บันทึกของหมออาสาชีวิตภายใต้เงื้อมมือมัจจุราชอีโบลา



          มหันตภัยไวรัสร้าย "อีโบลา" ยังคงกัดกินชีวิตของผู้คนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง แม้ที่ผ่านมานักวิจัย และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกจะพยายามคิดค้นตัวยา
เพื่อสกัดวัคซีนมากำจัดไวรัสร้ายให้หมดไปจากโลกนี้ แต่จนถึงขณะนี้ "อีโบลา" ได้คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 2,105 คน และอาจกล่าวได้ว่า ใครที่ติดเชื้ออีโบลาโอกาส
รอดชีวิตแทบจะเป็นศูนย์

          โลกนี้ย่อมมีปาฏิหาริย์ "อีโบลา" ไม่ใช่ผู้ชนะเสมอไป เมื่อ นพ.เคนท์ แบรนท์ลีย์ ชาวอเมริกัน หนึ่งในผู้ติดเชื้ออีโบลาระหว่างอาสาไปช่วยเหลือผู้ติดเชื้อไวรัส
ไข้เลือดออกอีโบลาในนามองค์กรการกุศล Samaritan’s Purse กลับรอดชีวิตได้อย่างเหลื่อเชื่อหลังจากป่วยด้วยอาการติดเชื้อไวรัสร้าย โดยก่อนหน้านี้ระหว่างที่
นพ.แบรนท์ลีย์ ถูกส่งตัวกลับมารักษาที่สหรัฐนั้น ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า หมออาสาผู้นี้จะรอดพ้นความตายจากไวรัสที่คร่าชีวิตเหยื่อรายอื่นในอัตราสูงกว่า 50%

          ถึงตอนนี้ หมอแบรนท์ลีย์หายป่วยจากการติดเชื้อไวรัสอีโบลา โดยหลังจากพ้นเงื้อมมือมัจจุราช คุณหมอหนุ่มได้เขียนเล่าประสบการณ์ลงในนิตยสารไทม์
ถึงความรู้สึกที่รอดชีวิตจาก "อีโบลา"  



          "เช้าวันที่ตื่นมาพร้อมกับอีโบลา ผมรู้สึกตัวร้อนเล็กน้อย อุณหภูมิร่างกายอยู่ที่ 100 องศาฟาเรนไฮต์ ซึ่งสูงกว่าปกติ แต่มันไม่น่าวิตกจนเกินไปนัก
ผมตัดสินใจหยุดงานและพักอยู่ที่บ้านเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน ผมใช้เวลา 7 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ ต่อสู้กับการระบาดครั้งเลวร้ายที่สุดในโลกที่ไลบีเรีย ผมทำงาน
เป็นแพทย์ให้แก่องค์การ Samaritan's Purse ผมคิดว่าแค่เป็นไข้ธรรมดา แต่ก็ไม่ไร้เดียงสาเกินไปที่จะคิดว่าตัวเองคงจะไม่ติดเชื้ออีโบลา
    
          พอถึงตอนเที่ยง อุณหภูมิของผมเพิ่มเป็น 101.4 ผมจึงใช้วิธีตรวจหาเชื้อมาลาเรียอย่างเร็ว ปรากฏว่าผลเป็นลบ ซึ่งไม่ใช่สัญญาณที่ดี ผมจึงติดต่อหัวหน้าทีม
ที่ได้ส่งแพทย์เพื่อนร่วมงานของผมมาที่บ้าน พร้อมกับอุปกรณ์การป้องกันเต็มที่
    
          หลังการตรวจมาเลเซียที่เป็นลบอีก 2 รอบ ผมรู้ว่าจะถูกกักโรคอีกอย่างน้อย 3 วัน เพราะบ่อยครั้งที่การตรวจเลือดหาเชื้ออีโบลามักให้ผลเป็นลบในช่วง 3 วันแรก
ของการป่วย ดังนั้น เราจึงต้องรออีกสักสองสามวันเพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำ แต่ในขณะเดียวกันผมก็ป่วยหนักขึ้น ไข้ของผมสูง 104.9 รู้สึกคลื่นไส้และเริ่มถ่ายท้อง
และในที่สุด ทีมงานก็ฉีดยาเข้าเส้นเลือดที่แขน และให้น้ำเกลือ เราต่างก็หวังกันว่ามันอาจจะเป็นแค่ไข้เด็งกี่

