คําพิพากษายกฟ้องคดีที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ตกเป็นผู้ต้องหาฆ่า
คนตายโดยเล็งเห็นผล จนทำให้เกิดบาดเจ็บล้มตายใน พ.ศ.2553 มีทั้งอดีตและอนาคต และก็
เหมือนอดีตทั้งหลายไม่อาจแยกออกจากอนาคตได้
คำพิพากษาไม่ได้ปลดเปลื้องจำเลยทั้งสองไปจากคดีอาญานี้เท่านั้นแต่ปลดเปลื้องผู้ปฏิบัติคือ
ทหารทั้งหมดจากข้อหาทางอาญาเดียวกันอีกด้วย จริงอยู่ทหารปฏิบัติตามคำสั่ง แต่ก็มีกรณีที่เชื่อ
ได้ว่าปฏิบัติเกินคำสั่งหรือเกินความจำเป็นอีกมาก ทหารทั้งหมดเหล่านี้ นับตั้งแต่ผู้ปฏิบัติในภาคสนาม
ไปจนถึงผู้บังคับบัญชาซึ่งออกคำสั่งให้ใช้กระสุนจริง ใช้สไนเปอร์ หรือยิงกราดเข้าไปในฝูงชนโดย
ไม่เลือกเป้า ฯลฯ ล้วนเป็นการออกคำสั่งที่ไม่ชอบทางกฎหมายทั้งสิ้น แม้แต่คำสั่งอาจมีเงื่อนไข
เช่นในสถานการณ์ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือชีวิตของผู้ปฏิบัติงานเท่านั้น จึงสามารถทำได้
ก็ยังไม่พ้นความผิดทางวินัยเป็นอย่างน้อยว่า ได้พิจารณารอบคอบหรือยังว่า ในสถานการณ์เช่นนั้น
โอกาสที่ทหารจะลั่นไกปืนโดยไม่จำเป็นเกิดขึ้นได้ง่าย ได้ป้องปรามเรื่องนี้ไว้อย่างรัดกุมเพียงไร
หากไม่ได้ทำก็เป็นการออกคำสั่งที่สะเพร่า
เมื่อจำเลยหลักคือผู้มีอำนาจสูงสุดได้รับการยกฟ้องจากศาลอาญา(ศาลสถิตยุติธรรม) เพราะถือว่า
ปฏิบัติงานในตำแหน่งทางการเมือง (ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยที่ผิดพลาดทางนิติศาสตร์อย่างไร ผมจะไม่
กล่าวถึง เพราะมีผู้กล่าวไว้มากแล้ว รวมทั้งความเห็นต่างของอธิบดีศาลอาญาดังปรากฏในคำพิพากษาแล้ว)
คดีนี้ก็น่าจะถูกระงับเพียงเท่านั้น มากกว่าจะขยายลงมาถึงผู้ปฏิบัติ
โดยไม่ต้องอาศัย พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแต่อย่างไร ไม่ว่าจะเหมาเข่งหรือไม่ ทหารซึ่งออกปฏิบัติการใน
เดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 ทั้งหมด รอดพ้นจากการถูกไต่สวนพิจารณาความผิดต่อการกระทำ
ทุกประการ นับตั้งแต่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาถึงผู้ปฏิบัติในภาคสนาม
เมื่อโอนคดีจากศาลอาญาไปสู่ศาลคดีอาญาทางการเมืองก็หมายความว่า ความผิดฐานฆ่าคนตายกลาย
เป็นความผิดทางการเมือง หากผู้กระทำมีตำแหน่งทางการเมืองในขณะนั้น คดีอาญาทางการเมืองมีโทษทัณฑ์
ที่มุ่งจะจำกัดสิทธิทางการเมืองของผู้ผิดเท่านั้น ในทรรศนะของศาลอาญา การสังหารหมู่ประชาชนกลางเมือง
ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นความผิดทางการเมืองเท่านั้น และเมื่อเป็นคดีทางการเมือง ก็ไม่เกี่ยว
