* นั่งไม่ติดเบาะกับ ฉากแอคชั่นไล่ล่า อภิมหาไซไฟ ภูเขาไฟระเบิดถล่มปอมเปอีราบเป็นหน้ากลอง
* ตื่นตะลึงไปกับ 3D เพริดแพร้วพิลาศพิไล งดงามจับใจเหนือจินตนาการของมนุษยชาติทั้งโลกนี้และโลกหน้า
* เจ้มจ้น ฝาเดียวน้ำเดียวใน ซีนดราม่ากระชากอารมณ์ ทำเอาน้ำตาไหลหลั่งราวกับแยงซีเกียง กับแม่น้ำเทมส์ไหลมาบรรจบกันก็มิปาน
* มาเค้นสมองกับการตัดต่อ flashback – flash forward ระดับเมพที่หากกระพริบตาซักครั้ง ท่านจิดูไม่รู้เรื่องเลยให้ตายพร่อง
* และ.......งวยงง พิศวงกับบทสรุปสุดท้ายระดับตำนานที่หักมุม เลี้ยวโค้งหักศอก หน้ายางหายไป 2 ซม.โดยไม่รู้ตัว
ทั้งหมดที่ว่ามาข้างบนนี้
ท่านจะไม่ได้เจอเลย....หากท่านเผลอซื้อตั๋วเข้าไปดู Boyhood ค่ะ !!
Boyhood (2014) : เมื่อ The moment seizes us !
เกี่ยวกับ Boyhood : หาอ่านเอาเองเนาะ มีเยอะแยะ ^^
ฉากประทับใจ : ประทับใจทุกฉาก
อื่นๆ ที่อยากพล่ามถึง :
When I was young I listened to the radio waiting for my favorite songs.
When they played I sing along, it made me smile
เสียงเพลง Yesterday Once More ลอยแผ่วมาจากที่แสนไกล ทำให้เราอดรำลึกไปถึงครั้งยังเยาว์วัยไม่ได้ อ๊ะ! นี่มันหนังของเด็กเจน Z นิหว่า งั้นเปลี่ยนใหม่นะคะ จาก Yesterday Once More มาเป็น Yellow ของ Cold Play น่าจะสะเทือนต่อมกว่าหนิ ^^
Boyhood หนังน่ารักที่มีต้นทุนทางเวลาสูงมาก มาก มาก เนื่องจากใช้ระยะเวลาการถ่ายทำร่วม 12 ปี ราวกับเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางรูปสังขารและความคิดของตัวละครในเรื่องมามากกว่าทศวรรษทีเดียว โอ้ว…แม่จ้า! เพราะหนังจะพาเราไปสัมผัสตั้งแต่เมสันน้อย ขี่จักรยานสไลด์ลงเนินเดิน ไปยันนางโตเป็นหนุ่มเสียงแตกแหบพร่าริจะซั่มหญิงกันเลยทีเดียวค่ะ
แล้วนั่น มันสนุกตรงไหนวะคะ ?
สำหรับบางคน กะอีแค่ได้เห็นชีวิตเด็กชายคนหนึ่งที่มองยังไง ไม่อาจโตมาเป็น Superstar ได้ คงเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่ช้าก่อน .... หากคุณจะมองให้ลึกลงไป ณ ชั่วขณะ คุณอาจเห็นตัวคุณอยู่ในเด็กคนนี้ก็เป็นได้ค่ะ
เพราะเมสัน (Ellar Coltrane) ก็เป็นเด็กแสนธรรมดาเหมือนเราๆ ท่านๆ เด็กที่เติบโตมาในสังคมของชนชั้นกลาง ท่ามกลางครอบครัวร้าวฉานของพ่อ (Ethan Hawke) ที่ไม่รู้จักโต และแม่จิตแตก (Patricia Arquette) ที่ไม่ใคร่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองสักเท่าไหร่ และยังคงเดินหน้าทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า วัยเด็กของเมสันและพี่สาวจอมแก่แดด ซาแมนธา (Lorelei Linklater) คงไม่ง่ายนักในสายตาของผู้ใหญ่คิดเยอะอย่างเราๆ ที่มองเห็นความบกพร่องของพ่อและแม่ผู้ให้กำเนิด แต่สองพี่น้องกลับอยู่ได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป แม้จะผ่านการมีพ่อเลี้ยงขี้เหล้าและการย้ายบ้าน ย้ายโรงเรียนอีกหลายหน โดยไม่ได้ร่ำลาเพื่อนรักซักครั้ง เพราะแทบทุกครั้งเป็นการย้ายแบบฉุกละหุกตามแต่อารมณ์ของแม่จะปะทุราวระเบิดเวลา แล้วเด็กอย่างเมสันและซาแมนธา จะมีทางเลือกอะไรได้ นอกจากแค่โวยวาย ทำตัวไม่น่ารัก กระแทกประตูรถ.....ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป โดยไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก และหวังว่า ทุกอย่างจะเข้ารูปเข้ารอยของมันไปเอง
และทุกอย่างก็เข้ารูปเข้ารอยของมันเองจนได้ค่ะ ^^ อันที่จริง เราต่างตระหนักอยู่เสมอว่า สภาพแวดล้อมในวัยเด็กส่งผลและมีอิทธิพลกับชีวิต ทัศนคติ และการตัดสินใจในส่วนที่เหลือของชีวิตมากแค่ไหน แต่ก็นั่นแหละ ...... แม้ทั้ง 3 ชีวิตจะเผชิญกับความไม่แน่นอน ลุ่มๆ ดอนๆ อยู่บ้าง แต่จากเกือบ 3 ชม. ในหนัง เราจะไม่เห็นฉากไหนที่ โอลีเวียผู้เป็นแม่ จะทอดภาระหนักอึ้งลง เธอยังรักที่จะอุทิศตัวให้ลูกแม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น การขับรถไปรับไปส่งที่โรงเรียน และเธอถึงกับปรี๊ดแตกเมื่อซาแมนธาไม่ยอมรับไปรับเมสันในวันที่เธอไม่ว่าง (แม้เมสันจะเรียนมัธยมแล้วก็ตามที)
โอลีเวียอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงเก่งกล้า หรือมีพลังใจเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวแบบ super แม่ ในตำนานรักดอกเหมย แต่เธอก็เลือกที่จะทำหน้าที่ “แม่” อย่างสุดจิตสุดใจราวกับเป็นหลักชัยของชีวิต กระทั่งลูกน้อย 2 คน ปีกเริ่มกล้า-ขาเริ่มจะแข็ง และโบยบินไปในเส้นทางที่ตนเลือก ในขณะที่เธอหมดภาระทางกาย แต่ภาระทางใจยังเต็มเปี่ยม เธอกลับสับสน งุนงง และเดียวดายเมื่อเมสันน้อย กำลังจะจากไปตามวิถีที่เขาเลือก โดยแทบไม่มีแม้แต่ซีนร่ำลาอาลัยที่น่าประทับใจ การสวมกอดอบอุ่นแนบแน่น รวมถึง ข้าวของที่ผู้เป็นแม่เก็บไว้ข้างกายเสมือนเป็นความทรงจำอย่าง ภาพถ่ายฝีมือลูกชายภาพแรก มันช่างเป็นของสำคัญสำหรับเธอ แต่ในทางตรงกันข้าม เมสันกลับลืมมันได้ลงคอโดยไม่คิดจะหยิบติดมือไป!
นั่นแปลว่า เมสันรักแม่น้อยเกินไปไม๊? ทำตัวไม่น่ารักหรือไร?
ผู้ใหญ่อย่างเราๆ ดูแล้วคงหมั่นเขี้ยวอยากตบกะโหลกเมสันซัก 2 ที นี่…คลานเข่าไปกราบขอโทษขุ่นแม่เด๋วนี้นะ หนังจะได้มีซีนดราม่ากะเค้ามั่ง!! หากคิดเช่นนั้น - โปรดลดมือของคุณลงก่อนนะคะ......เพราะเราคิดว่าเราเข้าใจเมสันค่ะ^^
ลองย้อนนึกไปถึงตอนที่เราอายุเท่าเค้าสิคะ เรากำลังจะพ้นวัยเด็ก ก้าวเข้าสู่มหาวิทยาลัย โลกข้างหน้าแสนกว้างใหญ่ละลานตา แล้วใครจะมีกะใจมาหนีบภาพถ่ายกะโหลกกะลาตอนเด็ก หรืองานฝีมือหัดริมถักผ้าเช็ดหน้าไปด้วยล่ะ โว๊ะ!
