แปดปีที่ผ่านมา เราได้เห็นความพิลึกกึกกือในกระบวนการยุติธรรมมาจนเอียน
2550 ยุบไทยรักไทยด้วยคำสั่ง คปค. ที่ออกมาหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 49
ย้อนกลับไปลงโทษตัดสิทธิ์ทางการเมือง 111 กรรมการบริหารพรรค
ด้วยข้อหาจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งในภาคใต้ เมื่อ 2 เม.ย. 49
สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องจ้างพยานเท็จเพื่อใส่ร้าย มีการออกมาแฉทวงเงินค่าจ้างจากนายสุเทพ
แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้
ต้นปี 51 เราได้เห็นการใช้พจนานุกรมปลดนายกฯสมัครหลุดจากเก้าอี้
ทั้งที่เรามีกฎหมายแพ่ง กฎหมายพาณิชย์ แต่เพราะกฎหมายเอาผิดไม่ได้ เลยหันมาใช้พจนานุกรม
ขณะที่คนตัดสินเป็นอาจารย์สอนรับเงินจากมหาวิทยาลัยเอกชน แต่กลับไม่เป็นลูกจ้าง
เพราะอ้างกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันการศึกษาเอกชน ไม่ใช้พจนานุกรม
กลางปี 51 เราได้เห็นพันธมิตรออกมาป่วนเมือง ยึดทำเนียบ ปิดสนามบิน
แต่รัฐบาลทำอะไรไม่ได้ ตำรวจได้แต่ตาปริบ ๆ ทหารออกมาบอกให้นายกฯลาออก
เกิดฉายา "ม็อบมีเส้น" มีทหารไปเป็นการ์ดเต็มม็อบ
เราได้เห็นคำพิพากษาครอบจักรวาลว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจกำกับดูและกองทุนฟื้นฟูฯ ชนิดเหลือเชื่อ
เพื่อเป็นข้ออ้างว่าได้ทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ผิดกฎหมาย ป.ป.ช. ลงโทษจำคุกสองปี
จนถึงปลายปี ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคร่วมรัฐบาลสามพรรครวด
ชนิดแถลงปิดคดีเช้า ตัดสินบ่าย แบบอ่านคำวินิจฉัยผิด ๆ ถูก ๆ ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 109 กรรมการบริหารพรรค
เพื่อเปิดโอกาสให้พรรค ปชป. ได้จัดตั้งรัฐบาลสมใจอยาก
ปี 52 คนเสื้อแดงออกมาเรียกร้องขอให้ยุบสภาฯ เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่
ผลก็คือโดนล้อมกรอบ โดนสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายซะอ่วม
จะไปยื่นหนังสือที่ประชุมอาเซียนพัทยา ก็โดนชายเสื้อสีน้ำเงินดักทำร้าย
จนนำไปสู่การจลาจล คนเสื้อแดงบุกเข้าไปในสถานที่ประชุม กลายเป็นวาทกรรมบุกล้มประชุมอาเซียนพัทยา
ถึงวันนี้ คำถามว่าชายสวมเสื้อสีน้ำเงินที่ไปดักทำร้ายคนเสื้อแดงคือใคร เนวินไปโผล่ในที่เกิดเหตุทำไม
แต่ไม่มีคำตอบ มีแต่คำพูดที่น่าเชื่อถือซะเหลือเกินของนายสุเทพว่า เป็นประชาชนที่มาช่วยเจ้าหน้าที่
เราได้เห็นรถแก๊ส ที่คนเสื้อแดงโดนยัดเยียดว่าเตรียมไว้ใช้เป็นอาวุธ
แต่ความจริงก็เปิดเผยออกมาว่า แท้จริงแล้วรถแก๊สเป็นของใคร ที่เตรียมมาสร้างสถานการณ์โดยเฉพาะ
เราได้เห็นการปล้นและเผารถเมล์หลายสิบคัน แต่ไม่มีคดีความใด ๆ จาก ขสมก. เงียบหายไปเฉย ๆ