กับทหารผู้ลงมือปฏิบัติการแต่อย่างใด
ยิ่งไปกว่านี้ ยังจะฟ้องซ้ำคดีนี้ในศาลสถิตยุติธรรมอีกไม่ได้ จึงเหลืออยู่ทางเดียวที่คดีจะดำเนินต่อไปได้
คืออุทธรณ์ ผู้ที่จะอุทธรณ์แน่นอนคือญาติของผู้ตายและบาดเจ็บ แต่ก็ถูกวินิจฉัยจากคำพิพากษาใน
ศาลชั้นต้นนี้แล้ว ว่าไม่มีสิทธิจะเป็นโจทก์ร่วม ฉะนั้นก็ไม่แน่ว่าคำอุทธรณ์จะเป็นผลหรือไม่อย่างไร
ทางฝ่ายกรมอัยการซึ่งไม่ถูกกีดกันจากคำพิพากษาในการอุทธรณ์ก็ย่อมเข้าใจดีว่านัยยะในทางการเมือง
ของคำพิพากษานี้หมายความว่าอย่างไร ภายใต้อำนาจของ คสช.ดังที่เป็นอยู่ หากกรมอัยการไม่อุทธรณ์
ก็เข้าใจได้ แต่หากปฏิกิริยาของสังคมเป็นไปในทางรับไม่ได้อย่างกว้างขวาง กรมอัยการจึงต้องตัดสินใจ
อุทธรณ์ ก็เข้าใจได้อยู่ดี
ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า การใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนผู้ประท้วงทางการเมืองใน พ.ศ.2553 ก็จะเหมือน
กับทุกครั้งที่ผ่านมา กล่าวคือนักการเมือง (ไม่ว่าจะมาจากหีบบัตรเลือกตั้งหรืออาวุธ) ซึ่งเลือกใช้ความรุนแรง
ก็จะลอยนวลเหมือนเดิม พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือการสังหารหมู่ศัตรูทางการเมือง โดยไม่ต้องรับผิดชอบแต่อย่างไร
ก็ยังเป็นเครื่องมือทางการเมืองไทยที่ทรงประสิทธิภาพสืบไป
นี่คือการให้ความหมายแก่อดีตของคำพิพากษาแต่ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า อดีต-ปัจจุบัน-อนาคตเป็น
สามช่วงเวลาที่แยกออกจากกันไม่ได้ ดังนั้น ความหมายใหม่ของอดีตตามคำพิพากษาจึงให้ความหมาย
แก่ปัจจุบันด้วย
นั่นก็คือ ไม่มีภาระรับผิดชอบทางกฎหมายใดๆ ขวางกั้นคณะรัฐประหาร คสช. ที่จะใช้ความรุนแรงกระทำ
ต่อผู้ประท้วง หรือผู้ไม่เห็นชอบกับการยึดอำนาจ ปัญหาไปอยู่ที่อนาคต กล่าวคือจะมีกรณีการประท้วงใดที่
คสช.จะเลือกการใช้ความรุนแรงหรือไม่ ผมคาดเดาไม่ถูก แต่หากมี ก็จะเป็นการนองเลือดที่เลวร้ายกว่าที่
ผ่านมาทุกครั้ง เพราะไม่ต้องรอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมใดๆ ทั้งสิ้นอีกแล้ว
ความหมายของคำพิพากษาต่ออนาคตอันยาวไกลข้างหน้าของการเมืองไทยก็คือ
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในสังคมไทยซึ่งดำเนินมาสอง-สามทศวรรษแล้ว ระบบการเมืองแบบ
เดิมซึ่งอยู่ในกำกับของชนชั้นนำจำนวนน้อย ไม่อาจตั้งอยู่ต่อไปได้ ถึงอย่างไรก็ต้องเปลี่ยนเพื่อรองรับ
การกำเนิดของคนชั้นกลางรุ่นใหม่ ซึ่งมีจำนวนมาก แต่จะเปลี่ยนในลักษณะใดนั้นไม่แน่ คงไม่ราบรื่นอย่าง
