(/•ิ_•ิ) สวัสดีอีกครั้งค่ะเพื่อนๆ ชาวพันทิป คราวที่แล้วชายหาดที่แปลกที่สุดในโลก คราวนี้เราลองมาชมทะเลสาบแปลกที่สุดในโลกกันบ้าง ซึ่งคัดเลือกโดยนิตยสาร “ทราเวล แอนด์ ลีเชอร์” ทะเลสาบ ที่เรากำลังจะพูดถึงนี้รับรองได้ว่าไม่มีที่ไหนเหมือน เพราะได้รับการันตีจากสำนักข่าว CNN แล้วค่ะว่าเป็น ทะเลสาบที่แปลกประหลาดล้ำที่สุดในโลก ซึ่งมี 15 อันดับด้วยกัน และที่สำคัญคือ คราวนี้ประเทศไทยของเราติดโผกับเขาด้วย และได้เป็นอันดับที่ 2 ทีเดียวเชียว มาดูกันว่ามีที่ไหนในโลกกันบ้าง ... \(•ิ_•ิ\)
อันดับ 1 ทะเลสาบแมงกะพรุน ไร้พิษ เจลลี่ฟิชเลค (Jellyfish Lake), สาธารณรัฐปาเลา
“เจลลี่ฟิชเลค” หรือ “ทะเลสาบแมงกะพรุน” เป็นทะเลสาบบนเกาะอิลมาร์ก (Mecherchar) บริเวณหมู่เกาะร็อก ของประเทศปาเลา ซึ่งเป็นดินแดนที่ไม่มีการตั้งถินฐานของมนุษย์ ที่นี่เป็นสวรรค์ของแมงกะพรุนขนาดใหญ่น้อยนับล้านตัวที่สูญสิ้นวิญญาณนัก ล่ามาเป็นเวลานานนับพันปีแล้ว ด้วยความที่ไม่ต้องออกล่าเหยื่อเหมือนแมงกะพรุนโดยทั่วไป เพราะได้รับสารอาหารโดยตรงจากสาหร่ายซิมไบโอติคที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อ (ที่ พวกมันต้องทำก็คือ ‘การเพาะเลี้ยงสาหร่าย’ ที่อาศัยอยู่ในตัว ด้วยวิธีอาบแดดบริเวณผิวน้ำในช่วงเวลากลางวัน และดำดิ่งลงใต้น้ำเพื่อป้อนไนโตรเจนและสารอาหารอื่นๆ ให้สาหร่ายในช่วงเวลากลางคืน) ทำให้แมงกะพรุนในทะเลสาบแห่งนี้ไม่มีพิษ นักท่องเที่ยวจึงสามารถลงเล่นน้ำท่ามกลางฝูงแมงกะพรุนโดยไม่ต้องกลัวว่าจะได้รับอันตราย
อย่างไรก็ตาม ที่นี่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวดำน้ำแบบสกูบ้าเพราะฟองอากาศจะทำให้แมง กะพรุนได้รับอันตราย และตัวนักท่องเที่ยวเองก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เพราะที่ระดับความลึกตั้งแต่ 15 เมตรลงไป (จากผิวน้ำ) จะเป็นชั้นที่ไม่มีออกซิเจน แต่มีไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือ “ก๊าซไข่เน่า” ในปริมาณที่เข้มข้นมาก (ไฮโดรเจนซัลไฟด์เป็นก๊าซพิษที่สามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังและมีอันตรายถึงชีวิต)
หมายเหตุ : ปาเลา เป็นประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของฟิลิปปินส์ ประกอบด้วยหมู่เกาะ 26 เกาะ และมีเกาะเล็กๆ อีกประมาณ 300 เกาะ ปัจจุบัน “เจลลี่ฟิชเลค” เป็นทะเลสาบใกล้ทะเลเพียงแห่งเดียวของปาเลาที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม
อันดับ 2 ทะเลบัวแดง บึงหนองหาน กุมภวาปี จ.อุดรธานี : ประเทศไทย