เราได้เห็นการสร้างสถานการณ์ฆ่าคนที่นางเลิ้ง โยนผิดใส่แดง โชคดีที่พี่คนตายยืนยันว่าไม่ใช่คนเสื้อแดงยิงแน่ ๆ
เราได้เห็นการสร้างสถานการณ์ในกระทรวงมหาดไทย ทุบรถที่อ้างว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพนั่งอยู่ในรถ
แต่ดันมีภาพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยโยนสิ่งของเข้าไปในรถทางเบาะหลัง และให้ปากคำว่าได้โยนเข้าไปจริง
น่าสงสัยว่า หากคนระดับนายกฯ รองนายกฯ นั่งอยู่ในรถตรงเบาะหลังนั้น เจ้าหน้าที่จะกล้าโยนสิ่งของเข้าไปแบบนั้นหรือ
ขณะที่นายสุเทพให้ปากคำว่า นั่งอยู่เบาะหลังกับนายอภิสิทธิ์ตลอด และไม่เคยเปิดกระจกหรือประตูรถ
เป็นการให้ปากคำที่ขัดกันเองของผู้อยู่ในเหตุการณ์
ที่สำคัญ มีภาพมีคลิปบุคคลที่ทุบรถชัดเจน แต่กลับมีหมายจับเฉพาะบางคนเท่านั้น
เหตุใด หมายจับจึงเลือกบุคคล ไม่จับหมดทุกคนที่ปรากฎในภาพทุบรถ
ถึงวันนี้ ก็ไม่มีความชัดเจนใด ๆ ว่านายอภิสิทธิ์กับสุเทพนั่งอยู่ในรถจริง นอกจากคำพูด
ปี 53 คนเสื้อแดงออกมาชุมนุมอีกครั้ง
คราวนี้ได้กระสุนหลายแสนนัด สไนเปอร์ส่องหัวแบะอกเป็นรูไปนับสิบ ๆ คน รวมเสียชีวิตร่วมร้อย บาดเจ็บสองพัน
โดนจับกุมคุมขังหลายร้อยคน
โดนวาทกรรมเผาบ้านเผาเมือง กลายเป็นปีศาจซะเอง ทั้งที่เป็นผู้โดนกระทำชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์บ้านเมือง
การเผาศาลากลางในต่างจังหวัด มีบางคนที่เผาจริง แต่ก็ไม่ใช่อาชญากรตามสันดาน
เป็นเรื่องแรงจูงใจทางการเมืองที่เกิดขึ้นและเป็นไปตามสถานการณ์ แต่ก็โดนยัดว่าเป็นอาชญากร โดนลงโทษหนักหนาสาหัส
บางคนแค่ปรากฎตัวในพื้นที่เกิดเหตุ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็โดนจับกุม โดนพิพากษาให้รับเคราะห์รับกรรมอย่างน่าเวทนา
เหมือนเป็นการจัดการเพื่อหวังให้เข็ดหลาบ ให้กลัว ให้เป็นตัวอย่าง ไม่ให้กล้าเข้าร่วมชุมนุมอีก
ไม่ใช่การดำเนินการไปตามเหตุตามควร อันกระบวนการยุติธรรมควรมีให้ประชาชน
เราได้เห็นการผ่านฉลุยของงบไทยเข้มแข็งแปดแสนล้าน ชนิดศาลรัฐธรรมนูญให้ผ่านตลอด
เราได้เห็นศาลรัฐธรรมนูญให้ผ่านงบบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านเหมือนกัน
แต่ศาล รธน.มีข้อแม้มากมายว่าต้องทำนั่นทำนี่ด้วย จนงบประมาณก้อนนี้สะดุดและไม่ได้ใช้สักที
เราได้เห็นรัฐสภาที่ไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้แก้
ขณะที่ก่อนหน้านั้น พรรค ปชป. แก้รัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันนี่แหละได้สบาย ๆ
เราได้เห็นศาลรัฐธรรมนูญไม่วินิจฉัยความผิดถึงขั้นยุบพรรค ปชป. เรื่องเงินที่รับจากทีพีไอ และเรื่องเงินอุดหนุนพรรคการเมือง