แน่นอน แต่ความไม่ราบรื่นนี้จะแทรกด้วยการนองเลือดตลอดไปหรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่ควรวิตกทั้งแก่ชนชั้นนำ
ที่รู้คิดและคนทั่วไป เพราะหากการเปลี่ยนผ่านทำได้ด้วยความรุนแรง การรื้อทำลายโครงสร้างอำนาจและ
ผลประโยชน์ก็จะเป็นการถอนรากถอนโคนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก การเปลี่ยนผ่านในลักษณะนี้ทำให้หลีก
หนีความรุนแรงไม่ได้ ซึ่งจะกระทบถึงทุกเรื่องและทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากเช่นกัน
และเพราะคำพิพากษานี้ทำให้ รัฐบาลใดๆ สามารถสังหารหมู่ประชาชนได้โดยไม่ใช่ความผิดทางอาญาปกติ
จึงเป็นการง่ายที่รัฐบาลซึ่งครองอำนาจอยู่จะเลือกใช้วิธีนี้ หากได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ
ด้วยเหตุดังนั้น ไม่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับถาวรจะมีลักษณะอย่างไร กองทัพจะเป็นเงื่อนไขสำคัญของการรักษา
อำนาจทางการเมือง เพราะเป็นเครื่องมือของความรุนแรงที่ไม่มีขีดจำกัดและมีประสิทธิภาพ ไม่มีกองทัพ
อะไรในโลกที่ดำรงความสำคัญขนาดนี้แล้วไม่เข้าไปแทรกแซงกำกับการเมือง หรือเข้ามาคุมการเมืองโดย
ตรงด้วยการรัฐประหาร ส่วนหนึ่งของสถานะเช่นนี้ของกองทัพได้มาจากคำพิพากษานี้ด้วย
พื้นที่ทางการเมืองในทุกสังคมเป็นพื้นที่สำคัญอันหนึ่งที่เอื้อให้ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้หากพื้นที่นี้ถูก
ครอบงำด้วยความรุนแรงนองเลือด ผู้คนจำนวนมากจะไปสร้างพื้นที่ทางการเมืองใหม่ซึ่งให้ความปลอดภัย
แก่ตนเอง แต่ไม่ปลอดภัยแก่ฝ่ายตรงข้าม การแข่งขันระหว่างพื้นที่การเมืองของสองฝ่ายจึงไม่เหลือทาง
เลือกอื่น นอกจากใช้ความรุนแรงเข้ากระทำต่อกัน ในปัจจุบัน ไม่มีป่าเหลือให้ใครไปตั้งกองกำลังติดอาวุธ
ได้อีกแล้ว และไม่มีมหาอำนาจใดต้องการแทรกแซงประเทศไทยด้วยเครื่องมือรัฐบาลพลัดถิ่น สนามแข่งขัน
แห่งความรุนแรงจึงเหลืออยู่ที่การก่อการร้าย ดังที่เราพบในภาคใต้และอีกหลายประเทศ
ทั้งหมดนี้คืออนาคตของคำพิพากษาดังกล่าว เท่าที่จะพอคาดเดาได้จากปัจจุบัน
ในฐานะคนที่ไม่เคยเรียนกฎหมายเลย แต่เคยรู้มาว่า การตีความกฎหมายอาญานั้น ต้องตั้งอยู่บนหลักว่า
หากตีความอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว จะมีผลอย่างไรต่อสังคมในวงกว้าง ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต คนผิด
บางคนอาจลอยนวลได้ เพราะความไร้ประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม แต่หลักการว่าการกระทำนั้นผิด
เพราะเป็นอันตรายต่อสังคมโดยรวมในระยะสั้นและยาว จะต้องไม่ถูกทำลายไปเพราะบางคนลอยนวล
............
