1914 ที่ถูกใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ กองทัพมีอำนาจในการอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ เมื่อไรก็ได้ ต่อใครก็ได้ และนานแค่ไหนก็ได้ เพื่อเหตุผลในการปกป้องราชอาณาจักรไทย”
บทความฉบับนี้ ปิดท้ายด้วยคำกล่าวของ Richard Bennett เรียกร้องให้ประเทศไทยเคารพหลักสากล และปรับท่าทีใหม่ เพื่อเคารพสิทธิมนุษชนและสร้างความปรองดองที่แท้จริง
ที่มา:
https://www.siaminbox.org/?p=231
“การปรับทัศนคติ: 100 วันภายใต้กฎอัยการศึก”
11 ก.ย. 2557 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือองค์การนิรโทษกรรมสากล ออกแถลงการณ์รายงาน “ประเทศไทย: การปราบปรามอย่างรุนแรงไม่มีแนวโน้มลดลงในช่วง 100 วันหลังการยึดอำนาจของทหาร” โดยเนื้อหาเป็นการเปิดเผยข้อมูลการปราบปราม จับกุม การซ้อมทรมาณ และความอยุติธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศไทยหลังการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ซึ่งภายหลังจากที่แถลงการณ์ฉบับนี้ออกมา สื่อต่างประเทศหลายสำนักก็ได้หยิบเนื้อหามาใช้ในการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของคณะรัฐประหารเป็นจำนวนมาก เริ่มจาก The New York Times บทความของ Thomas Fuller ที่ชื่อว่า “รายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐบาลทหาร” โดยเน้นย้ำถึงการจับกุมและพิจารณาคดีที่เป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัยในช่วงหลังรัฐประหาร เพราะมีการหว่านแหจับกุมผู้กระทำความผิดฐานชุมนุมทางการเมืองเพื่อประท้วงการรัฐประหารและในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยผู้ที่ถูกจับเกือบทุกคนนั้นไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว ซึ่งในรายงานขององค์กรสิทธินั้น ได้คาดการณ์ประมาณตัวเลขของประชาชนที่ถูกเรียกไปรายงานตัวไว้ถึง 570 คน ส่วนใหญ่ได้รับการปล่อย และส่วนใหญ่เป็นนักการเมือง ทั้งนี้มีจำนวนถึง 141 คนที่เป็นนักวิชาการ นักเขียน นักข่าว และนักกิจกรรม และในกรณีของกฤชสุดา ที่ถูกกักตัวไว้ถึง29วัน ก็มีคำกล่าวอ้างจากเจ้าตัวว่าโดนซ้อมทรมาณ ทั้งนี้ คสช ยังได้ทำการปิดเว็ปไซต์ วิทยุ สื่อ และแหล่งข้อมูล อื่นๆที่เป็นปฎิปักษ์ต่อ คสช ทั้งในโรงเรียนและในมหาวิทยาลัยอีกด้วย
ในบทความของ Thomas Fuller ยังระบุว่า มีการสั่งยกเลิกงานแถลงข่าวที่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหารถึงสองครั้ง เช่นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทัพได้สั่งยกเลิกงานแถลงข่าวของ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ซึ่งองค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ระบุว่า การยกเลิกงานในครั้งนี้ “ยิ่งเป็นการทำให้บรรยากาศสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยตกต่ำไปอีกมาก”