ด้วยข้ออ้างว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ส่งฟ้องภายในสิบห้าวัน
ทั้งที่กำหนดเวลา 15 วันในทางกฎหมายนั้น เป็นแค่บทเร่งรัด ไม่ใช่บทบังคับ
แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็อ้างบทเร่งรัดให้กลายเป็นบทบังคับ และไม่วินิจฉัยหน้าตาเฉย
เราได้เห็นศาลรัฐธรรมนูญขยายอำนาจตัวเองแบบเป็นพ่อทุกสถาบัน ตีความกฎหมายแบบบิดเบือนซะเอง
เราได้เห็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบอกรัฐบาลว่าทำถนนลูกรังให้หมดประเทศก่อนเหอะ ค่อยสร้างรถไฟความเร็วสูง
ทั้งที่เป็นเรื่องนโยบาย เป็นเรื่องการบริหารงานของรัฐบาล ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้มีอำนาจหน้าที่เกียวข้องใด ๆ
เราได้เห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญของสมาชิกรัฐสภากลายเป็นการได้มาซึ่งอำนาจการปกครองที่ไม่ชอบ
เราได้เห็นการลงมติผ่านกฎหมายของสมาชิกรัฐสภาเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
เราได้เห็นการโยกย้ายข้าราชการตามอำนาจของนายกรัฐมนตรี กลายเป็นการแทรกแซง
มีผลทำให้โดนปลดออกจากตำแหน่ง พ่วงด้วย รมต.ที่แค่รับทราบเพราะอยู่ในที่ประชุม ครม.ด้วย
เราได้เห็น กกต. ที่มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง แต่ไม่ยอมไม่อยากจัดการเลือกตั้ง
เราได้เห็นคำวินิจฉัยที่พิศดารให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะด้วยเหตุผลประหลาด และไม่พาดพิง กปปส.
ไม่ขอเอ่ยถึง กปปส. เพราะเอือม มันสิฮาก
เราได้เห็นคดีอาญาฆ่าคนตายโดยเจตนาโดนผลักไปเป็นเรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ 157
ฯลฯ
เรื่องโครงการจำนำข้าว มันเหมือน ป.ป.ช. เร่งรัดทำคดีแบบลวก ๆ
มีการตัดพยานของฝ่ายถูกกล่าวหา เหมือนเพื่อป้องกันไม่ให้มีหลักฐานแย้งคำกล่าวหา
มีการสอบปากคำพยานที่เป็นฝ่ายค้านแล้วเอามาเป็นหลักฐาน มีการนำเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเป็นหลักฐานเอาผิด
แม้กระทั่งหลักฐานบัญชีปิดบัญชีโครงการที่ตัวเลขไม่ตรงกัน ป.ป.ช. ยังนำมาเป็นหลักฐาน
นายเรืองไกรทำเรื่องท้วงติงว่าอย่างนี้ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ ป.ป.ช. ก็ไม่นำพา
สรุป ราบรัด ส่งฟ้องให้ได้
เหมือนเป็นการส่งฟ้องตามธง ตามแผนที่สมรู้ร่วมคิดกันไว้
คือขอให้ส่งฟ้องไปเหอะ ไงก็ได้ เด๋วไม้ต่อไปจัดการเอง อย่างที่เคยเห็นในเรื่องที่ดินรัชดา และเรื่องอื่น ๆ ทุกเรื่อง
เมื่ออัยการสูงสุดเห็นว่ายังไม่สั่งฟ้อง เพราะหลักฐานไม่สมบูรณ์
จึงเป็นชัยชนะเล็ก ๆ ของความยุติธรรมที่มีต่อความอยุติธรรมที่กลืนเมืองมาเกือบแปดปี
ก็ขอแค่นี้แหละ ขอแค่ความเป็นธรรม
ถึงที่สุด คดีนี้จะเป็นอย่างไร ใครจะผิด ใครจะไม่ผิด ก็ขอแค่ให้เป็นไปอย่างยุติธรรม