“ทะเลบัวแดง” ตั้งอยู่ในอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี มีลักษณะเป็นหนองน้ำขนาดใหญ ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางมากถึง 22,500 ไร่ อุดมไปด้วยพันธุ์ปลา พันธุ์นก และพืชน้ำจำนวนมาก จึงถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย ที่นี่นับเป็นทุ่งดอกไม้ตามธรรมชาติที่ใหญ่ สุดในประเทศไทย ในแต่ละปีจะมีดอกบัวโผล่ขึ้นมาบานชูช่อแตกกอเต็มท้องน้ำ ไม่ว่าหันไปทางไหนก็จะเจอดอกบัวแดงบานสะพรั่งชนิดสุดลูกหูลูกตา โดยจะเริ่มต้นผุดขึ้นมาให้เห็นตั้งแต่เดือนตุลาคม แต่จะบานเต็มที่และมีปริมาณมากที่สุดในช่วง¬เดือนธันวาคม — กุมภาพันธ์ หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ลดจำนวนลงในเดือนมีนาคม นักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือชมความงดงามของทะเลบัวแดงได้ตั้งแต่เวลาเช้า ตรู่ไปจนถึงประมาณ 11.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ดอกบัวบาน
อันดับ 3 ทะเลสาบยางมะตอย ลา เบรีย พิตช์เลค (La Brea Pitch Lake), สาธารณรัฐตรินิแดดและโตเบโก
ทะเลสาบแอสฟัลท์ (ยางมะตอย) แห่งนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านลาเบรีย บนเกาะตรีนิแดด ครอบคลุมพื้นที่มากถึง 100 เอเคอร์ (253 ไร่) คาดว่าบริเวณใจกลางจะมีความลึกมากถึง 76 เมตร นับเป็นแหล่งแอสฟัลท์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ยางมะตอยเหลวของที่นี่มีสีดำและข้นหนืด บริเวณพื้นผิวในบางจุดจะมีลักษณะกึ่งแข็งจนสามารถลงไปเดินเล่นได้ แต่บางจุดถ้ายืนนานก็อาจค่อยๆ จมลงไป ถูกนำมาใช้ในเป็นวัตถุดิบสำหรับราดพื้นผิวถนนนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1867 (พ.ศ. 2410) คาด ว่าในทะเลสาบซึ่งประกอบไปด้วย น้ำ ก๊าซ แร่ธาตุ น้ำมันดิน ยางมะตอย ดินเหนียว และทรายซิลิก้า น่าจะมีปริมาณยางมะตอยเหลวสะสมทั้งสิ้นราว 10 ล้านตัน หรือนำมาใช้ได้นาน 400 ปีเลยทีเดียว
ที่ผานมา ยางมะตอยเหลวและน้ำมันดินจากทะเลสาบแห่งนี้ ถูกนำมาใช้เป็นวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมสำหรับราดพื้นผิวถนนและสนามบินในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก รวมทั้ง อเมริกา อังกฤษ อินเดีย สิงคโปร์ อียิปต์ ญี่ปุ่น ฯลฯ นอกจากจะเป็นแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตยางมะตอยแล้ว ทะเลสาบแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็น แหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติอีกด้วย และจุดขายใหม่ของที่นี่ก็คือการเปิดให้แช่ตัวในบ่อกำมะถันร้อนที่เจิ่งนอง รอบๆ ทะเลสาบแอสฟัลท์ในช่วงฤดูฝน (มิถุนายน-พฤศจิกายน) ซึ่งเชื่อว่ามีสรรพคุณในด้านการดูแลรักษาผิวพรรณ และลดอาการเจ็บปวดของข้อต่อ (เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุแลกำมะถัน) แต่ข้อควรระวังก็คือน้ำอาจลึกมากในบางจุด