          ในวันที่สี่ หัวหน้าทีมมาที่หน้าต่างห้องนอนของผมพร้อมกับข่าว "เค้นท์ เพื่อนยาก เราได้ผลการตรวจสอบนายแล้ว เสียใจจริงๆ ที่ต้องบอกว่าผลเป็นบวก
สำหรับอีโบลา" ผมไม่รู้ว่าควรจะต้องคิดอย่างไร ผมจึงแค่ถามออกไปว่า "แล้วแผนของเราเป็นยังไง"
  


          กลางเดือนตุลาคม 2013 ผมย้ายมาที่กรุงมอนโรเวียพร้อมกับแอมเบอร์ ภรรยาของผมและลูกๆ 2 คน เรามีแผนจะทำงานเป็นแพทย์มิชชันนารีกับ
Samaritan's Purse นาน 2 ปี ครั้งแรกที่ผมได้ยินเรื่องการระบาดของอีโบลาคือปลายเดือนมีนาคมในระหว่างงานปิกนิกของชาวต่างชาติที่อยู่ในแถบนี้
มีใครบางคนถามว่าผมรู้เรื่องการระบาดของอีโบลาที่กินีหรือไม่ ซึ่งผมก็ไม่เคยได้ยิน แต่ในอีก 2 เดือน ผมเป็นแพทย์ 1 ในแค่ 2 คนในมอนโรเวียที่ให้การ
รักษาผู้ป่วยอีโบลา

          วันที่ 11 มิถุนายน โรงพยาบาลของเรา ซึ่งมีชื่อว่า ELWA (Eternal Love Winning Africa) ได้รับโทรศัพท์จากกระทรวงสาธารณสุข  พวกเขาจะนำ
ผู้ป่วยอีโบลา 2 คนมายังแผนกผู้ป่วยแยกของเรา ในช่วงเวลาแค่ 2 ชั่วโมงเราต้องตระเตรียมทุกสิ่งให้เรียบร้อย แต่หนึ่งในผู้ป่วยตายบนรถพยาบาล และในช่วง
เวลาเดือนครึ่งหลังจากนั้น จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก จนเรารับมือไม่ไหว

          วันที่ 20 กรกฎาคม เราเปิดแผนกผู้ป่วยแยกที่ใหญ่กว่า และรวบรวมผู้ป่วยจากโรงพยาบาลใกล้เคียงมาไว้ที่แผนกเล็กๆ ของเรา ในวันเดียวกัน ผมก็ไปส่ง
แอมเบอร์และลูกๆ ที่สนามบิน เพื่อบินกลับไปเท็กซัสสำหรับร่วมงานแต่งงานของญาติ ผมจะตามไปสมทบกับพวกเขาในอีก 1 สัปดาห์ให้หลัง แต่เพียงแค่ 3 วัน
หลังพวกเขาจากไป ผมก็ป่วย
    


          แม้จะเจอข่าวร้าย แต่ผมรู้สึกสงบ ผมไม่เคยต้องเช็ดน้ำตาเมื่อโทรศัพท์ถึงภรรยาแล้วบอกว่า "แอมเบอร์ ผลการตรวจเป็นบวก ผมเป็นอีโบลา"
แม้ว่าคนอื่นๆ ในครอบครัวของผมจะร้องไห้ แต่ผมรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด พระเจ้าประทานพรให้ผมด้วยความสงบที่มากเกินกว่าจะเข้าใจได้
นับตั้งแต่เราเริ่มให้การรักษาผู้ป่วยอีโบลาในมอนโรเวีย เรามีผู้รอดชีวิตรายเดียว
      
          ในบางช่วง ผมได้รับการบอกกล่าวเกี่ยวกับยาที่กำลังอยู่ระหว่างการทดลอง มันใช้ได้ผลกับลิง แต่ยังไม่เคยมีการทดสอบในมนุษย์ ผมตกลงที่จะรับยาตัวนี้
แต่แล้วก็ตัดสินใจว่าแนนซี่ ไรท์โบล ควรได้รับมันก่อน เพราะเธอป่วยหนักกว่า ผมไม่ได้พยายามที่จะเป็นวีรบุรุษ ผมตัดสินใจด้วยเหตุและผลในฐานะของแพทย์
      
          ในช่วง 2 วันหลังจากนั้น สภาพของผมแย่ลง ร่างกายเริ่มสั่น หัวใจเต้นรัว ไม่มีอะไรทำให้อุณหภูมิของผมลดลง และมีน้ำในปอด ตัวผมร้อน คลื่นไส้ ไม่มีแรง
ทุกอย่างมันเบลอไปหมด เพื่อนและเพื่อนร่วมงานของผมมาสวดมนต์กันที่นอกบ้านผม และในทั่วโลก
      