สุดท้าย
วาทกรรมที่อ้างว่า เมื่อเรื่องถึงศาล ก็มีโอกาสได้ต่อสู้คดีเต็มที่ เปิดโอกาสให้สู้เต็มที่
คตส. หรือ ป.ป.ช. ไม่ใช่ผู้ตัดสิน ศาลต่างหากคือผู้ตัดสิน นั้น
เป็นวาทกรรมหลอกคนโง่ให้คล้อยตามเท่านั้น
เพราะตามหลักยุติธรรมแล้ว กระบวนการตั้งแต่ต้นต้องโปร่งใส เป็นธรรม
หากต้นทางไม่โปร่งใส จะเชื่อได้อย่างไรว่าปลายทางจะยุติธรรม
อย่างเรื่องคดีที่ดินรัชดา ที่ทักษิณร้องค้านว่า คตส. เป็นปฏิปักษ์กับตัวเอง ไม่ควรเป็นผู้ทำการสอบสวน
แต่ศาลกลับบอกว่า ไม่เป็นไร ถือเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญของ คตส. ที่จะแสดงตัวเป้นปฏิปักษ์กับทักษิณ
อย่างนี้มันชัวร์ครับ ว่าต่อให้ทักษิณสู้อย่างไรก็ไม่รอด
ฉะนั้น การใช้วาทกรรมว่า ศาลตัดสิน จึงเป็นการอ้างที่ขาดหลักการทางยุติธรรมอย่างสิ้นเชิง
อย่างวิคเตอร์ บู้ท ที่ทางการไทยส่งตัวให้สหรัฐ
อัยการสหรัฐส่งฟ้องต่อศาลข้อหาค้าอาวุธข้ามชาติ
แต่พอผู้พิพากษารู้ว่าวิคเตอร์ บู้ท โดนสอบปากคำ โดนขุ่ในคุกที่เมืองไทย
ก็สั่งให้อัยการหาพยานหลักฐานใหม่หมด เพราะถือว่าหลักฐานที่ผ่านมาไม่เป็นธรรม
เมื่อย จบ
หล่อ
อัยการสูงสุดยังไม่สั่งฟ้องคดีจำนำข้าว คือการกระชากพรมให้เห็นซากขยะ คือชัยชนะเล็ก ๆ ของความยุติธรรม
2550 ยุบไทยรักไทยด้วยคำสั่ง คปค. ที่ออกมาหลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 49
ย้อนกลับไปลงโทษตัดสิทธิ์ทางการเมือง 111 กรรมการบริหารพรรค
ด้วยข้อหาจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งในภาคใต้ เมื่อ 2 เม.ย. 49
สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องจ้างพยานเท็จเพื่อใส่ร้าย มีการออกมาแฉทวงเงินค่าจ้างจากนายสุเทพ
แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้
ต้นปี 51 เราได้เห็นการใช้พจนานุกรมปลดนายกฯสมัครหลุดจากเก้าอี้
ทั้งที่เรามีกฎหมายแพ่ง กฎหมายพาณิชย์ แต่เพราะกฎหมายเอาผิดไม่ได้ เลยหันมาใช้พจนานุกรม
ขณะที่คนตัดสินเป็นอาจารย์สอนรับเงินจากมหาวิทยาลัยเอกชน แต่กลับไม่เป็นลูกจ้าง
เพราะอ้างกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันการศึกษาเอกชน ไม่ใช้พจนานุกรม
กลางปี 51 เราได้เห็นพันธมิตรออกมาป่วนเมือง ยึดทำเนียบ ปิดสนามบิน
แต่รัฐบาลทำอะไรไม่ได้ ตำรวจได้แต่ตาปริบ ๆ ทหารออกมาบอกให้นายกฯลาออก
เกิดฉายา "ม็อบมีเส้น" มีทหารไปเป็นการ์ดเต็มม็อบ
เราได้เห็นคำพิพากษาครอบจักรวาลว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจกำกับดูและกองทุนฟื้นฟูฯ ชนิดเหลือเชื่อ
เพื่อเป็นข้ออ้างว่าได้ทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ผิดกฎหมาย ป.ป.ช. ลงโทษจำคุกสองปี