อันดับ 4 บึงเดือด บอยลิ่งเลค (Boiling Lake), เครือรัฐโดมินิกา
“บอยลิ่งเลค” เป็นบ่อไอเดือดหรือพุก๊าซ (หลุมหรือปล่องที่มีไอน้ำพุ่งขึ้นมา) ที่ถูกน้ำท่วมขังจนกลายสภาพเป็นทะเลสาบที่กำลังเดือดปุดๆ มีความกว้างราว 60 เมตร ลึกกว่า 59 เมตร อุณหภูมิริมทะเลสาบอยู่ที่ประมาณ 82 – 91.5 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิกลางทะเลสาบที่มีความร้อนมากที่สุดยังไม่มีใครสามารถวัดได้
ทะเลสาบเดือดแห่งนี้เป็นแหล่งมรดกโลกที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติมอร์น ทรอยส์ พิตอนส์ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (รองจากทะเลสาบเดือดฟรายอิ้ง แพน เลค ในประเทศนิวซีแลนด์) สามารถมองเห็นกลุ่มไอน้ำลอยเหนือหุบเขาได้แต่ไกล แต่การเดินทางไปเยือนทะเลสาบแห่งนี้ค่อนข้างทรหด นักท่องเที่ยวควรมีร่างกาย ที่แข็งแรง เพราะต้องเดินเท้า ปีนเขา เข้าป่า ลุยธารน้ำพุร้อน ไปตามทางแคบๆ แถมยังค่อนข้างลื่นและลาดชัน เป็นระยะทางทั้งสิ้น 13 ก.ม.
อันดับ 5 ทะเลสาบแมนนิกัวแกน (Lake Manicouagan), รัฐควิเบก ประเทศแคนาดา
ทะเลสาบรูปวงแหวนแห่งนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 214 ล้านปีที่แล้ว (ยุคไทรแอสซิก) หลังโลกถูกดาวเคราะห์น้อยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 กิโลเมตรพุ่งเข้าชน (ใหญ่เป็นอันดับ 5 ในจำนวนดาวเคระห์น้อยทั้งหมดที่เคยพุ่งชนโลก) แม้จะไม่ใช่ร่องรอยความเสียหายที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แต่ก็เป็นความเสียหายที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนที่สุด (สามารถเห็นได้จากอวกาศ) มีอีกชื่อหนึ่งว่า “อาย ออฟ ควิเบก (eye of Quebec)”
“แมนนิกัวแกน” เป็นทะเลสาบรูปวงแหวนที่มีเกาะขนาดใหญ่อยู่กลาง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 100 กิโลเมตร ปัจจุบัน ถูกใช้เป็นอ่างเก็บน้ำขนาด ใหญ่สำหรับโรงไฟฟ้าพลังน้ำ โดยมีความจุน้ำมากถึง 139.8 ลูกบาศก์กิโลเมตร (เป็นอ่างเก็บน้ำที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลกเมื่อพิจารณาจากความจุ) แต่นำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำได้เพียง 35.2 ลูกบาศก์กิโลเมตรเท่านั้น
อันดับ 6 ทะเลสาบสีแดง ลากูนา โคโลราดา (Laguna Colorada), รัฐพหุชนชาติแห่งโบลิเวีย
“ลากูน่า โคโลราด้า” หรือ “เรด ลากูน” เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่มีลักษณะตื้น ตั้งอยู่ภายในเขตอนุรักษ์แห่งชาติเอดัวร์โด้ อาวารัว แอนเดียน ฟาวน่า (Eduardo Avaroa Andean Fauna National Reserve) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของที่ราบสูงอัลติพลาโนในประเทศโบลิเวีย (ใกล้พรมแดนประเทศชิลี)
ทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่บนความสูงถึง 14,000 ฟุต (4,267 เมตร) เหนือระดับน้ำทะเล ประกอบด้วยสันดอนบอแรกซ์สีขาวสว่างที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตัดกับสีแดงของน้ำในทะเลสาบที่เกิดจากแพลงก์ตอน สาหร่ายสีแดง และจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ อันเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ของนกฟลามิงโก้สีชมพูพันธุ์หายากซึ่งถูก ขึ้นทะเบียนให้เป็นสัตว์สงวน ได้แก่ พันธุ์เจมส์’ส ฟลามิงโก้ (พูนา ฟลามิงโก้), ชิเลียน ฟลามิงโก้ และ แอนเดียน ฟลามิงโก้ (หายากที่สุด)
อันดับ 7 ทะเลสาบลาวาในภูเขาเอเรบัส (Mount Erebus), รอสส์ ไอส์แลนด์ ทวีปแอนตาร์กติกา
ทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่ในทวีปที่หนาวเย็นที่สุดในโลก บนความสูงราว 12,500 ฟุต (3,810 เมตร) เหนือระดับน้ำทะเล แม้จะเป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศอันหนาวเหน็บ (หน้าร้อนอุณหภูมิโดยเฉลี่ย -20° เซลเซียส ส่วนหน้าหนาวมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ย -50° เซลเซียส) แต่ ผืนดินรอบทะเลสาบกลับมีอุณหภูมิสูงถึง 65° เซลเซียส ส่วนอุณหภูมิในทะเลสาบนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะทะเลสาบที่ว่านี้ก็คือ “ทะเลสาบลาวา” ในปากปล่องภูเขาไฟเอเรบัสนั่นเอง
เอเรบัสเป็นภูเขาไฟที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 1.3 ล้านปีก่อน ปัจจุบันยังคงมีพลังและปะทุอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 1972 (พ.ศ. 2515) เป็นต้นมา บริเวณยอดเขาปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ปากปล่องภูเขาไฟด้านนอกมีลักษณะเป็นรูปวงรีกว้าง 500 x 600 เมตร ลึก 110 เมตร ส่วนปากปล่องชั้นในซึ่งเป็นที่ตั้งของทะเลสาบลาวามีความกว้าง 250 เมตร ลึก 100 เมตร ลาวาเดือดภายในปล่องจะปะทุขึ้นมาเป็นระยะๆ และบางครั้งก็จะมีลาวาบอมบ์ (หินร้อนก้อนใหญ่กว้างราว 10 ฟุต) กระเด็นออกมานอกปล่องอีกด้วย (ทะเลสาบลาวาแห่งนี้ เป็นหนึ่งในห้าทะเลสาบลาวาแบบถาวรของโลก)
★★★15 ทะเลสาบแปลกที่สุดในโลก★★★
อันดับ 1 ทะเลสาบแมงกะพรุน ไร้พิษ เจลลี่ฟิชเลค (Jellyfish Lake), สาธารณรัฐปาเลา
