ตอนที่ 4 : ถูกของฉัน ถูกของเธอ
รถตู้คันเล็กมารับผมและเพื่อนๆถึงหน้าที่พัก วันนี้พวกเราเหมาทัวร์รายวันถูกๆไปหลายสถานที่ซึ่งแต่ละที่ห่างกัน การเหมาทัวร์รายวันซึ่งผมได้บังเอิญพบที่หน้าพระราชวังต้องห้ามเมื่อวานนี้ จึงน่าจะคุ้มกว่าการนั่งรถไฟดิน ไปต่อรถประจำทาง และที่สำคัญ ประหยัดเวลาครับ ส่วนราคานั้นต้องเจรจากันเอาครับ การต่อรองราคาสำหรับคนจีนไม่ยากครับ ตอนแรกทัวร์รายวันเขาเสนอมา 120 หยวนต่อคน แต่พวกเราต่อราคาจนเหลือจ่ายเพียงคนละ 80 หยวนเท่านั้น ราคาแบบนี้ ไม่คิดเลยว่าจะมีรถมารับถึงที่พัก มีคนขับรถ และมีไกด์หมวยน่ารักมาเป็นตัวแทนนำเที่ยวให้กับพวกเราในวันนี้ รวมทั้งมีอาหารมื้อกลางวันให้ด้วยนะ
ไกด์หมวยคนนี้พูดภาษาอังกฤษคล่องแคล่วและน้ำเสียงไพเราะจับใจตามรอยยิ้ม เธอบอกกับเราว่า การมาทัวร์กับคนจีน รัฐบาลตั้งกฏให้ทัวร์นำเที่ยวทั้งหลายต้องแวะสถานที่ดังต่อไปครับ คือ โรงงานผลิตหยก โรงเรียนสอนนวด และโรงเรียนการชงชา
เจ็ดโมงเช้ารถตู้ออกจากโรงแรมมุ่งหน้าไปกำแพงเมืองจีนเป็นสถานที่แรก แต่ไกด์ขอเราให้แวะโรงงานผลิตหยกก่อน เพราะเป็นทางผ่าน ทางเดินภายในโรงงานจะเป็นทางบังคับให้เข้าไปแล้วจะเจอแต่ละห้องๆที่มีความแตกต่างกัน ผมเดินผ่านตั้งแต่ห้องเจียรไนหยกชิ้น ห้องแสดงหยกต่างๆ จนสุดท้าย ก่อนจะถึงทางออก พวกเราต้องผ่านด่านช้อปปิ้งกันก่อนครับ แต่คนขายและไกด์หมวยคงผิดหวังตามๆกันไป เพราะพวกเรามีงบในการเดินทางครั้งนี้อย่างจำกัดจึงอาจไม่สามารถซื้อหยกราคาหลายพันยันหลายหมื่นได้ ผมไม่แน่ใจว่าไกด์หมวยจะได้รับค่าคอมิชชั่นจากที่นี่ด้วยหรือเปล่า แต่ตั้งแต่ออกมาจากโรงงานหยก รอยยิ้มของเธอลดน้อยลงไปกว่าตอนที่เจอกันเมื่อเช้า
ครั้นถึงกำแพงเมืองจีน ไกด์หมวยบอกกับพวกเราว่าให้เวลาเพียงสองชั่วโมงเท่านั้นในการขึ้นและลงกำแพงเมืองจีน พวกเราถึงกับอ้าปากค้างกันเลยทีเดียว เอาละว่ะ เป็นไงเป็นกัน หากสองชั่วโมงยังลงมาไม่ถึง ก็ดูหน่อยสิ รถตู้ค้นนี้จะทิ้งเราได้ลงคอเชียวหรือ
การเดินขึ้นลงกำแพงเมืองจีนไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหลายๆคน รวมทั้งผมด้วย เมื่อวานใช้กำลังขาหนักไปหน่อย วันนี้...