(ที่มา:มติชนรายวัน8 กันยายน 2557)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1410161015
จะมีใครมา บอกไหมว่า นิธิ เอียวศรีวงศ์ นี่ สู้ จิตกร บุษบา มือขวา เจิมศักดิ์ ไม่ได้
อยากเห็น คนมาวิจารณ์ สิ่งที่อ.จ.นิธิ เขียน มากเลย
จำได้ว่า คุณห่านป่า คนดัง รดน. เคยตั้งกระทู้ชื่นชม ศาลอาญา ในคำตัดสินนี้
ก็อยากจะเชื้อเชิญ มา วิจารณ์อ.จ. นิธิ เหมือนกันนะ ต้องระดับนั้น แหละ
ค่อยสมน้ำ สมเนื้อหน่อย แต่เพื่อน คนไหน อยาก จะ ประดาบ กับบทความนี้ เชิญได้
คุณเกี๊ยก คุณม่วงคัน และ สมาชิก nonแดง ผู้มากด้วยความรู้ อยากเชิญชวน ค่ะ
มากกันหน่อย ม่าเห็นต่างจาก อ.จ.นิธิ กันหน่อย
นิธิ เอียวศรีวงศ์ : อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ของคำพิพากษา ..... มติชนออนไลน์
คนตายโดยเล็งเห็นผล จนทำให้เกิดบาดเจ็บล้มตายใน พ.ศ.2553 มีทั้งอดีตและอนาคต และก็
เหมือนอดีตทั้งหลายไม่อาจแยกออกจากอนาคตได้
คำพิพากษาไม่ได้ปลดเปลื้องจำเลยทั้งสองไปจากคดีอาญานี้เท่านั้นแต่ปลดเปลื้องผู้ปฏิบัติคือ
ทหารทั้งหมดจากข้อหาทางอาญาเดียวกันอีกด้วย จริงอยู่ทหารปฏิบัติตามคำสั่ง แต่ก็มีกรณีที่เชื่อ
ได้ว่าปฏิบัติเกินคำสั่งหรือเกินความจำเป็นอีกมาก ทหารทั้งหมดเหล่านี้ นับตั้งแต่ผู้ปฏิบัติในภาคสนาม
ไปจนถึงผู้บังคับบัญชาซึ่งออกคำสั่งให้ใช้กระสุนจริง ใช้สไนเปอร์ หรือยิงกราดเข้าไปในฝูงชนโดย
ไม่เลือกเป้า ฯลฯ ล้วนเป็นการออกคำสั่งที่ไม่ชอบทางกฎหมายทั้งสิ้น แม้แต่คำสั่งอาจมีเงื่อนไข
เช่นในสถานการณ์ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือชีวิตของผู้ปฏิบัติงานเท่านั้น จึงสามารถทำได้
ก็ยังไม่พ้นความผิดทางวินัยเป็นอย่างน้อยว่า ได้พิจารณารอบคอบหรือยังว่า ในสถานการณ์เช่นนั้น
โอกาสที่ทหารจะลั่นไกปืนโดยไม่จำเป็นเกิดขึ้นได้ง่าย ได้ป้องปรามเรื่องนี้ไว้อย่างรัดกุมเพียงไร
หากไม่ได้ทำก็เป็นการออกคำสั่งที่สะเพร่า
เมื่อจำเลยหลักคือผู้มีอำนาจสูงสุดได้รับการยกฟ้องจากศาลอาญา(ศาลสถิตยุติธรรม) เพราะถือว่า
ปฏิบัติงานในตำแหน่งทางการเมือง (ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยที่ผิดพลาดทางนิติศาสตร์อย่างไร ผมจะไม่
กล่าวถึง เพราะมีผู้กล่าวไว้มากแล้ว รวมทั้งความเห็นต่างของอธิบดีศาลอาญาดังปรากฏในคำพิพากษาแล้ว)
คดีนี้ก็น่าจะถูกระงับเพียงเท่านั้น มากกว่าจะขยายลงมาถึงผู้ปฏิบัติ
โดยไม่ต้องอาศัย พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแต่อย่างไร ไม่ว่าจะเหมาเข่งหรือไม่ ทหารซึ่งออกปฏิบัติการใน
เดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 ทั้งหมด รอดพ้นจากการถูกไต่สวนพิจารณาความผิดต่อการกระทำ
ทุกประการ นับตั้งแต่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาถึงผู้ปฏิบัติในภาคสนาม
เมื่อโอนคดีจากศาลอาญาไปสู่ศาลคดีอาญาทางการเมืองก็หมายความว่า ความผิดฐานฆ่าคนตายกลาย
เป็นความผิดทางการเมือง หากผู้กระทำมีตำแหน่งทางการเมืองในขณะนั้น คดีอาญาทางการเมืองมีโทษทัณฑ์
