กรณีช่อง 3 งัดข้อ กสทช. สรุปย่อและแนะนำว่าแต่ละฝ่ายควรทำอะไรต่อ?

เป็นบทความสรุป เกี่ยวกับ วงการโทรทัศน์ ไทย และประเด็นร้อนๆ ในตอนนี้ ระหว่าง ช่อง 3 และ กสทช
โดย คุณ หนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ แห่ง แบไต๋ ไฮเทค

ถ้าเห็นแล้ว ลายตา แนะนำให้ไปอ่านที่ ต้นทางได้นะครับ ที่ link นี้

ที่มา http://www.beartai.com/article/31660


******************************************************************************************************
******************************************************************************************************

ผู้เขียน : หนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์

(บทความนี้จะถูกตีพิมพ์ในนสพ.คมชัดลึกฉบับอังคารที่ 9 และพุธที่ 10 กันยายนนี้  ต้องตัด 2 ตอนจบเนื่องจากความยาว จึงขออนุญาตนำมาลงในนี้ด้วยเพื่อความต่อเนื่องของผู้อ่านและทันต่อเหตุการณ์)

จะเล่าแบบไม่ Take Side ไม่ Bias ใคร
เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้มาถามไถ่ให้ผมเล่าให้ฟังตลอดทั้งสัปดาห์ ทั้งเพื่อน ญาติ ลูกค้าและผู้หลักผู้ใหญ่ ต่อไปใครถามอีกผมจะยื่นบทความนี้ให้อ่านแทนการเล่าเพื่อประหยัดเสียงซึ่งได้เรียบเรียงให้เข้าใจง่ายที่สุดแล้ว ยิ้ม


1. กสทช. เปิดประมูลคลื่นเพื่อทีวีดิจิทัลนำสู่การเปลี่ยนผ่านยุคสมัยโทรทัศน์ไทยไปสู่สัญญาณที่คมชัดขึ้น (โดยการออกอากาศแบบภาคพื้น ชักเสาแล้วดูได้เลย ไม่ใช่ยิงมาจากฟ้าด้วยดาวเทียมที่ต้องติดจานรับชม) การประมูลนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้เกิด Player รายใหม่ ๆ บ้าง หลังจากที่ผ่านมาประเทศไทยมีสถานีฟรีทีวีเพียง 6 ช่องมายาวนานกว่า 4 ทศวรรษและดูเหมือนผูกขาด ตลอดมามีเสียงบ่นจากคนดูเป็นระยะๆถึงความน้ำเน่าและไม่มีตัวเลือกมากนัก (อึดอัดกันแค่ไหนก็ให้ไปดูจำนวนช่องดาวเทียมและเคเบิ้ลที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด) ข่าวการประมูลนี้พูดถึงในวงการอย่างกว้างขวางนานกว่า 5 ปีที่รอคอยมา กสทช.มีการทำประชาพิจารณ์หลายครั้งทั้งกับกลุ่มผู้ประกอบการเองและประชาชนที่สนใจ ใบอนุญาตที่ประมูลกันได้ในครั้งนี้จะมีระยะเวลาประกอบการได้ถึง 15 ปี (เริ่มนับจากมิถุนายน 2557) และจะไม่มีจำนวนช่องมากกว่านี้อีกแล้วในกลุ่มเพื่อการพาณิชย์


2. กสทช. กำหนด 4 ประเภทช่อง (รวมทั้งสิ้น 24 ช่อง) ให้ประมูลกันตามกรอบกติกา ราคาตั้งต้นและการเคาะผ่านระบบ คอมพิวเตอร์ที่รัดกุม มีกติกาหนึ่งที่กำหนดให้ 1 องค์กรประมูลได้สูงสุด 3 ช่อง ห้ามคนประมูลช่อง HD มาประมูลช่องข่าวคู่กันเพื่อป้องกันการทุ่มตลาดที่อาจครอบงำความคิด ในระหว่างที่มีการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆนี้ ช่อง 3 ส่งบุคลากรระดับ‘ลูกเจ้าของมาเอง’ สู่ที่ประชุมแทบทุกครั้ง และคุณประวิทย์ มาลีนนท์เองก็เข้าร่วมเรียนหลักสูตรพิเศษ (เพื่อให้ความรู้และกระชับสัมพันธ์กลุ่มผู้ประกอบการ) ที่ กสทช. จัดขึ้น ผู้ร่วมเรียนด้วยเผยว่าคุณประวิทย์ Discuss ในคลาสเรียนว่า “ไม่น่ามีช่องเยอะขนาดนี้ ฐานคนดูก็กระจายออกหมด ไม่ส่งผลดี” (ไม่ใช่ประโยคเป๊ะ ๆ เพราะฟังมาอีกที)