หนักกว่าเดิมครับ ผมเดินขึ้นตามขั้นบันไดที่ทั้งสูงทั้งชัน สเต็ปเท่ากันบ้างไม่เท่ากันบ้าง (ส่วนที่ผมมาเดินนั้น เธอพาเรามาส่วนที่มีเพียงสามป้อมเท่านั้น) ผมใช้เวลาตั้งชั่วโมงครึ่งกว่าจะเดินมาถึงป้อมที่สอง และเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงเท่านั้น จะขึ้นหรือจะลงดี เหลือป้อมสุดท้าย เอาก็เอาว่ะ สู้ตาย สุดท้ายการเดินขึ้นลงสามป้อมของกำแพงเมืองจีนผมใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมงครึ่ง นึกในใจเวลาเที่ยวของเราหายไปเพราะแวะโรงงานหยกชัวร์ ไกด์หมวยถึงได้จำกัดเวลาเราซะเหลือเกิน

สุสานหมิงเป็นสถานที่ต่อไปที่รถตู้กำลังพาพวกเราไป ผมเคยอ่านเจอมาว่า ที่สุสานหมิงอลังการมากครับ มีหินแกะสลักรูปช้าง สิงห์ ม้า อูฐ และอื่นๆรวม 6 ชนิด ชนิดละ 2 คู่ (ลักษณะหมอบ 1 คู่ และยืน 1 คู่) โดยตั้งเรียงรายประดับ 2 ข้างทางตลอดเส้น เรียกว่า “ทางเดินแห่งเทพ” ที่มุ่งสู่ตัวสุสาน นอกจากนี้ เรายังจะได้เห็นศิลาจารึกสูง 8.78 เมตร ณ สุสานหมิงเสี้ยว ที่ฮ่องเต้หมิงเฉิงจู่ แห่งรัชสมัยหย่งเล่อ ทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติฮ่องเต้หมิงไท่จู่ผู้พ่อ ด้วยการสลักคำสรรเสริญไว้ถึง 2,746 ตัวอักษร สุสานกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) มีด้วยกันทั้งสิ้น 18 หลุม แต่ละหลุมนั้นกระจายอยู่แต่ละทิศแต่ละทางของภูเขากว้างใหญ่ไพศาล เพราะสุสานหมิงคลอบคลุมภูเขาทั้งลูกเลยทีเดียว หลุมของสุานที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์และโบราณสถานบนดิน คือส่วนของหลุมที่เรียกว่า “สุสานฉาง หลิง” และสุสานใต้ดินที่สุสานติ้งหลิง ซึ่งจะสามรถลงไปใต้ดินเพื่อชมความอลังการได้...
รถจอดทางเข้าสุสานหมิง เธอพาเราไปเดินชมป้ายแผนที่ พร้อมกับอธิบายถึงความอลังการของแต่ละหลุม ซึ่งหากใครได้เห็นแผนที่นี้แล้วคงตื่นตาตื่นใจไม่น้อยกับความยิ่งใหญ่ของสุสานหมิง...ยืนยันได้จากภาพถ่ายแผนที่...หลังจากนั้น เธอพาเราเดินเข้าไปด้านในพื้นที่ของสุสานหมิง
ไกด์หมวยพาเราเดินขึ้นบันได้ และชี้ลงไปข้างล่างให้เห็นถึงประตูที่ถูกสร้างปิดทางเข้าใต้ภูเขา และบอกกับเราว่าข้างในมีหลุมศพและสมบัติล้ำค่ามากมาย แต่รัฐบาลไม่ให้เปิดมันออกเพื่อไม่ให้เกิดความเสียข้างต่อสิ่งของที่อยู่ข้างใน จากนั้น เธอก็พาเราเดินออกไปนอกรั้วสุสาน และขึ้นรถไปมุ่งหน้าไปโรงเรียนสอนนวด...ต่างคนได้เพียงมองหน้ากัน และความเงียบกริบก็ครอบงำบรรยากาศภายในรถ


