ผมขอแบ่งกะทู้ออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ นะครับ
ส่วนแรกคือเก็บตก "ช่วงสมองนางเอกทำงาน 90%-99%" หลังจากการดูรอบแล้ว
ส่วนที่สองคือ comment จากคนรู้จักผมคนนึงที่แสดงความคิดเห็นขัดกับกระแสคนไทยส่วนใหญ่ที่ตีความว่าหนัง "พยายามพุทธ"
ก่อนอื่น... กระทู้นี้ไม่ได้บอกว่าใครถูกใครผิดนะครับ
ผมว่าตัวหนังทำออกมาได้เปิดพอสมควร แล้วแต่ว่าใครจะเอาเรื่องไหนมาโยง
เพราะประเด็นวิทยาศาสตร์/ศาสนานี่มันกว้างพอที่ใครจะหยิบอะไรไปเกี่ยวด้วยก็ได้
ถือซะว่านี่เป็นเพียงอีกหนึ่งการตีความนะครับ
- เก็บตก Lucy ช่วงสมองทำงานได้ 90%-99% -
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หนังแสดงให้เห็นว่านางเอกเอาขนะเวลาด้วยการเคลื่อนตัวจากที่นึงไปอีกที่โดยใช้สถานที่แสดงความสามารถจากน้อยไปมาก
1. จากห้องในมหาวิทยาลัยไปโผล่ที่หอไอเฟล (ระยะน่าจะไม่ไกลมาก ไม่เกิน 50km)
2. จากหอไอเฟลไปริมหน้าผา ที่คาดว่าจะเป็นเกาะอังกฤษ (ระยะมากกว่า 300-400 miles)
3. จากหน้าผาไป time square, New York (ระยะ 3,000-4,000 miles)
พอนางเอกเห็นตัวเองเดินทางข้ามสถานที่ในเวลา "เสี้ยววินาที" นางเอกเลยลองหยุดเวลา
ในช่วงแรกเวลายังเดิน แต่นางสามารถเคลื่อนที่โดนเอาชนะเวลาระดับ "เสี้ยว" ได้
ดังนั้นการสั่งให้ร่างกายหยุดเดินตามเวลาก็คงไม่ใช่เรื่องยาก
พอนางเห็นว่านางหยุดเวลาได้ นางเลยเพิ่มระดับความสามารถด้วยการ "ย้อนเวลา"
ซึ่งนั่นคือการบังคับให้ร่างกายเดินถอยหลัง
4. ย้อนเวลาจากปัจจุบันไปตอน time square เพิ่งสร้าง (ระดับ 100 ปี)
5. ย้อนกลับไปสมัยชนเผ่าอินเดียนแดง (ระดับ 300-400 ปี)
6. ย้อนไปถึงยุคไดโนเสาร์ (ระดับล้านปี)
จนนางกลับไปหยุดตัวเองที่ Lucy สิ่งมีชีวิตที่น่าจะเป็นวิวัฒนาการสู่มนุษย์คนแรก
เพื่อหาคำตอบว่าพวกเราเกิดมาจากไหน พอนางเอานิ้วแตะ Lucy (มนุษย์ลิง) ปั๊บ...