เรื่องของเรื่อง ไม่ใช่เรื่องถูกหรือเรื่องผิด แต่เป็นเรื่องของช่วงวัย ประสบการณ์ชีวิต และการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งหากจะสังเกต แต่ละฉากในหนังบอกเราถึงความเปลี่ยนแปลงไปตามวัยที่ก่อตัวขึ้นทีละน้อย จากเด็กน้อย 2 คนที่ช่างจ้อ แข่งกันพูดเรื่องตัวสนใจให้พ่อที่นานๆ จะได้เจอกันทีฟังจนหูชา กลับเป็นเด็กวัยรุ่นที่หุบปากเงียบ เสียบหูฟังและเข้าสู่ภวังค์ของตัวเองตลอดเส้นทาง กว่าจะพูดออกมาแต่ละคำ ก็ช่างเป็นคำพูดที่เรียกได้ว่า พูดตามมารยาท ด้วยสุ้มเสียงแสนกระด้างและแห้งแล้ง
นั่นแหละค่ะ สิ่งที่ Boyhood อาจอยากให้เราได้เห็น และทำความเข้าใจ
ทำความเข้าใจว่า เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เราก็มองเด็กว่า ช่างโง่เขลา ดื้อรั้น และไม่เอาไหน
ในขณะที่เมสันและซาแมนธา คงมองผู้ใหญ่อย่างเราๆ ว่า พวกเรามันบ้า สับสน งงงวย โตป่านนี้ยังไม่รู้จักหาทางลงให้กับชีวิต ยึดติดอยู่กับอะไรไม่เข้าท่า
ดังนั้น .. ถ้าคุณเป็นผู้ใหญ่ ก็ขอจงสละเวลาทำความเข้าใจกับเด็ก ด้วยการเปิดหัวใจให้กว้างและลองพิจารณาไตร่ตรอง
และถ้าคุณยังเด็ก ได้โปรดอย่าก่นด่า ลงโทษผู้ใหญ่รอบตัวคุณ และโยนความผิดทั้งหลายทั้งปวงไปที่พวกเค้าเพียงถ่ายเดียว
เพราะต่างวัย ต่างใจ และต่างความคิด ถูก/ผิด ยากเหลือเกินที่จะตัดสิน หากว่าคุณอยู่อีกฟาก ^^
...
- - Boyhood (2014) : เมื่อ The moment seizes us ^^
* ตื่นตะลึงไปกับ 3D เพริดแพร้วพิลาศพิไล งดงามจับใจเหนือจินตนาการของมนุษยชาติทั้งโลกนี้และโลกหน้า
* เจ้มจ้น ฝาเดียวน้ำเดียวใน ซีนดราม่ากระชากอารมณ์ ทำเอาน้ำตาไหลหลั่งราวกับแยงซีเกียง กับแม่น้ำเทมส์ไหลมาบรรจบกันก็มิปาน
* มาเค้นสมองกับการตัดต่อ flashback – flash forward ระดับเมพที่หากกระพริบตาซักครั้ง ท่านจิดูไม่รู้เรื่องเลยให้ตายพร่อง
* และ.......งวยงง พิศวงกับบทสรุปสุดท้ายระดับตำนานที่หักมุม เลี้ยวโค้งหักศอก หน้ายางหายไป 2 ซม.โดยไม่รู้ตัว
ทั้งหมดที่ว่ามาข้างบนนี้
ท่านจะไม่ได้เจอเลย....หากท่านเผลอซื้อตั๋วเข้าไปดู Boyhood ค่ะ !!
Boyhood (2014) : เมื่อ The moment seizes us !
เกี่ยวกับ Boyhood : หาอ่านเอาเองเนาะ มีเยอะแยะ ^^
ฉากประทับใจ : ประทับใจทุกฉาก
อื่นๆ ที่อยากพล่ามถึง :
When I was young I listened to the radio waiting for my favorite songs.