ณ โรงเรียนสอนนวด มีวิทยากรสาวท่านหนึ่งมาบรรยายศาสตร์แห่งการรักษาโรคด้วยการนวดเท้าตามแบบฉบับของจีน อีกทั้ง ยังเรียกหมอนวดฝึกหัดมานวดเท้าให้ฟรีถึงสิบห้านาที ในระหว่างที่ผมกำลังเคลิบเคลิ้มกับของฟรีอยู่นั้น มีหมอจีนจำนวนหลายคนเดินกรูกันเข้ามาในห้องที่พวกเรากำลังนั่งเรียกรายให้หมอนวดเท้าอยู่ นั้น หมอที่เพิ่งเดินเข้ามานั้น มานั่งประกบคู่กับพวกเราแต่ละคน จับแขน จับขา ดูตา หน้าผาก เส้นผม เล็บ และวิเคราะห์ว่าแต่ละคนป่วยหรือจะเป็นโรคอะไร แล้ววิทยากรก็นำตระกร้ายาชุดใหญ่มาให้พวกเราครับ แต่…ไม่ได้ให้ฟรีนะครับ คุณหมอเสนอราคามาตั้งแต่สามพันถึงหมื่นต้นๆกันเลยทีเดียว ผมยิ้มเยาะๆครับ สุดท้ายไม่มีใครซื้อ คุณหมอใจดีบอกแยกซื้อก็ได้ มีของแถมด้วย...ผมและเพื่อนบางใช้วิธีขอลุกไปห้องน้ำ ลุกทีละคนสองคนจนหมดห้อง และก็แอบออกไปรอที่รถซึ่งจอดรออยู่ข้างนอกโรงเรียนกันครับ...สรุป โรงเรียนแห่งนี้ก็ยังไม่สามารถขายอะไรให้กับพวกเราได้เลย...รอยยิ้มของไกด์หมวยเริ่มหายไปจากใบหน้าของเธอมากกว่าแรกพบที่เราเจอกัน
แต่เธอก็ยังไม่เสียความตั้งใจ เธอบอกกับพวกเราว่าก่อนเราจะไปโอลิมปิคสเตเดี้ยมเราจะแวะที่โรงเรียนสอนชงชาก่อน แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็มาถึง ผมและเพื่อนๆตื่นเต้นกับการชงชาปนด้วยความตลกขบฮาระหว่างพวกเราและอาจารย์สอน และชาที่นี่มีความหลากหลายชวนให้หลงใหล ราคาไม่แพง...โรงเรียนชงชาจึงชนะเลิศกว่าที่ใดๆที่เอาสามารถดึงเงินจากกระเป๋าพวกเราไปได้ แต่ไม่เสียใจนะครับ ชาเค้าอร่อยจริงๆ และคิดไว้ว่าเอาไปชงบนรถไฟที่เราจะอยู่ในนั้นอีกตั้งหลายวันหลายคืนด้วย
ณ โอลิมปิคสเตเดี้ยม เราบอกกับเธอว่าขอนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินกลับกันเอง ไม่ต้องไปส่งที่พัก เพราะเราไม่อยากถูกจำกัดเวลาการเที่ยวชมอีกเหมือนสถานที่ก่อนๆ...พวกเราและเธอก็เลยจากลากันตรงนั้น ณ โอลิมปิคสเตเดี้ยม พวกเรานั่งเล่นกลางลาน กระโดดถ่ายรูปด้วยกันอย่างสนุกสนานโดยลืมเรื่องราวเมื่อเช้าไปอย่างไม่รู้ตัว
ระหว่างทางจากโอลิมปิคสเตเดี้ยม กลับไปยังที่พัก ผมฉุดคิดได้ว่า จริงๆเราก็ไม่ควรต่อรองราคาให้ถูกขนาดนั้นเลย เพราะค่าเข้ากำแพงเมืองจีนรวมกับสุสานหมิงก็ปาเข้าไป 65 หยวนแล้ว ไหนจะค่าอาหารกลางวันอีกหนึ่งมื้ออีก แล้วจะเหลือเงินให้ไกด์หมวยคนกับคนขับรถและคนขายทัวร์คนละเท่าไหร่กัน คิดๆดูแล้ว สถานที่ เวลา ในส่วนที่เธอพาเราเที่ยว เธอคงบริหารตามเงินที่เราจ่ายให้อย่างเต็มที่แล้ว