“เจลลี่ฟิชเลค” หรือ “ทะเลสาบแมงกะพรุน” เป็นทะเลสาบบนเกาะอิลมาร์ก (Mecherchar) บริเวณหมู่เกาะร็อก ของประเทศปาเลา ซึ่งเป็นดินแดนที่ไม่มีการตั้งถินฐานของมนุษย์ ที่นี่เป็นสวรรค์ของแมงกะพรุนขนาดใหญ่น้อยนับล้านตัวที่สูญสิ้นวิญญาณนัก ล่ามาเป็นเวลานานนับพันปีแล้ว ด้วยความที่ไม่ต้องออกล่าเหยื่อเหมือนแมงกะพรุนโดยทั่วไป เพราะได้รับสารอาหารโดยตรงจากสาหร่ายซิมไบโอติคที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อ (ที่ พวกมันต้องทำก็คือ ‘การเพาะเลี้ยงสาหร่าย’ ที่อาศัยอยู่ในตัว ด้วยวิธีอาบแดดบริเวณผิวน้ำในช่วงเวลากลางวัน และดำดิ่งลงใต้น้ำเพื่อป้อนไนโตรเจนและสารอาหารอื่นๆ ให้สาหร่ายในช่วงเวลากลางคืน) ทำให้แมงกะพรุนในทะเลสาบแห่งนี้ไม่มีพิษ นักท่องเที่ยวจึงสามารถลงเล่นน้ำท่ามกลางฝูงแมงกะพรุนโดยไม่ต้องกลัวว่าจะได้รับอันตราย
อย่างไรก็ตาม ที่นี่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวดำน้ำแบบสกูบ้าเพราะฟองอากาศจะทำให้แมง กะพรุนได้รับอันตราย และตัวนักท่องเที่ยวเองก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เพราะที่ระดับความลึกตั้งแต่ 15 เมตรลงไป (จากผิวน้ำ) จะเป็นชั้นที่ไม่มีออกซิเจน แต่มีไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือ “ก๊าซไข่เน่า” ในปริมาณที่เข้มข้นมาก (ไฮโดรเจนซัลไฟด์เป็นก๊าซพิษที่สามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังและมีอันตรายถึงชีวิต)
หมายเหตุ : ปาเลา เป็นประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของฟิลิปปินส์ ประกอบด้วยหมู่เกาะ 26 เกาะ และมีเกาะเล็กๆ อีกประมาณ 300 เกาะ ปัจจุบัน “เจลลี่ฟิชเลค” เป็นทะเลสาบใกล้ทะเลเพียงแห่งเดียวของปาเลาที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม
อันดับ 2 ทะเลบัวแดง บึงหนองหาน กุมภวาปี จ.อุดรธานี : ประเทศไทย
“ทะเลบัวแดง” ตั้งอยู่ในอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี มีลักษณะเป็นหนองน้ำขนาดใหญ ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางมากถึง 22,500 ไร่ อุดมไปด้วยพันธุ์ปลา พันธุ์นก และพืชน้ำจำนวนมาก จึงถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย ที่นี่นับเป็นทุ่งดอกไม้ตามธรรมชาติที่ใหญ่ สุดในประเทศไทย ในแต่ละปีจะมีดอกบัวโผล่ขึ้นมาบานชูช่อแตกกอเต็มท้องน้ำ ไม่ว่าหันไปทางไหนก็จะเจอดอกบัวแดงบานสะพรั่งชนิดสุดลูกหูลูกตา โดยจะเริ่มต้นผุดขึ้นมาให้เห็นตั้งแต่เดือนตุลาคม แต่จะบานเต็มที่และมีปริมาณมากที่สุดในช่วง¬เดือนธันวาคม — กุมภาพันธ์ หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ลดจำนวนลงในเดือนมีนาคม นักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือชมความงดงามของทะเลบัวแดงได้ตั้งแต่เวลาเช้า ตรู่ไปจนถึงประมาณ 11.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ดอกบัวบาน
อันดับ 3 ทะเลสาบยางมะตอย ลา เบรีย พิตช์เลค (La Brea Pitch Lake), สาธารณรัฐตรินิแดดและโตเบโก