When they played I sing along, it made me smile
เสียงเพลง Yesterday Once More ลอยแผ่วมาจากที่แสนไกล ทำให้เราอดรำลึกไปถึงครั้งยังเยาว์วัยไม่ได้ อ๊ะ! นี่มันหนังของเด็กเจน Z นิหว่า งั้นเปลี่ยนใหม่นะคะ จาก Yesterday Once More มาเป็น Yellow ของ Cold Play น่าจะสะเทือนต่อมกว่าหนิ ^^
Boyhood หนังน่ารักที่มีต้นทุนทางเวลาสูงมาก มาก มาก เนื่องจากใช้ระยะเวลาการถ่ายทำร่วม 12 ปี ราวกับเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางรูปสังขารและความคิดของตัวละครในเรื่องมามากกว่าทศวรรษทีเดียว โอ้ว…แม่จ้า! เพราะหนังจะพาเราไปสัมผัสตั้งแต่เมสันน้อย ขี่จักรยานสไลด์ลงเนินเดิน ไปยันนางโตเป็นหนุ่มเสียงแตกแหบพร่าริจะซั่มหญิงกันเลยทีเดียวค่ะ
แล้วนั่น มันสนุกตรงไหนวะคะ ?
สำหรับบางคน กะอีแค่ได้เห็นชีวิตเด็กชายคนหนึ่งที่มองยังไง ไม่อาจโตมาเป็น Superstar ได้ คงเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่ช้าก่อน .... หากคุณจะมองให้ลึกลงไป ณ ชั่วขณะ คุณอาจเห็นตัวคุณอยู่ในเด็กคนนี้ก็เป็นได้ค่ะ
เพราะเมสัน (Ellar Coltrane) ก็เป็นเด็กแสนธรรมดาเหมือนเราๆ ท่านๆ เด็กที่เติบโตมาในสังคมของชนชั้นกลาง ท่ามกลางครอบครัวร้าวฉานของพ่อ (Ethan Hawke) ที่ไม่รู้จักโต และแม่จิตแตก (Patricia Arquette) ที่ไม่ใคร่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองสักเท่าไหร่ และยังคงเดินหน้าทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า วัยเด็กของเมสันและพี่สาวจอมแก่แดด ซาแมนธา (Lorelei Linklater) คงไม่ง่ายนักในสายตาของผู้ใหญ่คิดเยอะอย่างเราๆ ที่มองเห็นความบกพร่องของพ่อและแม่ผู้ให้กำเนิด แต่สองพี่น้องกลับอยู่ได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป แม้จะผ่านการมีพ่อเลี้ยงขี้เหล้าและการย้ายบ้าน ย้ายโรงเรียนอีกหลายหน โดยไม่ได้ร่ำลาเพื่อนรักซักครั้ง เพราะแทบทุกครั้งเป็นการย้ายแบบฉุกละหุกตามแต่อารมณ์ของแม่จะปะทุราวระเบิดเวลา แล้วเด็กอย่างเมสันและซาแมนธา จะมีทางเลือกอะไรได้ นอกจากแค่โวยวาย ทำตัวไม่น่ารัก กระแทกประตูรถ.....ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป โดยไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก และหวังว่า ทุกอย่างจะเข้ารูปเข้ารอยของมันไปเอง
และทุกอย่างก็เข้ารูปเข้ารอยของมันเองจนได้ค่ะ ^^ อันที่จริง เราต่างตระหนักอยู่เสมอว่า สภาพแวดล้อมในวัยเด็กส่งผลและมีอิทธิพลกับชีวิต ทัศนคติ และการตัดสินใจในส่วนที่เหลือของชีวิตมากแค่ไหน แต่ก็นั่นแหละ ...... แม้ทั้ง 3 ชีวิตจะเผชิญกับความไม่แน่นอน ลุ่มๆ ดอนๆ อยู่บ้าง แต่จากเกือบ 3 ชม. ในหนัง เราจะไม่เห็นฉากไหนที่ โอลีเวียผู้เป็นแม่ จะทอดภาระหนักอึ้งลง เธอยังรักที่จะอุทิศตัวให้ลูกแม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น การขับรถไปรับไปส่งที่โรงเรียน และเธอถึงกับปรี๊ดแตกเมื่อซาแมนธาไม่ยอมรับไปรับเมสันในวันที่เธอไม่ว่าง (แม้เมสันจะเรียนมัธยมแล้วก็ตามที)
โอลีเวียอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงเก่งกล้า หรือมีพลังใจเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวแบบ super แม่ ในตำนานรักดอกเหมย แต่เธอก็เลือกที่จะทำหน้าที่ “แม่” อย่างสุดจิตสุดใจราวกับเป็นหลักชัยของชีวิต กระทั่งลูกน้อย 2 คน ปีกเริ่มกล้า-ขาเริ่มจะแข็ง และโบยบินไปในเส้นทางที่ตนเลือก ในขณะที่เธอหมดภาระทางกาย แต่ภาระทางใจยังเต็มเปี่ยม เธอกลับสับสน งุนงง และเดียวดายเมื่อเมสันน้อย กำลังจะจากไปตามวิถีที่เขาเลือก โดยแทบไม่มีแม้แต่ซีนร่ำลาอาลัยที่น่าประทับใจ การสวมกอดอบอุ่นแนบแน่น รวมถึง ข้าวของที่ผู้เป็นแม่เก็บไว้ข้างกายเสมือนเป็นความทรงจำอย่าง ภาพถ่ายฝีมือลูกชายภาพแรก มันช่างเป็นของสำคัญสำหรับเธอ แต่ในทางตรงกันข้าม เมสันกลับลืมมันได้ลงคอโดยไม่คิดจะหยิบติดมือไป!