หากเราไม่ต่อรองราคา เราอาจจะได้เที่ยว สุสานหมิงในด้านที่นักท่องเที่ยวเค้านิยมเที่ยวกัน การซื้อโต๊ะทัวร์รายวันปกติราคาถูกอยู่แล้ว หากใครคิดจะไปแบบนี้ การต่อรองราคาควรคิดให้ดีๆ เอาใจเขามาใส่ใจเรา อย่าคิดว่าเราต่อราคาเก่ง เพราะเราอาจเจอคนเก่งกว่าเราเช่นไกด์คนนี้ที่พาเราไปก็ได้ ครั้งนี้ ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก เราและเธอ เสมอกัน...
การเดินทางบนรางเหล็กสายทรานมองโกเลีย กำลังจะมาถึง... ในวันพรุ่งนี้
ติดตามอ่านตอนอื่นๆได้ที่
http://backpackercity.wordpress.com ครับ
แฟนเพจ กดไลค์ได้ที่
https://www.facebook.com/iamnairaka ครับ
ขอบคุณที่ติดตามนะค้าฟฟฟ ตอนที่ 5 กำลังจะเสร็จแล้วครับ ฝากคอมเม้นท์ที่บล็อคด้วยนะครับผม
Dream Packer เรื่องเล่า...จากทริปทรานไซบีเรีย ตอนที่ 4 มาแล้วครับ /จาก นายระกา
ตอนที่ 4 : ถูกของฉัน ถูกของเธอ
รถตู้คันเล็กมารับผมและเพื่อนๆถึงหน้าที่พัก วันนี้พวกเราเหมาทัวร์รายวันถูกๆไปหลายสถานที่ซึ่งแต่ละที่ห่างกัน การเหมาทัวร์รายวันซึ่งผมได้บังเอิญพบที่หน้าพระราชวังต้องห้ามเมื่อวานนี้ จึงน่าจะคุ้มกว่าการนั่งรถไฟดิน ไปต่อรถประจำทาง และที่สำคัญ ประหยัดเวลาครับ ส่วนราคานั้นต้องเจรจากันเอาครับ การต่อรองราคาสำหรับคนจีนไม่ยากครับ ตอนแรกทัวร์รายวันเขาเสนอมา 120 หยวนต่อคน แต่พวกเราต่อราคาจนเหลือจ่ายเพียงคนละ 80 หยวนเท่านั้น ราคาแบบนี้ ไม่คิดเลยว่าจะมีรถมารับถึงที่พัก มีคนขับรถ และมีไกด์หมวยน่ารักมาเป็นตัวแทนนำเที่ยวให้กับพวกเราในวันนี้ รวมทั้งมีอาหารมื้อกลางวันให้ด้วยนะ
ไกด์หมวยคนนี้พูดภาษาอังกฤษคล่องแคล่วและน้ำเสียงไพเราะจับใจตามรอยยิ้ม เธอบอกกับเราว่า การมาทัวร์กับคนจีน รัฐบาลตั้งกฏให้ทัวร์นำเที่ยวทั้งหลายต้องแวะสถานที่ดังต่อไปครับ คือ โรงงานผลิตหยก โรงเรียนสอนนวด และโรงเรียนการชงชา
เจ็ดโมงเช้ารถตู้ออกจากโรงแรมมุ่งหน้าไปกำแพงเมืองจีนเป็นสถานที่แรก แต่ไกด์ขอเราให้แวะโรงงานผลิตหยกก่อน เพราะเป็นทางผ่าน ทางเดินภายในโรงงานจะเป็นทางบังคับให้เข้าไปแล้วจะเจอแต่ละห้องๆที่มีความแตกต่างกัน ผมเดินผ่านตั้งแต่ห้องเจียรไนหยกชิ้น ห้องแสดงหยกต่างๆ จนสุดท้าย ก่อนจะถึงทางออก พวกเราต้องผ่านด่านช้อปปิ้งกันก่อนครับ แต่คนขายและไกด์หมวยคงผิดหวังตามๆกันไป เพราะพวกเรามีงบในการเดินทางครั้งนี้อย่างจำกัดจึงอาจไม่สามารถซื้อหยกราคาหลายพันยันหลายหมื่นได้ ผมไม่แน่ใจว่าไกด์หมวยจะได้รับค่าคอมิชชั่นจากที่นี่ด้วยหรือเปล่า แต่ตั้งแต่ออกมาจากโรงงานหยก รอยยิ้มของเธอลดน้อยลงไปกว่าตอนที่เจอกันเมื่อเช้า
