เมื่อฉันป่วยเป็นไข้เลือดออก

อยากมาเล่าประสบการณ์การเป็นไข้เลือดออกให้หลายๆท่านฟัง เพื่อเป็นการแบ่งปันความรู้ และแนวทางการปฏิบัติตนเมื่อสงสัยไข้เลือดออก


วันแรกที่มีอาการ เราออกไปข้างนอกกับเพื่อนตอนเย็น วันนั้นคือวันที่ 27สิงหาคม 2557 ซึ่งมีฝนตก เราจำได้ว่าเดินลงจากรถ วิ่งไปร้านขนมทั้งๆที่ฝนตก นั่งเล่นกินขนมจนอิ่ม ก็ขับรถกลับโดยมีเพื่อนนั่งไปข้างๆ ฝนตกพรำๆ เราเปิดแอร์แค่ความเย็นต่ำๆ เรารู้สึกค่อนไปทางเย็นมาก แต่เพื่อนบ่นว่าร้อน

เมื่อถึงห้องก็คุยโทรศัพท์ หลังจากคุยเริ่มมีอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะมาก จึงนอนพักก่อนทั้งๆที่ยังไม่อาบน้ำ ตื่นมาอีกทีเที่ยงคืนก็ยังรู้สึกตัวรุมๆ ไม่ค่อยสบายตัว แต่ก็ตัดสินใจไปอาบน้ำสระผม เพราะตากฝนมา คืนนั้นทั้งคืนรู้สึกหนาวมาก ขนาดไม่ได้เปิดแอร์ก็หนาว ห่มผ้าคลุมโปงก็ยังหนาว เวียนศีรษะ ปวดศีรษะตลอด พยายามหลับๆตื่นๆทั้งคืน คิดว่าพรุ่งนี้เช้าก็คงหาย

เช้าวันที่ 28 สิงหาคม 2557 ตื่นมาเวียนศีรษะ รู้สึกว่าตัวร้อนเป็นไข้ หลังกินยาลดไข้ ไข้ลด ไปทำงานต่อ ทั้งๆที่เวียนศีรษะ รู้สึกร่างกายอ่อนเพลียมาก ตกกลางคืนสังเกตเห็นตนเองมีจุดเลือดออกขึ้นที่ข้อพับแขนข้างซ้าย (ในใจเริ่มคิดแล้วว่า นี่ฉันจะเป็นไข้เลือดออกจริงๆหรือเนี่ย)

วันที่ 29 สิงหาคม 2557 ไปทำงานไม่ไหว นอนซม มีอาการปวดศีรษะมาก คลื่นไส้ไม่มีอาเจียน ไข้สูง จึงตัดสินใจไปโรงพยาบาล วัดไข้ได้ 38.3 องศาเซลเซียส จากอาการสงสัยไข้เลือดออกจึงเจาะเลือดพบ เม็ดเลือดขาว 3400 เกล็ดเลือด 113,000 (ปกติเกล็ดเลือด ต้อง140,000-440,000)ในใจก็คิดว่าไหว ขอกลับไปนอนบ้าน กินORS แล้วพรุ่งนี้จะกลับมาเจาะเลือดซ้ำ (ไข้เดงกี่หรือไข้เลือดออกไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลทุกคน  โดยถ้ายังอยู่ในระยะไข้ กินได้ สามารถสังเกตเฝ้าระวังอาการshockได้ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล)

วันที่ 30 ยังมีไข้นอนซม ปวดศีรษะมากปวดที่ข้างขวาข้างเดียวเหมือนมีอะไรมาทิ่มแทงที่ศีรษะ ตอนนั้นเริ่มสังเกตจนรู้ว่าถ้าปวดหัวแสดงว่ามีไข้ วัดไข้ขณะปวดหัวทีไรประมาณ 39-40องศาเซลเซียส วันนี้เจาะเลือดซ้ำเกล็ดเลือดลดลงมาเหลือ 95,000 เอาล่ะ มีโอกาสshock  (ส่วนมากตัวโรคไข้เดงกี่หรือไข้เลือดออกจะเข้าสู่ระยะshockเมื่อเกล็ดเลือดน้อยกว่า 100,000 และไข้ลง) จึงตัดสินใจนอนโรงพยาบาล เนื่องจากเกล็ดเลือดต่ำกว่า 100,000 การรักษาโรคไข้เลือดออกจะรักษาแบบประคับประคองอาการให้กินยา Acetaminophen หรือParacetamol ควรหลีกเลี่ยงยากลุ่ม NSAID จำพวก Ibuprofen เพราะสามารถทำให้มีเลือดออกในทางเดินอาหารได้ ระยะไข้ควรดื่มน้ำมากๆ กินน้ำเกลือแร่เยอะๆ เรากลัว shock จึงกินน้ำเฉลี่ย 8ชั่วโมงกินได้1ลิตร รู้สึกกินอาหารไม่อร่อยเลย

วันที่ 31 ก็ยังคงมีไข้สูงนอนซมเหมือนเมื่อวาน เราเจาะเลือดได้เกล็ดเลือด 60,000 ยังคงไข้ 39-40 ระยะนี้ถ้าหากนอนโรงพยาบาลก็อาจจะถูกเจาะเลือดถี่ทุก6ชั่วโมง และวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง นอกจากนี้อาจต้องเก็บปัสสาวะทุกครั้งเพื่อประเมินน้ำเข้าน้ำออก เฝ้าระวังภาวะshock ช่วงนี้อย่ารำคาญไปนะจ๊ะ

วันที่ 1 ไข้เริ่มลง เจาะเลือดได้เกล็ดเลือด 35,000 แต่วันนี้เรารู้สึกสบายขึ้น เริ่มกินได้มากขึ้น ไม่ค่อยปวดหัวแล้ว

วันที่ 2 ไม่มีไข้เลยทั้งวัน เจาะเลือดเกล็ดเลือด 22,000 ต่ำมาก จนน่าตกใจ แต่เริ่มมีอาการคันตามตัวแขนขา เป็นลักษณะอาการที่ดีของไข้เลือดออก

วันที่ 3 สบายดีเหมือนปกติ มีเวียนศีรษะเล็กน้อย เจาะเลือดเกล็ดเลือดขึ้นมาเป็น 50,000 ได้กลับบ้าน

วันนี้วันที่ 5 กลับมาบ้านกินได้เหมือนปกติ แต่แรงเดินยังไม่เยอะเท่าก่อนป่วย

สรุปอาการ
1.ไข้สูงลอย มากกว่า 3 วัน
2.มีจุดเลือดออกตามตัว หรือเลือดออกผิดปกติ
3.ตับโตกดเจ็บ
4.shock กระสับกระส่าย ความดันโลหิตต่ำ
ผลการเจาะเลือด พบเกล็ดเลือดน้อยกว่า 100,000 และมีความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงเพิ่มมากขึ้นกว่า 20 เปอร์เซ็นต์

การรักษา
1.ไม่มียารักษาเฉพาะ เป็นการรักษาแบบประคับประคองอาการ ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
2.ถ้ามีไข้ให้รับประทานยา Acetaminophen หลีกเลี่ยงยาNSAID,Ibuprofen,diclofenac
3.รับประทานน้ำเกลือแร่ น้ำเปล่า ปริมาณมาก
4.ควรมีญาติเฝ้าระวังอาการshock
5.ไปโรงพยาบาลเจาะเลือดตามนัด

หวังว่าประสบการณ์ของเราน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านบ้างนะคะ Bye Bye
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่