จนถึงปลายปี ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคร่วมรัฐบาลสามพรรครวด
ชนิดแถลงปิดคดีเช้า ตัดสินบ่าย แบบอ่านคำวินิจฉัยผิด ๆ ถูก ๆ ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 109 กรรมการบริหารพรรค
เพื่อเปิดโอกาสให้พรรค ปชป. ได้จัดตั้งรัฐบาลสมใจอยาก
ปี 52 คนเสื้อแดงออกมาเรียกร้องขอให้ยุบสภาฯ เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่
ผลก็คือโดนล้อมกรอบ โดนสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายซะอ่วม
จะไปยื่นหนังสือที่ประชุมอาเซียนพัทยา ก็โดนชายเสื้อสีน้ำเงินดักทำร้าย
จนนำไปสู่การจลาจล คนเสื้อแดงบุกเข้าไปในสถานที่ประชุม กลายเป็นวาทกรรมบุกล้มประชุมอาเซียนพัทยา
ถึงวันนี้ คำถามว่าชายสวมเสื้อสีน้ำเงินที่ไปดักทำร้ายคนเสื้อแดงคือใคร เนวินไปโผล่ในที่เกิดเหตุทำไม
แต่ไม่มีคำตอบ มีแต่คำพูดที่น่าเชื่อถือซะเหลือเกินของนายสุเทพว่า เป็นประชาชนที่มาช่วยเจ้าหน้าที่
เราได้เห็นรถแก๊ส ที่คนเสื้อแดงโดนยัดเยียดว่าเตรียมไว้ใช้เป็นอาวุธ
แต่ความจริงก็เปิดเผยออกมาว่า แท้จริงแล้วรถแก๊สเป็นของใคร ที่เตรียมมาสร้างสถานการณ์โดยเฉพาะ
เราได้เห็นการปล้นและเผารถเมล์หลายสิบคัน แต่ไม่มีคดีความใด ๆ จาก ขสมก. เงียบหายไปเฉย ๆ
เราได้เห็นการสร้างสถานการณ์ฆ่าคนที่นางเลิ้ง โยนผิดใส่แดง โชคดีที่พี่คนตายยืนยันว่าไม่ใช่คนเสื้อแดงยิงแน่ ๆ
เราได้เห็นการสร้างสถานการณ์ในกระทรวงมหาดไทย ทุบรถที่อ้างว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพนั่งอยู่ในรถ
แต่ดันมีภาพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยโยนสิ่งของเข้าไปในรถทางเบาะหลัง และให้ปากคำว่าได้โยนเข้าไปจริง
น่าสงสัยว่า หากคนระดับนายกฯ รองนายกฯ นั่งอยู่ในรถตรงเบาะหลังนั้น เจ้าหน้าที่จะกล้าโยนสิ่งของเข้าไปแบบนั้นหรือ
ขณะที่นายสุเทพให้ปากคำว่า นั่งอยู่เบาะหลังกับนายอภิสิทธิ์ตลอด และไม่เคยเปิดกระจกหรือประตูรถ
เป็นการให้ปากคำที่ขัดกันเองของผู้อยู่ในเหตุการณ์
ที่สำคัญ มีภาพมีคลิปบุคคลที่ทุบรถชัดเจน แต่กลับมีหมายจับเฉพาะบางคนเท่านั้น
เหตุใด หมายจับจึงเลือกบุคคล ไม่จับหมดทุกคนที่ปรากฎในภาพทุบรถ
ถึงวันนี้ ก็ไม่มีความชัดเจนใด ๆ ว่านายอภิสิทธิ์กับสุเทพนั่งอยู่ในรถจริง นอกจากคำพูด
ปี 53 คนเสื้อแดงออกมาชุมนุมอีกครั้ง
คราวนี้ได้กระสุนหลายแสนนัด สไนเปอร์ส่องหัวแบะอกเป็นรูไปนับสิบ ๆ คน รวมเสียชีวิตร่วมร้อย บาดเจ็บสองพัน
โดนจับกุมคุมขังหลายร้อยคน
โดนวาทกรรมเผาบ้านเผาเมือง กลายเป็นปีศาจซะเอง ทั้งที่เป็นผู้โดนกระทำชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์บ้านเมือง
การเผาศาลากลางในต่างจังหวัด มีบางคนที่เผาจริง แต่ก็ไม่ใช่อาชญากรตามสันดาน