ครั้นถึงกำแพงเมืองจีน ไกด์หมวยบอกกับพวกเราว่าให้เวลาเพียงสองชั่วโมงเท่านั้นในการขึ้นและลงกำแพงเมืองจีน พวกเราถึงกับอ้าปากค้างกันเลยทีเดียว เอาละว่ะ เป็นไงเป็นกัน หากสองชั่วโมงยังลงมาไม่ถึง ก็ดูหน่อยสิ รถตู้ค้นนี้จะทิ้งเราได้ลงคอเชียวหรือ
การเดินขึ้นลงกำแพงเมืองจีนไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหลายๆคน รวมทั้งผมด้วย เมื่อวานใช้กำลังขาหนักไปหน่อย วันนี้...หนักกว่าเดิมครับ ผมเดินขึ้นตามขั้นบันไดที่ทั้งสูงทั้งชัน สเต็ปเท่ากันบ้างไม่เท่ากันบ้าง (ส่วนที่ผมมาเดินนั้น เธอพาเรามาส่วนที่มีเพียงสามป้อมเท่านั้น) ผมใช้เวลาตั้งชั่วโมงครึ่งกว่าจะเดินมาถึงป้อมที่สอง และเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงเท่านั้น จะขึ้นหรือจะลงดี เหลือป้อมสุดท้าย เอาก็เอาว่ะ สู้ตาย สุดท้ายการเดินขึ้นลงสามป้อมของกำแพงเมืองจีนผมใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมงครึ่ง นึกในใจเวลาเที่ยวของเราหายไปเพราะแวะโรงงานหยกชัวร์ ไกด์หมวยถึงได้จำกัดเวลาเราซะเหลือเกิน
สุสานหมิงเป็นสถานที่ต่อไปที่รถตู้กำลังพาพวกเราไป ผมเคยอ่านเจอมาว่า ที่สุสานหมิงอลังการมากครับ มีหินแกะสลักรูปช้าง สิงห์ ม้า อูฐ และอื่นๆรวม 6 ชนิด ชนิดละ 2 คู่ (ลักษณะหมอบ 1 คู่ และยืน 1 คู่) โดยตั้งเรียงรายประดับ 2 ข้างทางตลอดเส้น เรียกว่า “ทางเดินแห่งเทพ” ที่มุ่งสู่ตัวสุสาน นอกจากนี้ เรายังจะได้เห็นศิลาจารึกสูง 8.78 เมตร ณ สุสานหมิงเสี้ยว ที่ฮ่องเต้หมิงเฉิงจู่ แห่งรัชสมัยหย่งเล่อ ทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติฮ่องเต้หมิงไท่จู่ผู้พ่อ ด้วยการสลักคำสรรเสริญไว้ถึง 2,746 ตัวอักษร สุสานกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644) มีด้วยกันทั้งสิ้น 18 หลุม แต่ละหลุมนั้นกระจายอยู่แต่ละทิศแต่ละทางของภูเขากว้างใหญ่ไพศาล เพราะสุสานหมิงคลอบคลุมภูเขาทั้งลูกเลยทีเดียว หลุมของสุานที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์และโบราณสถานบนดิน คือส่วนของหลุมที่เรียกว่า “สุสานฉาง หลิง” และสุสานใต้ดินที่สุสานติ้งหลิง ซึ่งจะสามรถลงไปใต้ดินเพื่อชมความอลังการได้...