ทุกอย่างก็ย้อนไปจนถึงตั้งแต่กำเนิดโลก บิ๊กแบง ฝนดาวตก
ย้อนไปจนถึงที่สุดแห่งเอกภพการควบแน่นเพียงหนึ่งก่อนเกิดกาแยกตัวสู่วัฒนาการจักรวาล
จุดนั้นเองคือที่สุดขององค์ความรู้แล้ว
- การตีความอีกมุมที่แย้งว่าหนังไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ -
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รู้สึกว่าถ้าคนไทยหรือคนที่มีพื้นฐานความคิดพุธดูก็จะตีความออกมาประมาณนี้กันมาก เพราะมันเทียบได้และตัวหนังก็ค่อนข้างเปิด
ส่วนตัวนี่ไม่ได้ได้คิดตีความเชิงพุทธ แต่กลับนึกถึงคริสต์ ที่บอกว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ออกมาให้มีรูปลักษณ์เหมือนตัวพระบิดาเอง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผู้คิดบทหนังเรื่องนี้จึงใช้สมรรถภาพของสมองเป็นตัวแปรขีดความสามารถ ก็เพราะสุดท้ายนางกลายเป็น God และ God ก็คือมนุษย์พร้อมกับความสามารถอีก 90% ที่ถูกล๊อคไว้นั่นเอง
ทำไมถึงไม่เทียบกับนิพพาน ตอบง่ายๆเลยคือนิพพานคือการไม่มีตัวตนไม่มีกิเลสตัณหาไม่มีอะไรเลย ละทิ้งทุกอย่างจริงๆ ในขณะที่ลูซี่แม้จะหมดความรู้สึกเจ็บปวดรักโลภโกรธหลง แต่กลับมีอำนาจทุกอย่าง สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยพลังที่ได้มาจากการอันล๊อคความสามารถสมอง จะทำลายล้างโลกหรือจักรวาลก็ได้ เปรียบได้กับพระผู้สร้างตามหลักคริสต์ มากกว่าพระพุทธเจ้า
อีกอย่าง เรื่อง "One plus one has never equaled two." คือคำพูดที่ล้มความคิดของมนุษย์ที่อวดฉลาด นั่งเขียนทฤษฎีต่างๆนานาเพื่อจะอธิบายว่า "ฉันเข้าใจสรรพสิ่ง ฉันอธิบายทุกอย่างได้ด้วยทฤษฎีคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ของฉัน" แต่คำถามที่ง่ายที่สุดที่ผุดขึ้นมาในสมองตั้งแต่เด็กๆที่ว่า "เราคือใคร" และ "เราเกิดมาทำไม" ดันตอบไม่ได้
หนังเรื่องนี้ให้คำตอบหมดเลย อยากมีเวลาเขียนอธิบายยาวๆนานๆ
นี่เพิ่งเห็นคำโปรยหนังข้างบน
"Seeking revenge or seeking answers?"
แค่นี้ก็ตอบได้แล้ว ว่าหนังจะสื่ออะไร
ผิดพลาดตรงไหนถกกันได้ครับ ส่วนตัวชอบเรื่องนี้มากในแง่ของการใส่ปรัชญาและทฤษฎีขบคิด
ดูจบแล้วอารณ์ไม่จบ ต้องถก ต้องขุ้ย ต้องหาคำตอบ
[SPOIL ALERT] ขอเก็บตก Lucy ช่วงสมองทำงาน 90%-99% และอีกมุมการตีความว่าหนังอิงไม่ศาสนาพุทธ
ส่วนแรกคือเก็บตก "ช่วงสมองนางเอกทำงาน 90%-99%" หลังจากการดูรอบแล้ว
ส่วนที่สองคือ comment จากคนรู้จักผมคนนึงที่แสดงความคิดเห็นขัดกับกระแสคนไทยส่วนใหญ่ที่ตีความว่าหนัง "พยายามพุทธ"
ก่อนอื่น... กระทู้นี้ไม่ได้บอกว่าใครถูกใครผิดนะครับ
ผมว่าตัวหนังทำออกมาได้เปิดพอสมควร แล้วแต่ว่าใครจะเอาเรื่องไหนมาโยง
เพราะประเด็นวิทยาศาสตร์/ศาสนานี่มันกว้างพอที่ใครจะหยิบอะไรไปเกี่ยวด้วยก็ได้
ถือซะว่านี่เป็นเพียงอีกหนึ่งการตีความนะครับ
- เก็บตก Lucy ช่วงสมองทำงานได้ 90%-99% -
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
- การตีความอีกมุมที่แย้งว่าหนังไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ -
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผิดพลาดตรงไหนถกกันได้ครับ ส่วนตัวชอบเรื่องนี้มากในแง่ของการใส่ปรัชญาและทฤษฎีขบคิด
ดูจบแล้วอารณ์ไม่จบ ต้องถก ต้องขุ้ย ต้องหาคำตอบ