ใน DW Akademie องค์กรสื่อฯของประเทศเยอรมันนี ได้สัมภาษณ์ Rupert Abbott ประธานองค์การนิรโทษกรรมสากลและผู้ร่วมทำรายงานฉบับข้างต้น กล่าวถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในไทยได้สร้างบรรยากาศความกลัวให้กับประชาชน และถึงแม้ว่า คสช จะพยายามรับมือกับแรงกดดันจากนานาชาติเพียงใด ก็ไม่หนีไปจากข้อกล่าวหาด้านการละเมิดสิทธิฯนี้ได้ Ruper Abbott กล่าวว่า คณะรัฐประหารนั้นได้ละเมิดสิทธิสากลอย่างชัดเจน โดยหลักฐานก็คือคำสั่งของพวกเขา เช่น ที่ห้ามให้มีการชุมนุม การเรียกบุคคลมารายงานตัว และการออกกฎจำกัดสิทธิในการแสดงออก ทั้งนี้เขาเสริมว่าหลักฐานของรายงานฉบับนี้นั้นมาจากงานวิจัยเชิงลึก และการสัมภาษณ์ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการละเมิดสิทธิหลายราย ซึ่งมันทำให้เห็นภาพว่าตอนนี้การปราบปรามนั้นได้ทวีรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆและแย่ลงมาก
Rupert ได้เล่าถึงการละเมิดสิทธิของ คสช ในการเรียกบุคคลมารายงานตัวหลังจากการรัฐประหาร ด้วยการใช้คำสวยหรูจากกองทัพว่าเป็นการ “ปรับทัศนคติ” พวกเขา(บุคคลที่โดนเรียก) ไม่มีสิทธิในการแต่งตั้งทนายและยังโดนบังคับให้เซ็นสัญญาที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกหลังจากถูกปล่อยตัว และเมื่อถูกปล่อยตัวแล้ว พวกเขาก็ยังจะถูกจับตามองจากกองทัพ มีนักวิเคราะห์การเมืองท่านหนึ่งที่ถูกเรียกซ้ำสอง และถูกกักตัวไว้เพื่อเป็นการทำโทษ Rupert เชื่อว่านี่เป็นการใช้อำนาจในการปราบปรามและกักตัว เพื่อบังคับให้พวกเขา(ที่ถูกละเมิดสิทธิ) ให้ความร่วมมือและใครที่ไม่ให้ความร่วมมือกับกองทัพในการไปรายงานตัว ก็จะถูกขึ้นศาลทหารที่ไม่มีสิทธิอุทรณ์ และมีความเสี่ยงมากที่จะติดคุก หลายคนถูกปฎิเสธหนังสือเดินทาง ไม่ใช่เพียงแค่บุคคลที่เป็นเป้าหมาย แต่รวมถึงครอบครัวของพวกเขาเหล่านั้นด้วย ซึ่งสมาชิกในครอบครัวของเป้าหมายบางคนก็ถูกกักตัวและข่มขู่เช่นเดียวกัน
Rupert ยังได้เรียกร้องไปถึง สภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่จะมีการประชุมกันในสัปดาห์นี้ที่กรุงเจนีวา ให้กดดันรัฐบาลไทยให้เปลี่ยนท่าทีเพื่อเคารพสิทธิมนุษยชนในทุกๆด้านมากขึ้นด้วย
ในบทความของ The Australian สำนักข่าวของประเทศออสเตรเลีย เรื่อง “ องค์การนิรโทษกรรมชี้ การปราบปราม ‘อย่างไม่ลดละ’ ในประเทศไทย หลังรัฐประหาร” ของ Peter Alford กล่าวถึงรายงานขององค์การนิรโทษกรรมสากลที่เรียกร้องให้นานาชาติ ทั้งสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และประเทศที่เกี่ยวข้อง ทำการกดดันเพื่อให้รัฐบาลทหารยกเลิกกฎหมายการชุมนุม และเรียกร้องให้ประชาชนมีสิทธิเต็มที่ในการแสดงออกโดยเร็ว
สำนักข่าวคาธอลิกอิสระประจำเอเชีย ก็พูดถึงการละเมิดสิทธิมนุษชนในประเทศไทยเช่นเดียวกัน โดยอ้างรายงานข่าวจาก AFP และใช้ชื่อบทความว่า “คดีหมิ่นประมาทราชวงศ์มีการเพิ่มมากขึ้น ‘อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน’ หลังรัฐประหารในประเทศไทย” โดยเน้นที่ข้อกล่าวหาการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เกิดขึ้นในประเทศไทยภายหลังรัฐประหารว่ามีการเพิ่มจำนวนของคดีขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ในรายงานระบุว่า ตามที่องค์การนิรโทษกรรมได้แถลงล่าสุด มีคนไทยจำนวนถึง 14 คนที่ถูกกล่าวหาว่าได้ก่อคดีดังกล่าวภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือน และโทษสูงสุดของคดีนี้คือ 15 ปี
ซึ่งนักวิจารณ์จากหลายฝ่ายให้ความเห็นว่ากฎหมายข้อนี้ถูกนำมาใช้เป็นข้อกล่าวหาทางการเมืองเสียมากกว่า ซึ่งในหลายข้อกล่าวหานั้นก็ไม่ได้เกี่ยวโยงกับขบวนการคนเสื้อแดงเลย