รถจอดทางเข้าสุสานหมิง เธอพาเราไปเดินชมป้ายแผนที่ พร้อมกับอธิบายถึงความอลังการของแต่ละหลุม ซึ่งหากใครได้เห็นแผนที่นี้แล้วคงตื่นตาตื่นใจไม่น้อยกับความยิ่งใหญ่ของสุสานหมิง...ยืนยันได้จากภาพถ่ายแผนที่...หลังจากนั้น เธอพาเราเดินเข้าไปด้านในพื้นที่ของสุสานหมิง
ไกด์หมวยพาเราเดินขึ้นบันได้ และชี้ลงไปข้างล่างให้เห็นถึงประตูที่ถูกสร้างปิดทางเข้าใต้ภูเขา และบอกกับเราว่าข้างในมีหลุมศพและสมบัติล้ำค่ามากมาย แต่รัฐบาลไม่ให้เปิดมันออกเพื่อไม่ให้เกิดความเสียข้างต่อสิ่งของที่อยู่ข้างใน จากนั้น เธอก็พาเราเดินออกไปนอกรั้วสุสาน และขึ้นรถไปมุ่งหน้าไปโรงเรียนสอนนวด...ต่างคนได้เพียงมองหน้ากัน และความเงียบกริบก็ครอบงำบรรยากาศภายในรถ
ณ โรงเรียนสอนนวด มีวิทยากรสาวท่านหนึ่งมาบรรยายศาสตร์แห่งการรักษาโรคด้วยการนวดเท้าตามแบบฉบับของจีน อีกทั้ง ยังเรียกหมอนวดฝึกหัดมานวดเท้าให้ฟรีถึงสิบห้านาที ในระหว่างที่ผมกำลังเคลิบเคลิ้มกับของฟรีอยู่นั้น มีหมอจีนจำนวนหลายคนเดินกรูกันเข้ามาในห้องที่พวกเรากำลังนั่งเรียกรายให้หมอนวดเท้าอยู่ นั้น หมอที่เพิ่งเดินเข้ามานั้น มานั่งประกบคู่กับพวกเราแต่ละคน จับแขน จับขา ดูตา หน้าผาก เส้นผม เล็บ และวิเคราะห์ว่าแต่ละคนป่วยหรือจะเป็นโรคอะไร แล้ววิทยากรก็นำตระกร้ายาชุดใหญ่มาให้พวกเราครับ แต่…ไม่ได้ให้ฟรีนะครับ คุณหมอเสนอราคามาตั้งแต่สามพันถึงหมื่นต้นๆกันเลยทีเดียว ผมยิ้มเยาะๆครับ สุดท้ายไม่มีใครซื้อ คุณหมอใจดีบอกแยกซื้อก็ได้ มีของแถมด้วย...ผมและเพื่อนบางใช้วิธีขอลุกไปห้องน้ำ ลุกทีละคนสองคนจนหมดห้อง และก็แอบออกไปรอที่รถซึ่งจอดรออยู่ข้างนอกโรงเรียนกันครับ...สรุป โรงเรียนแห่งนี้ก็ยังไม่สามารถขายอะไรให้กับพวกเราได้เลย...รอยยิ้มของไกด์หมวยเริ่มหายไปจากใบหน้าของเธอมากกว่าแรกพบที่เราเจอกัน