เป็นเรื่องแรงจูงใจทางการเมืองที่เกิดขึ้นและเป็นไปตามสถานการณ์ แต่ก็โดนยัดว่าเป็นอาชญากร โดนลงโทษหนักหนาสาหัส
บางคนแค่ปรากฎตัวในพื้นที่เกิดเหตุ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็โดนจับกุม โดนพิพากษาให้รับเคราะห์รับกรรมอย่างน่าเวทนา
เหมือนเป็นการจัดการเพื่อหวังให้เข็ดหลาบ ให้กลัว ให้เป็นตัวอย่าง ไม่ให้กล้าเข้าร่วมชุมนุมอีก
ไม่ใช่การดำเนินการไปตามเหตุตามควร อันกระบวนการยุติธรรมควรมีให้ประชาชน
เราได้เห็นการผ่านฉลุยของงบไทยเข้มแข็งแปดแสนล้าน ชนิดศาลรัฐธรรมนูญให้ผ่านตลอด
เราได้เห็นศาลรัฐธรรมนูญให้ผ่านงบบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านเหมือนกัน
แต่ศาล รธน.มีข้อแม้มากมายว่าต้องทำนั่นทำนี่ด้วย จนงบประมาณก้อนนี้สะดุดและไม่ได้ใช้สักที
เราได้เห็นรัฐสภาที่ไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เพราะศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้แก้
ขณะที่ก่อนหน้านั้น พรรค ปชป. แก้รัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันนี่แหละได้สบาย ๆ
เราได้เห็นศาลรัฐธรรมนูญไม่วินิจฉัยความผิดถึงขั้นยุบพรรค ปชป. เรื่องเงินที่รับจากทีพีไอ และเรื่องเงินอุดหนุนพรรคการเมือง
ด้วยข้ออ้างว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ส่งฟ้องภายในสิบห้าวัน
ทั้งที่กำหนดเวลา 15 วันในทางกฎหมายนั้น เป็นแค่บทเร่งรัด ไม่ใช่บทบังคับ
แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็อ้างบทเร่งรัดให้กลายเป็นบทบังคับ และไม่วินิจฉัยหน้าตาเฉย
เราได้เห็นศาลรัฐธรรมนูญขยายอำนาจตัวเองแบบเป็นพ่อทุกสถาบัน ตีความกฎหมายแบบบิดเบือนซะเอง
เราได้เห็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบอกรัฐบาลว่าทำถนนลูกรังให้หมดประเทศก่อนเหอะ ค่อยสร้างรถไฟความเร็วสูง
ทั้งที่เป็นเรื่องนโยบาย เป็นเรื่องการบริหารงานของรัฐบาล ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้มีอำนาจหน้าที่เกียวข้องใด ๆ
เราได้เห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญของสมาชิกรัฐสภากลายเป็นการได้มาซึ่งอำนาจการปกครองที่ไม่ชอบ
เราได้เห็นการลงมติผ่านกฎหมายของสมาชิกรัฐสภาเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
เราได้เห็นการโยกย้ายข้าราชการตามอำนาจของนายกรัฐมนตรี กลายเป็นการแทรกแซง
มีผลทำให้โดนปลดออกจากตำแหน่ง พ่วงด้วย รมต.ที่แค่รับทราบเพราะอยู่ในที่ประชุม ครม.ด้วย
เราได้เห็น กกต. ที่มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง แต่ไม่ยอมไม่อยากจัดการเลือกตั้ง
เราได้เห็นคำวินิจฉัยที่พิศดารให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะด้วยเหตุผลประหลาด และไม่พาดพิง กปปส.