3. ช่อง3 (ในนามของบริษัทลูก) ให้ความร่วมมืออย่างดี ซื้อซองใบละ 1,070,000.- ร่วมลงแข่งในสนามประมูลด้วยถึง 3 ประเภทช่อง (ช่องเด็ก/ช่องSD/ช่องHD) ถูกต้องตามกติกาและประมูลได้ทั้งหมด คว้าใบอนุญาตมากที่สุดในบรรดา Player ทุกราย โดยทุ่มเงินประมูลสูงสุดทั้งช่องเด็ก/ช่องHD จึงได้สิทธิ์เลือกเลขช่องก่อนใคร นั่นคือเลข “13″ และ “33″ ตามกลุ่มประเภทช่อง จะเซ็งก็ตรงไม่ชนะในประเภทช่อง SD จึงถูก WorkPoint ผู้ชนะในกลุ่มนี้เลือกเลข 23 ตัดหน้าไป (ใจจริง WP คงไม่ได้อยากได้เลขนี้นักหรอก แต่เพื่อสะกัดดาวรุ่งช่อง 3 ไม่ให้สมอารมณ์หมาย เดี๋ยวจะโปรโมตง่ายไป) ช่อง3 จำใจต้องเลือกเลข 28 ในกลุ่มประเภทช่อง SD ออกแบบโลโก้สถานีใหม่เหมือนลูกฟุตบอลตั้งชื่อช่องต่างๆว่า 3Family(13) 3SD (28) และ 3HD(33) โดยแสดงบทบาททางธุรกิจชัดเจนว่าช่อง 3 ในคลื่นสัญญาณ Analog เดิม (ซึ่งได้สิทธิ์แพร่ภาพต่ออีก 5 ปี นับถอยหลังจากมิถุนายน 2557) จะถูกคงไว้ในชื่อ  “3 Original” โดยยังคงผังรายการลักษณะเดิมไว้ เช่นละคร, ข่าว, เกมโชว์ฟอร์มยักษ์ ฯลฯ สรุปช่อง 3 ตอนนี้”มี 4ช่อง”


4. ช่อง 3 เริ่มแพร่ภาพสัญญาณช่องดิจิทัลใหม่ๆทั้ง 3 ช้ากว่าใคร โดยเน้นผลิตรายการใหม่ใน 2 ช่องแรกก่อนนั่นคือ 3Family และ 3SD เน้นรายการข่าวโดยคนข่าวที่คุ้นเคยแต่ผังรายการส่วนมากก็เป็นการนำละครจีน/ฮ่องกง/เกาหลีเก่า ๆ ละครไทยยุค’80 มาฉายตลอดวัน และไม่ได้ออกอากาศ 24 ชม. ช่วงเปิดสถานีตอนเช้าได้ย้ายรายการ “แจ๋ว”​ ที่มีอายุอานามนานแล้ว (ไม่นับอายุพิธีกร) จากช่อง 3Original มาจัดในช่อง 3Family ส่วน 3SD และได้ปั้นรายการใหม่ ๆ โดยใช้ผู้ประกาศดัง ๆ ที่เดิมแทบจะขี่คอกันอ่านข่าวอยู่แล้วบน 3Original ออกมาจัดรายการใหม่ในพื้นที่ตัวเอง เช่น ไก่ ภาษิต, หมวย อริศรา, กรุณา บัวคำศรี, ซี ฉัตรประวีณ์ ฯลฯ ส่วนช่วงค่ำ 1 ทุ่ม ช่อง 3 ปั้นรายการใหญ่ “กาละแม” วาไรตี้ทอล์กโชว์ดูดีมีการลงทุนสูง ในช่อง 3HD เพื่อหยั่งกระแส กาละแมมาจัดสดทุกวัน อดปาร์ตี้บ้างอะไรบ้าง ยิ้ม 4 ทุ่มมีการนำ”กาละแม”ของค่ำนั้นมารีรันทันทีเพื่อช่วงชิงเรตติ้ง (ที่ยังไม่ค่อยจะมี) ณ จุดนี้มีคนดูถามเยอะว่าทำไมไม่เอา ละครมาลงช่อง HD จะได้ดูชัด ๆ แบบช่อง 7HD (ซึ่งเขาทำชีวิตง่ายกว่าเยอะ เพียงทำ Simulcast ออกอากาศคู่ขนาน และออกโฆษณาอั้มฝาแฝดมาอธิบาย ง่ายโพด ๆ )


5. ณ จุดปล่อยตัวดิจิทัลทีวีในเดือนเมษายน กสทช.ได้ออกกฎ Must Carry ที่แปลง่าย ๆ ว่า “ต้องขนขึ้นดาวเทียม” เพื่อให้การรับชม 24ช่องใหม่เป็นไปได้ในทันทีกับบ้านที่ติดจานดาวเทียมแล้วกว่า 70% ในประเทศนี้ (คิดดูแล้วกันว่าในอดีต สัญญาณ Analog มันแย่แค่ไหน? ใครๆเขาเลยต้องติดจานดาวเทียมที่โฆษณาว่า “ชัดล้าน%”) ทั้งนี้กสทช.ตั้งกรอบเวลาไว้นาน 4 ปี กว่าเสาส่งสัญญาณดิจิทัลจะครอบคลุม 90% ของประเทศ เสาต่างๆนี้ลงทุนโดยผู้ให้บริการ MUX ที่กสทช.แต่งตั้งขึ้น อันได้แก่ ททบ.5, อสมท,ไทยพีบีเอส และช่อง11 (ซึ่งไม่มีใครไปเช่าใช้เลย..โถ)  แต่ละสถานีมีอิสระในการไปเช่า MUX ให้ใครยิงแพร่ภาพให้ก็ได้ (ส่วนใหญ่เลือกเช่ากับ อสมท. และททบ.5)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่