ทะเลสาบแอสฟัลท์ (ยางมะตอย) แห่งนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านลาเบรีย บนเกาะตรีนิแดด ครอบคลุมพื้นที่มากถึง 100 เอเคอร์ (253 ไร่) คาดว่าบริเวณใจกลางจะมีความลึกมากถึง 76 เมตร นับเป็นแหล่งแอสฟัลท์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ยางมะตอยเหลวของที่นี่มีสีดำและข้นหนืด บริเวณพื้นผิวในบางจุดจะมีลักษณะกึ่งแข็งจนสามารถลงไปเดินเล่นได้ แต่บางจุดถ้ายืนนานก็อาจค่อยๆ จมลงไป ถูกนำมาใช้ในเป็นวัตถุดิบสำหรับราดพื้นผิวถนนนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1867 (พ.ศ. 2410) คาด ว่าในทะเลสาบซึ่งประกอบไปด้วย น้ำ ก๊าซ แร่ธาตุ น้ำมันดิน ยางมะตอย ดินเหนียว และทรายซิลิก้า น่าจะมีปริมาณยางมะตอยเหลวสะสมทั้งสิ้นราว 10 ล้านตัน หรือนำมาใช้ได้นาน 400 ปีเลยทีเดียว
ที่ผานมา ยางมะตอยเหลวและน้ำมันดินจากทะเลสาบแห่งนี้ ถูกนำมาใช้เป็นวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมสำหรับราดพื้นผิวถนนและสนามบินในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก รวมทั้ง อเมริกา อังกฤษ อินเดีย สิงคโปร์ อียิปต์ ญี่ปุ่น ฯลฯ นอกจากจะเป็นแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตยางมะตอยแล้ว ทะเลสาบแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็น แหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติอีกด้วย และจุดขายใหม่ของที่นี่ก็คือการเปิดให้แช่ตัวในบ่อกำมะถันร้อนที่เจิ่งนอง รอบๆ ทะเลสาบแอสฟัลท์ในช่วงฤดูฝน (มิถุนายน-พฤศจิกายน) ซึ่งเชื่อว่ามีสรรพคุณในด้านการดูแลรักษาผิวพรรณ และลดอาการเจ็บปวดของข้อต่อ (เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุแลกำมะถัน) แต่ข้อควรระวังก็คือน้ำอาจลึกมากในบางจุด
อันดับ 4 บึงเดือด บอยลิ่งเลค (Boiling Lake), เครือรัฐโดมินิกา
“บอยลิ่งเลค” เป็นบ่อไอเดือดหรือพุก๊าซ (หลุมหรือปล่องที่มีไอน้ำพุ่งขึ้นมา) ที่ถูกน้ำท่วมขังจนกลายสภาพเป็นทะเลสาบที่กำลังเดือดปุดๆ มีความกว้างราว 60 เมตร ลึกกว่า 59 เมตร อุณหภูมิริมทะเลสาบอยู่ที่ประมาณ 82 – 91.5 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิกลางทะเลสาบที่มีความร้อนมากที่สุดยังไม่มีใครสามารถวัดได้
ทะเลสาบเดือดแห่งนี้เป็นแหล่งมรดกโลกที่ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติมอร์น ทรอยส์ พิตอนส์ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (รองจากทะเลสาบเดือดฟรายอิ้ง แพน เลค ในประเทศนิวซีแลนด์) สามารถมองเห็นกลุ่มไอน้ำลอยเหนือหุบเขาได้แต่ไกล แต่การเดินทางไปเยือนทะเลสาบแห่งนี้ค่อนข้างทรหด นักท่องเที่ยวควรมีร่างกาย ที่แข็งแรง เพราะต้องเดินเท้า ปีนเขา เข้าป่า ลุยธารน้ำพุร้อน ไปตามทางแคบๆ แถมยังค่อนข้างลื่นและลาดชัน เป็นระยะทางทั้งสิ้น 13 ก.ม.