          แพทย์ได้ตัดสินใจให้ยากับผม และภายใน 1 ชั่วโมง ร่างกายของผมเริ่มทรงตัวเล็กน้อย มันดีขึ้นมากพอสำหรับที่ผมจะถูกอพยพไปยังโรงพยาบาล
มหาวิทยาลัย Emory ในแอตแลนตาได้อย่างปลอดภัย
      


          ระหว่างที่พักรักษาตัว ผมมักคิดถึงผู้ป่วยที่ผมรักษา อีโบลาเป็นโรคของความอัปยศอดสู มันได้ลบศักดิ์ศรีของคุณทิ้งไป คุณถูกแยกออกจากครอบครัว
และต้องอยู่คนเดียวโดยไม่สามารถมองเห็นหน้าตาของคนที่รักษาคุณได้เนื่องจากการสวมชุดป้องกัน คุณสามารถเห็นได้แต่ตาของพวกเขาเท่านั้น คุณจะถ่ายท้อง
อย่างควบคุมไม่ได้ และมันก็น่าอับอาย คุณต้องพึ่งพาให้คนอื่นมาช่วยทำความสะอาด และ นั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมเราพยายามทำอย่างดีที่สุดในการปฏิบัติผู้ป่วย
ให้เหมือนกับเป็นคนในครอบครัวของเรา เราพูดคุยกับผู้ป่วยทุกคนผ่านอุปกรณ์ป้องกัน เรียกผู้ป่วยด้วยชื่อ และสัมผัสพวกเขา เราต้องการให้พวกเขารู้ว่า พวกเขามีคุณค่า
พวกเขามีคนที่รัก และเราอยู่ที่นี่เพื่อดูแลพวกเขา
        
          ที่ Emory แพทย์สามารถเห็นระดับโพแทสเซียมของผมว่าต่ำ และก็เพิ่มมันเข้าไปได้ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ในไลบีเรีย และมันก็สามารถทำให้ผมตายได้
ในที่สุด ผมก็ร้องไห้ออกมาเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นสมาชิกในครอบครัวผ่านทางหน้าต่าง และพูดคุยกันผ่านระบบอินเตอร์คอม ผมไม่แน่ใจว่าจะได้เห็นพวกเขาอีก
ในที่สุดเมื่อผมหาย พวกพยาบาลช่วยให้ผมออกจากแผนกผู้ป่วยแยก อย่างตื่นเต้น และผมได้กอดภรรยาเป็นครั้งแรกในรอบ 1 เดือน
    


          แม้กระทั่งเมื่อเผชิญหน้ากับความตาย ผมยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธา ผมไม่ได้ต้องการเป็นผู้ที่ศรัทธาในพระเจ้าตลอดระยะเวลา 10 เดือนที่ทำงานในไลบีเรีย
เพียงเพื่อจะเลิกศรัทธาเพราะว่าป่วย แม้ว่าเราจะไม่สามารถกลับไปที่ไลบีเรียได้ตอนนี้ ก็ชัดเจนว่า เราได้ให้แพลตฟอร์มใหม่สำหรับการช่วยเหลือชาวไลบีเรียไปแล้ว
      
          อีโบลาได้เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างในแอฟริกาตะวันตก เราไม่สามารถนั่งเฉยๆ แล้บอกว่า " โอ้....พวกนี้น่าสงสาร" เราต้องคิดนอกกรอบ และหาหนทางในการช่วย
ผู้คนกลัวแผนกผู้ป่วยแยก เพราะนั่นจะเป็นที่ที่คุณจะตาย พวกเขาจะอยู่ที่บ้านแทน และก็ทำให้คนในครอบครัวติดไปด้วย บางทีเราจำเป็นต้องหาทางทำให้การดูแลผู้ป่วยที่บ้านมีความปลอดภัยด้วยการปกป้องคนที่ดูแล รัฐบาลของประเทศในแอฟริกาตะวันตก มีงานล้นมือ พวกเขาไม่สามารถรับมือกับการระบาด โดยได้รับแค่ความช่วยเหลือจาก
กลุ่มเอ็นจีโอบางกลุ่มได้ นี่เป็นปัญหาระดับโลก และมันจำเป็นต้องมีการดำเนินการจากรัฐบาลต่างๆ ทั่วโลก และต้องเป็นการดำเนินการเพื่อหยุดยั้งมันในตอนนี้"


http://www.komchadluek.net/mobile/detail/20140909/191758.html
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่