นั่นแปลว่า เมสันรักแม่น้อยเกินไปไม๊? ทำตัวไม่น่ารักหรือไร?
ผู้ใหญ่อย่างเราๆ ดูแล้วคงหมั่นเขี้ยวอยากตบกะโหลกเมสันซัก 2 ที นี่…คลานเข่าไปกราบขอโทษขุ่นแม่เด๋วนี้นะ หนังจะได้มีซีนดราม่ากะเค้ามั่ง!! หากคิดเช่นนั้น - โปรดลดมือของคุณลงก่อนนะคะ......เพราะเราคิดว่าเราเข้าใจเมสันค่ะ^^
ลองย้อนนึกไปถึงตอนที่เราอายุเท่าเค้าสิคะ เรากำลังจะพ้นวัยเด็ก ก้าวเข้าสู่มหาวิทยาลัย โลกข้างหน้าแสนกว้างใหญ่ละลานตา แล้วใครจะมีกะใจมาหนีบภาพถ่ายกะโหลกกะลาตอนเด็ก หรืองานฝีมือหัดริมถักผ้าเช็ดหน้าไปด้วยล่ะ โว๊ะ!
เรื่องของเรื่อง ไม่ใช่เรื่องถูกหรือเรื่องผิด แต่เป็นเรื่องของช่วงวัย ประสบการณ์ชีวิต และการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งหากจะสังเกต แต่ละฉากในหนังบอกเราถึงความเปลี่ยนแปลงไปตามวัยที่ก่อตัวขึ้นทีละน้อย จากเด็กน้อย 2 คนที่ช่างจ้อ แข่งกันพูดเรื่องตัวสนใจให้พ่อที่นานๆ จะได้เจอกันทีฟังจนหูชา กลับเป็นเด็กวัยรุ่นที่หุบปากเงียบ เสียบหูฟังและเข้าสู่ภวังค์ของตัวเองตลอดเส้นทาง กว่าจะพูดออกมาแต่ละคำ ก็ช่างเป็นคำพูดที่เรียกได้ว่า พูดตามมารยาท ด้วยสุ้มเสียงแสนกระด้างและแห้งแล้ง
นั่นแหละค่ะ สิ่งที่ Boyhood อาจอยากให้เราได้เห็น และทำความเข้าใจ
ทำความเข้าใจว่า เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เราก็มองเด็กว่า ช่างโง่เขลา ดื้อรั้น และไม่เอาไหน
ในขณะที่เมสันและซาแมนธา คงมองผู้ใหญ่อย่างเราๆ ว่า พวกเรามันบ้า สับสน งงงวย โตป่านนี้ยังไม่รู้จักหาทางลงให้กับชีวิต ยึดติดอยู่กับอะไรไม่เข้าท่า
ดังนั้น .. ถ้าคุณเป็นผู้ใหญ่ ก็ขอจงสละเวลาทำความเข้าใจกับเด็ก ด้วยการเปิดหัวใจให้กว้างและลองพิจารณาไตร่ตรอง
และถ้าคุณยังเด็ก ได้โปรดอย่าก่นด่า ลงโทษผู้ใหญ่รอบตัวคุณ และโยนความผิดทั้งหลายทั้งปวงไปที่พวกเค้าเพียงถ่ายเดียว
เพราะต่างวัย ต่างใจ และต่างความคิด ถูก/ผิด ยากเหลือเกินที่จะตัดสิน หากว่าคุณอยู่อีกฟาก ^^
...