อันดับ 5 ทะเลสาบแมนนิกัวแกน (Lake Manicouagan), รัฐควิเบก ประเทศแคนาดา
ทะเลสาบรูปวงแหวนแห่งนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 214 ล้านปีที่แล้ว (ยุคไทรแอสซิก) หลังโลกถูกดาวเคราะห์น้อยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 กิโลเมตรพุ่งเข้าชน (ใหญ่เป็นอันดับ 5 ในจำนวนดาวเคระห์น้อยทั้งหมดที่เคยพุ่งชนโลก) แม้จะไม่ใช่ร่องรอยความเสียหายที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แต่ก็เป็นความเสียหายที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนที่สุด (สามารถเห็นได้จากอวกาศ) มีอีกชื่อหนึ่งว่า “อาย ออฟ ควิเบก (eye of Quebec)”
“แมนนิกัวแกน” เป็นทะเลสาบรูปวงแหวนที่มีเกาะขนาดใหญ่อยู่กลาง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 100 กิโลเมตร ปัจจุบัน ถูกใช้เป็นอ่างเก็บน้ำขนาด ใหญ่สำหรับโรงไฟฟ้าพลังน้ำ โดยมีความจุน้ำมากถึง 139.8 ลูกบาศก์กิโลเมตร (เป็นอ่างเก็บน้ำที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลกเมื่อพิจารณาจากความจุ) แต่นำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำได้เพียง 35.2 ลูกบาศก์กิโลเมตรเท่านั้น
อันดับ 6 ทะเลสาบสีแดง ลากูนา โคโลราดา (Laguna Colorada), รัฐพหุชนชาติแห่งโบลิเวีย
“ลากูน่า โคโลราด้า” หรือ “เรด ลากูน” เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่มีลักษณะตื้น ตั้งอยู่ภายในเขตอนุรักษ์แห่งชาติเอดัวร์โด้ อาวารัว แอนเดียน ฟาวน่า (Eduardo Avaroa Andean Fauna National Reserve) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของที่ราบสูงอัลติพลาโนในประเทศโบลิเวีย (ใกล้พรมแดนประเทศชิลี)
ทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่บนความสูงถึง 14,000 ฟุต (4,267 เมตร) เหนือระดับน้ำทะเล ประกอบด้วยสันดอนบอแรกซ์สีขาวสว่างที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตัดกับสีแดงของน้ำในทะเลสาบที่เกิดจากแพลงก์ตอน สาหร่ายสีแดง และจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ อันเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ของนกฟลามิงโก้สีชมพูพันธุ์หายากซึ่งถูก ขึ้นทะเบียนให้เป็นสัตว์สงวน ได้แก่ พันธุ์เจมส์’ส ฟลามิงโก้ (พูนา ฟลามิงโก้), ชิเลียน ฟลามิงโก้ และ แอนเดียน ฟลามิงโก้ (หายากที่สุด)
อันดับ 7 ทะเลสาบลาวาในภูเขาเอเรบัส (Mount Erebus), รอสส์ ไอส์แลนด์ ทวีปแอนตาร์กติกา
ทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่ในทวีปที่หนาวเย็นที่สุดในโลก บนความสูงราว 12,500 ฟุต (3,810 เมตร) เหนือระดับน้ำทะเล แม้จะเป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศอันหนาวเหน็บ (หน้าร้อนอุณหภูมิโดยเฉลี่ย -20° เซลเซียส ส่วนหน้าหนาวมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ย -50° เซลเซียส) แต่ ผืนดินรอบทะเลสาบกลับมีอุณหภูมิสูงถึง 65° เซลเซียส ส่วนอุณหภูมิในทะเลสาบนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะทะเลสาบที่ว่านี้ก็คือ “ทะเลสาบลาวา” ในปากปล่องภูเขาไฟเอเรบัสนั่นเอง
เอเรบัสเป็นภูเขาไฟที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 1.3 ล้านปีก่อน ปัจจุบันยังคงมีพลังและปะทุอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 1972 (พ.ศ. 2515) เป็นต้นมา บริเวณยอดเขาปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ปากปล่องภูเขาไฟด้านนอกมีลักษณะเป็นรูปวงรีกว้าง 500 x 600 เมตร ลึก 110 เมตร ส่วนปากปล่องชั้นในซึ่งเป็นที่ตั้งของทะเลสาบลาวามีความกว้าง 250 เมตร ลึก 100 เมตร ลาวาเดือดภายในปล่องจะปะทุขึ้นมาเป็นระยะๆ และบางครั้งก็จะมีลาวาบอมบ์ (หินร้อนก้อนใหญ่กว้างราว 10 ฟุต) กระเด็นออกมานอกปล่องอีกด้วย (ทะเลสาบลาวาแห่งนี้ เป็นหนึ่งในห้าทะเลสาบลาวาแบบถาวรของโลก)