ไม่ขอเอ่ยถึง กปปส. เพราะเอือม มันสิฮาก
เราได้เห็นคดีอาญาฆ่าคนตายโดยเจตนาโดนผลักไปเป็นเรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ 157
ฯลฯ
เรื่องโครงการจำนำข้าว มันเหมือน ป.ป.ช. เร่งรัดทำคดีแบบลวก ๆ
มีการตัดพยานของฝ่ายถูกกล่าวหา เหมือนเพื่อป้องกันไม่ให้มีหลักฐานแย้งคำกล่าวหา
มีการสอบปากคำพยานที่เป็นฝ่ายค้านแล้วเอามาเป็นหลักฐาน มีการนำเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเป็นหลักฐานเอาผิด
แม้กระทั่งหลักฐานบัญชีปิดบัญชีโครงการที่ตัวเลขไม่ตรงกัน ป.ป.ช. ยังนำมาเป็นหลักฐาน
นายเรืองไกรทำเรื่องท้วงติงว่าอย่างนี้ใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ ป.ป.ช. ก็ไม่นำพา
สรุป ราบรัด ส่งฟ้องให้ได้
เหมือนเป็นการส่งฟ้องตามธง ตามแผนที่สมรู้ร่วมคิดกันไว้
คือขอให้ส่งฟ้องไปเหอะ ไงก็ได้ เด๋วไม้ต่อไปจัดการเอง อย่างที่เคยเห็นในเรื่องที่ดินรัชดา และเรื่องอื่น ๆ ทุกเรื่อง
เมื่ออัยการสูงสุดเห็นว่ายังไม่สั่งฟ้อง เพราะหลักฐานไม่สมบูรณ์
จึงเป็นชัยชนะเล็ก ๆ ของความยุติธรรมที่มีต่อความอยุติธรรมที่กลืนเมืองมาเกือบแปดปี
ก็ขอแค่นี้แหละ ขอแค่ความเป็นธรรม
ถึงที่สุด คดีนี้จะเป็นอย่างไร ใครจะผิด ใครจะไม่ผิด ก็ขอแค่ให้เป็นไปอย่างยุติธรรม
สุดท้าย
วาทกรรมที่อ้างว่า เมื่อเรื่องถึงศาล ก็มีโอกาสได้ต่อสู้คดีเต็มที่ เปิดโอกาสให้สู้เต็มที่
คตส. หรือ ป.ป.ช. ไม่ใช่ผู้ตัดสิน ศาลต่างหากคือผู้ตัดสิน นั้น
เป็นวาทกรรมหลอกคนโง่ให้คล้อยตามเท่านั้น
เพราะตามหลักยุติธรรมแล้ว กระบวนการตั้งแต่ต้นต้องโปร่งใส เป็นธรรม
หากต้นทางไม่โปร่งใส จะเชื่อได้อย่างไรว่าปลายทางจะยุติธรรม
อย่างเรื่องคดีที่ดินรัชดา ที่ทักษิณร้องค้านว่า คตส. เป็นปฏิปักษ์กับตัวเอง ไม่ควรเป็นผู้ทำการสอบสวน
แต่ศาลกลับบอกว่า ไม่เป็นไร ถือเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญของ คตส. ที่จะแสดงตัวเป้นปฏิปักษ์กับทักษิณ
อย่างนี้มันชัวร์ครับ ว่าต่อให้ทักษิณสู้อย่างไรก็ไม่รอด
ฉะนั้น การใช้วาทกรรมว่า ศาลตัดสิน จึงเป็นการอ้างที่ขาดหลักการทางยุติธรรมอย่างสิ้นเชิง
อย่างวิคเตอร์ บู้ท ที่ทางการไทยส่งตัวให้สหรัฐ
อัยการสหรัฐส่งฟ้องต่อศาลข้อหาค้าอาวุธข้ามชาติ
แต่พอผู้พิพากษารู้ว่าวิคเตอร์ บู้ท โดนสอบปากคำ โดนขุ่ในคุกที่เมืองไทย
ก็สั่งให้อัยการหาพยานหลักฐานใหม่หมด เพราะถือว่าหลักฐานที่ผ่านมาไม่เป็นธรรม
เมื่อย จบ
หล่อ