ที่มุ่งจะจำกัดสิทธิทางการเมืองของผู้ผิดเท่านั้น ในทรรศนะของศาลอาญา การสังหารหมู่ประชาชนกลางเมือง
ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นความผิดทางการเมืองเท่านั้น และเมื่อเป็นคดีทางการเมือง ก็ไม่เกี่ยว
กับทหารผู้ลงมือปฏิบัติการแต่อย่างใด
ยิ่งไปกว่านี้ ยังจะฟ้องซ้ำคดีนี้ในศาลสถิตยุติธรรมอีกไม่ได้ จึงเหลืออยู่ทางเดียวที่คดีจะดำเนินต่อไปได้
คืออุทธรณ์ ผู้ที่จะอุทธรณ์แน่นอนคือญาติของผู้ตายและบาดเจ็บ แต่ก็ถูกวินิจฉัยจากคำพิพากษาใน
ศาลชั้นต้นนี้แล้ว ว่าไม่มีสิทธิจะเป็นโจทก์ร่วม ฉะนั้นก็ไม่แน่ว่าคำอุทธรณ์จะเป็นผลหรือไม่อย่างไร
ทางฝ่ายกรมอัยการซึ่งไม่ถูกกีดกันจากคำพิพากษาในการอุทธรณ์ก็ย่อมเข้าใจดีว่านัยยะในทางการเมือง
ของคำพิพากษานี้หมายความว่าอย่างไร ภายใต้อำนาจของ คสช.ดังที่เป็นอยู่ หากกรมอัยการไม่อุทธรณ์
ก็เข้าใจได้ แต่หากปฏิกิริยาของสังคมเป็นไปในทางรับไม่ได้อย่างกว้างขวาง กรมอัยการจึงต้องตัดสินใจ
อุทธรณ์ ก็เข้าใจได้อยู่ดี
ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า การใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนผู้ประท้วงทางการเมืองใน พ.ศ.2553 ก็จะเหมือน
กับทุกครั้งที่ผ่านมา กล่าวคือนักการเมือง (ไม่ว่าจะมาจากหีบบัตรเลือกตั้งหรืออาวุธ) ซึ่งเลือกใช้ความรุนแรง
ก็จะลอยนวลเหมือนเดิม พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือการสังหารหมู่ศัตรูทางการเมือง โดยไม่ต้องรับผิดชอบแต่อย่างไร
ก็ยังเป็นเครื่องมือทางการเมืองไทยที่ทรงประสิทธิภาพสืบไป
นี่คือการให้ความหมายแก่อดีตของคำพิพากษาแต่ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่า อดีต-ปัจจุบัน-อนาคตเป็น
สามช่วงเวลาที่แยกออกจากกันไม่ได้ ดังนั้น ความหมายใหม่ของอดีตตามคำพิพากษาจึงให้ความหมาย
แก่ปัจจุบันด้วย
นั่นก็คือ ไม่มีภาระรับผิดชอบทางกฎหมายใดๆ ขวางกั้นคณะรัฐประหาร คสช. ที่จะใช้ความรุนแรงกระทำ
ต่อผู้ประท้วง หรือผู้ไม่เห็นชอบกับการยึดอำนาจ ปัญหาไปอยู่ที่อนาคต กล่าวคือจะมีกรณีการประท้วงใดที่
คสช.จะเลือกการใช้ความรุนแรงหรือไม่ ผมคาดเดาไม่ถูก แต่หากมี ก็จะเป็นการนองเลือดที่เลวร้ายกว่าที่
ผ่านมาทุกครั้ง เพราะไม่ต้องรอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมใดๆ ทั้งสิ้นอีกแล้ว
ความหมายของคำพิพากษาต่ออนาคตอันยาวไกลข้างหน้าของการเมืองไทยก็คือ
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในสังคมไทยซึ่งดำเนินมาสอง-สามทศวรรษแล้ว ระบบการเมืองแบบ
เดิมซึ่งอยู่ในกำกับของชนชั้นนำจำนวนน้อย ไม่อาจตั้งอยู่ต่อไปได้ ถึงอย่างไรก็ต้องเปลี่ยนเพื่อรองรับ
การกำเนิดของคนชั้นกลางรุ่นใหม่ ซึ่งมีจำนวนมาก แต่จะเปลี่ยนในลักษณะใดนั้นไม่แน่ คงไม่ราบรื่นอย่าง
แน่นอน แต่ความไม่ราบรื่นนี้จะแทรกด้วยการนองเลือดตลอดไปหรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่ควรวิตกทั้งแก่ชนชั้นนำ
ที่รู้คิดและคนทั่วไป เพราะหากการเปลี่ยนผ่านทำได้ด้วยความรุนแรง การรื้อทำลายโครงสร้างอำนาจและ