อีกสำนักข่าวหนึ่งที่เขียนประเด็นสิทธิมนุษยชนอย่างน่าสนใจคือ Views Times เรื่อง “กลุ่มสิทธิฯประณามรัฐบาลทหารทำลายสิทธิมนุษยชน” โดยมีการเปิดเผยคำพูดบางส่วนของผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิ์อ้างจากรายงานขององค์การนิรโทษกรรมฯว่า “ฉันบอกพวกเขาไปว่า ฉันมีสิทธิที่จะพูดกับทนายและครอบครัวของฉัน แต่พวกเขาบอกให้ฉันหุบปาก พวกเขาบอกว่า ‘คุณถูกควบคุมตัว และคุณไม่มีสิทธิเหล่านั้น’ ” Views Times ยังได้เล่าถึงที่มาของการรัฐประหารโดยพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ที่หวังจะทำให้ประเทศไทยออกจากวังวนทางการเมือง และการจัดแคมเปญสร้างความสุขเพื่อหวังดึงนักท่องเที่ยวและนักลงทุน มีการสัญญาจากพลเอกประยุทธที่จะเคารพสิทธิมนุษยชน แต่ทว่าพวกเขาก็ได้ทำการเปลี่ยนแปลงกฎหมายของประเทศ แทนที่จะเพิ่มสิทธิเสรีภาพมากขึ้นตามที่ได้สัญญาไว้ กลับทำให้ คสช มีอำนาจในการแทรกแซงสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาคิดว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคง” ได้อย่างชอบธรรม คสช ได้ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนสากลโดยการจำกัดสิทธิในการแสดงออกในทุกๆด้าน Gregory Poling ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประเทศไทย จากศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์สากลประจำวอชิงตัน (CSIS) กล่าวว่าสถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทยในตอนนี้นั้น “ถูกจำกัดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” โดยมีการห้ามชุมนุมเกินห้าคน การปิดสถานีวิทยุและสื่อต่างๆ มีการเซนเซ่อร์ตัวเองจากสื่อหลายสำนัก รวมทั้งนักวิชาการเองด้วย ในจุดนี้ Richard Bennett จากองค์การนิรโทษกรรมสากลได้เสริมว่า “กองทัพได้ปราบปรามแม้กระทั่งสิ่งเล็กๆอย่างเช่นการใส่เสื้อที่อาจ ‘สร้างความแตกแยก’ หรือการอ่านหนังสือที่มีสัญลักษณ์ในเชิงต่อต้านการรัฐประหาร”
Polling เสริมว่าการจำกัดสิทธิในการแสดงออกนี้ส่งผลต่อนักกิจกรรมและองค์กรต่างๆด้านสิทธิ มีการสั่งห้ามการจัดแถลงข่าว หรืองานสัมมนาที่เกี่ยวกับความยุติธรรมซึ่งทำให้ องค์การสหประชาชาติได้แสดงความเป็นห่วงอย่างมากต่อบรรยากาศที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนต้องเผชิญ Polling กล่าวว่าการปราบปรามอาชญากรรมทางความคิดและความเห็นเหล่านี้นั้นเป็นมากกว่าระบอบอำนาจนิยมทหารธรรมดา แต่นี่เป็น เผด็จการนิยมทหารเต็มรูปแบบ
Paul Chambers ประธานศูนย์วิจัยกิจการภายในของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำประเทศไทย ในเชียงใหม่ ก็มีความเห็นคล้ายกัน เขากล่าวว่า “ภายใต้กฎอัยการศึกปี 1914 ที่ถูกใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ กองทัพมีอำนาจในการอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ เมื่อไรก็ได้ ต่อใครก็ได้ และนานแค่ไหนก็ได้ เพื่อเหตุผลในการปกป้องราชอาณาจักรไทย”
บทความฉบับนี้ ปิดท้ายด้วยคำกล่าวของ Richard Bennett เรียกร้องให้ประเทศไทยเคารพหลักสากล และปรับท่าทีใหม่ เพื่อเคารพสิทธิมนุษชนและสร้างความปรองดองที่แท้จริง
ที่มา: https://www.siaminbox.org/?p=231