แต่เธอก็ยังไม่เสียความตั้งใจ เธอบอกกับพวกเราว่าก่อนเราจะไปโอลิมปิคสเตเดี้ยมเราจะแวะที่โรงเรียนสอนชงชาก่อน แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็มาถึง ผมและเพื่อนๆตื่นเต้นกับการชงชาปนด้วยความตลกขบฮาระหว่างพวกเราและอาจารย์สอน และชาที่นี่มีความหลากหลายชวนให้หลงใหล ราคาไม่แพง...โรงเรียนชงชาจึงชนะเลิศกว่าที่ใดๆที่เอาสามารถดึงเงินจากกระเป๋าพวกเราไปได้ แต่ไม่เสียใจนะครับ ชาเค้าอร่อยจริงๆ และคิดไว้ว่าเอาไปชงบนรถไฟที่เราจะอยู่ในนั้นอีกตั้งหลายวันหลายคืนด้วย
ณ โอลิมปิคสเตเดี้ยม เราบอกกับเธอว่าขอนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินกลับกันเอง ไม่ต้องไปส่งที่พัก เพราะเราไม่อยากถูกจำกัดเวลาการเที่ยวชมอีกเหมือนสถานที่ก่อนๆ...พวกเราและเธอก็เลยจากลากันตรงนั้น ณ โอลิมปิคสเตเดี้ยม พวกเรานั่งเล่นกลางลาน กระโดดถ่ายรูปด้วยกันอย่างสนุกสนานโดยลืมเรื่องราวเมื่อเช้าไปอย่างไม่รู้ตัว
ระหว่างทางจากโอลิมปิคสเตเดี้ยม กลับไปยังที่พัก ผมฉุดคิดได้ว่า จริงๆเราก็ไม่ควรต่อรองราคาให้ถูกขนาดนั้นเลย เพราะค่าเข้ากำแพงเมืองจีนรวมกับสุสานหมิงก็ปาเข้าไป 65 หยวนแล้ว ไหนจะค่าอาหารกลางวันอีกหนึ่งมื้ออีก แล้วจะเหลือเงินให้ไกด์หมวยคนกับคนขับรถและคนขายทัวร์คนละเท่าไหร่กัน คิดๆดูแล้ว สถานที่ เวลา ในส่วนที่เธอพาเราเที่ยว เธอคงบริหารตามเงินที่เราจ่ายให้อย่างเต็มที่แล้ว หากเราไม่ต่อรองราคา เราอาจจะได้เที่ยว สุสานหมิงในด้านที่นักท่องเที่ยวเค้านิยมเที่ยวกัน การซื้อโต๊ะทัวร์รายวันปกติราคาถูกอยู่แล้ว หากใครคิดจะไปแบบนี้ การต่อรองราคาควรคิดให้ดีๆ เอาใจเขามาใส่ใจเรา อย่าคิดว่าเราต่อราคาเก่ง เพราะเราอาจเจอคนเก่งกว่าเราเช่นไกด์คนนี้ที่พาเราไปก็ได้ ครั้งนี้ ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก เราและเธอ เสมอกัน...
การเดินทางบนรางเหล็กสายทรานมองโกเลีย กำลังจะมาถึง... ในวันพรุ่งนี้
ติดตามอ่านตอนอื่นๆได้ที่ http://backpackercity.wordpress.com ครับ
แฟนเพจ กดไลค์ได้ที่ https://www.facebook.com/iamnairaka ครับ
ขอบคุณที่ติดตามนะค้าฟฟฟ ตอนที่ 5 กำลังจะเสร็จแล้วครับ ฝากคอมเม้นท์ที่บล็อคด้วยนะครับผม