จากกระทู้ Login Ataraxia Sanctuary นับถือศาสนาอิสลาม แต่บอกว่า นั่งสมาธิ กับกสิณ เป็นการเล่นคุณไสยมนต์ดำ ถึงการอธิบาย

จากกระทู้ผมได้อ่านแล้ว ผมมีความคิดว่าเราชาวพุทธคสรตอบในสิ่งที่คุณ Ataraxia Sanctuary เพื่อความกระจ่างชัดในธรรมและการอธิบายให้ต่างศาสนาเข้าใจมากขึ้น เมื่อสมัยพระศาสนา มีคนถามท่านมากมายทั้งที่ต่างศาสนาก็มีแต่พระพุทธเจ้าก็ทรงตอบคำถาม ถ้าคำถามตอบแล้วเป็นไปเพื่อความกระจ่างธรรม คำถามนั้นก็ควรตอบได้ เราชาวพุทธไม่น่าจะต้องไปตั้งแง่ในแบบนั้น อย่างไรก็ตามอันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวผมแต่เพียงผู้เดียว ย่อมมีทัศนะที่ต่างจากท่านอื่นอยู่บ้าง แต่ผมก็อยากให้เราได้อธิบายในสถานะชาวพุทธครับ

สำหรับคุณ Ataraxia Sanctuary

ความเห็นที่ว่า การนั้งกสิณเป็นไสยาศาตร์ ผมมองว่าน่าจะเป็นความเข้าใจในการพิจารณาเช่นนั้น อาจจะเพราะศาสนาของท่านสอนเรื่องการเห็นภาพเป็นเรื่องที่คิดไปเอง แต่อย่างไรก็ตามสมาธิในศาสนาพุทธนั้นมีทั้งส่วนที่เป็น สมถกรรมฐาน คือกรรมฐานเป็นอุบายสงบใจ ได้แก่การปฏิบัติธรรมด้วยการบริกรรม เป็นการบำเพ็ญเพียรทางจิตโดยใช้สมาธิเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับการใช้ปัญญาและ มุ่งให้จิตสงบ ระงับจากนิวรณ์ซึ่งเป็นตัวขัดขวางจิตไม่ให้บรรลุความดีเป็นสำคัญและ วิปัสสนากรรมฐาน ที่มุ่งการอบรมปัญญาเป็นหลัก ทั้งนี้ในส่วนกสิณที่คุณ Ataraxia Sanctuary  มองว่าเป็นไสยศาสตร์ ซึ่ง คำว่า

ไสยศาสตร์ นั้น ถ้าตามวิกิพิเดียจะพบว่าหมายถึง เป็นวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์ คาถา และ เลขยันต์ ประกอบกับการใช้อำนาจสมาธิจิต การสาธยายเวทมนตร์คาถา การภาวนา และการปลุกเสก

ศาสตร์มืด หรือการทำ "คุณไสย" ในพจนานุกรมไทยให้คำจำกัดความ คุณไสย ว่า "เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายอมิตร" เป็นศาสตร์ที่ทางวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ แต่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป และมีคนเชื่อและผู้ปฏิบัติทั่วโลก

ขณะที่คำว่า กสิณ คือวิธีการปฏิบัติสมาธิแบบหนึ่งในพระพุทธศาสนา มีความหมายว่า เพ่งอารมณ์ เป็นสภาพหยาบ สำหรับให้ผู้ฝึกจับให้ติดตาติดใจ ให้จิตใจจับอยู่ในกสิณใดกสิณหนึ่งใน 10 อย่าง ให้มีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว จิตจะได้อยู่นิ่งไม่ฟุ้งซ่าน มีสภาวะให้จิตจับง่ายมีการทรงฌานถึงฌาน 4 ได้ทั้งหมด กสิณทั้ง 10 เป็นพื้นฐานของอภิญญาสมาบัติ

การเพ่งกสิณนับว่าเป็นอุบายกรรมฐานกองต้นๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ ว่าด้วยการปฏิบัติสมาธิภาวนาเพื่ออบรมจิต (อันเป็นแนวทางแห่งการบรรลุสำเร็จมรรคผลนิพพาน หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้ออกไปได้) ซึ่งอุบายกรรมฐานมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสี่สิบกอง ภายใต้กรรมฐานทั้งสี่สิบกองนั้น จะประกอบไปด้วยกรรมฐานที่เกี่ยวเนื่องกับการเพ่งกสิณอยู่ถึงสิบกองด้วยกัน

การเพ่งกสิณ คือ อาการที่เราเพ่ง (อารมณ์) ไม่ได้หมายถึงเพ่งมอง หรือจ้องมอง ไปยังวัตถุหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาทิเช่น พระพุทธรูป เทียน สีต่างๆ หรือแม้กระทั่งอากาศ ฯลฯ แล้วเรียนรู้ รับรู้/บันทึก สภาพหรือคุณสมบัติเฉพาะ ของวัตถุ (ธาตุ) หรือสิ่งๆ นั้นไว้เช่น เนื้อ สี สภาพผิว ความหนาแน่น ความ เย็นในจิตจนกระทั่งเมื่อหลับตาลงจะปรากฏภาพนิมิต (นิมิตกสิณ) ของวัตถุหรือสิ่งๆ นั้นขึ้นมาให้เห็นในจิต หรือแม้กระทั่งยามลืมตาก็ยังสามารถมองเห็นภาพนิมิตกสิณดังกล่าวเป็นภาพติดตา

การเพ่งกสิณจัดเป็นอุบายวิธีในการทำสมาธิที่มีดีอยู่ในตัว กล่าวคือ การเพ่งกสิณเป็นเสมือนทางลัดที่จิตใช้ในการเข้าสู่สมาธิได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายกว่าการเลือกใช้อุบายกรรมฐานกองอื่นๆ มากมายนัก ทั้งนี้เนื่องจากแนวทางในการปฏิบัติสมาธิภาวนาด้วยการใช้อุบายวิธีการเพ่งกสิณนั้น จิตจะยึดเอาภาพนิมิตกสิณที่เกิดขึ้นมาเป็นเครื่องรู้ของจิต แทนอารมณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในจิต และเมื่อภาพนิมิตกสิณเริ่มรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิต จิตก็จะรับเอาภาพนิมิตกสิณนั้นมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิต
ซึ่งจะพบว่ากสิณที่ใช้ในทางการทำสมณกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานนั้น ไม่มีคาถา และอาคมต่างๆ กสิณเป็นสิ่งทีมีได้เพราะการฝึกฝนอบรมจิตดีแล้ว ไม่ใช่มีเทพใดให้ ซึ่งผู้กรรมฐานแม้จะขั้นสมณ ถ้าฝึกแล้วย่อมถึงด้วยฤทธิ์ อันเกิดจากจิตที่ฝึกแล้วของตน
   ในทัศนะของผม กฐิณจึงไม่ใช่ไสยาศาสตร์ เพราะรู้ที่มา ที่ไป ปัญญาที่เกิด จิตใจ และสภาพจิตใจสามารถสังเกตและรับรู้ได้อย่างชัดเจน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่