ผลประโยชน์ก็จะเป็นการถอนรากถอนโคนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก การเปลี่ยนผ่านในลักษณะนี้ทำให้หลีก
หนีความรุนแรงไม่ได้ ซึ่งจะกระทบถึงทุกเรื่องและทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากเช่นกัน
และเพราะคำพิพากษานี้ทำให้ รัฐบาลใดๆ สามารถสังหารหมู่ประชาชนได้โดยไม่ใช่ความผิดทางอาญาปกติ
จึงเป็นการง่ายที่รัฐบาลซึ่งครองอำนาจอยู่จะเลือกใช้วิธีนี้ หากได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ
ด้วยเหตุดังนั้น ไม่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับถาวรจะมีลักษณะอย่างไร กองทัพจะเป็นเงื่อนไขสำคัญของการรักษา
อำนาจทางการเมือง เพราะเป็นเครื่องมือของความรุนแรงที่ไม่มีขีดจำกัดและมีประสิทธิภาพ ไม่มีกองทัพ
อะไรในโลกที่ดำรงความสำคัญขนาดนี้แล้วไม่เข้าไปแทรกแซงกำกับการเมือง หรือเข้ามาคุมการเมืองโดย
ตรงด้วยการรัฐประหาร ส่วนหนึ่งของสถานะเช่นนี้ของกองทัพได้มาจากคำพิพากษานี้ด้วย
พื้นที่ทางการเมืองในทุกสังคมเป็นพื้นที่สำคัญอันหนึ่งที่เอื้อให้ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้หากพื้นที่นี้ถูก
ครอบงำด้วยความรุนแรงนองเลือด ผู้คนจำนวนมากจะไปสร้างพื้นที่ทางการเมืองใหม่ซึ่งให้ความปลอดภัย
แก่ตนเอง แต่ไม่ปลอดภัยแก่ฝ่ายตรงข้าม การแข่งขันระหว่างพื้นที่การเมืองของสองฝ่ายจึงไม่เหลือทาง
เลือกอื่น นอกจากใช้ความรุนแรงเข้ากระทำต่อกัน ในปัจจุบัน ไม่มีป่าเหลือให้ใครไปตั้งกองกำลังติดอาวุธ
ได้อีกแล้ว และไม่มีมหาอำนาจใดต้องการแทรกแซงประเทศไทยด้วยเครื่องมือรัฐบาลพลัดถิ่น สนามแข่งขัน
แห่งความรุนแรงจึงเหลืออยู่ที่การก่อการร้าย ดังที่เราพบในภาคใต้และอีกหลายประเทศ
ทั้งหมดนี้คืออนาคตของคำพิพากษาดังกล่าว เท่าที่จะพอคาดเดาได้จากปัจจุบัน
ในฐานะคนที่ไม่เคยเรียนกฎหมายเลย แต่เคยรู้มาว่า การตีความกฎหมายอาญานั้น ต้องตั้งอยู่บนหลักว่า
หากตีความอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว จะมีผลอย่างไรต่อสังคมในวงกว้าง ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต คนผิด
บางคนอาจลอยนวลได้ เพราะความไร้ประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม แต่หลักการว่าการกระทำนั้นผิด
เพราะเป็นอันตรายต่อสังคมโดยรวมในระยะสั้นและยาว จะต้องไม่ถูกทำลายไปเพราะบางคนลอยนวล
............
(ที่มา:มติชนรายวัน8 กันยายน 2557)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1410161015
จะมีใครมา บอกไหมว่า นิธิ เอียวศรีวงศ์ นี่ สู้ จิตกร บุษบา มือขวา เจิมศักดิ์ ไม่ได้
อยากเห็น คนมาวิจารณ์ สิ่งที่อ.จ.นิธิ เขียน มากเลย
จำได้ว่า คุณห่านป่า คนดัง รดน. เคยตั้งกระทู้ชื่นชม ศาลอาญา ในคำตัดสินนี้
ก็อยากจะเชื้อเชิญ มา วิจารณ์อ.จ. นิธิ เหมือนกันนะ ต้องระดับนั้น แหละ
ค่อยสมน้ำ สมเนื้อหน่อย แต่เพื่อน คนไหน อยาก จะ ประดาบ กับบทความนี้ เชิญได้
คุณเกี๊ยก คุณม่วงคัน และ สมาชิก nonแดง ผู้มากด้วยความรู้ อยากเชิญชวน ค่ะ
มากกันหน่อย ม่าเห็นต่างจาก อ.จ.นิธิ กันหน่อย