1.

เมื่อวันที่ 3 กันยายน ที่ผ่านมา ถือเป็นวันครบรอบ 75 ปี
ที่อังกฤษ และฝรั่งเศส ประกาศสงครามกับเยอรมัน
ภายหลังจากการรุกรานโปแลนด์
2.สนธิสัญญาแวร์ซาย

นักประวัติศาสตร์บางคนได้มีการโต้เถียง ถึงการลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซาย
ภายหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1
ซึ่งท้ายที่สุดได้กลายเป็นฉนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
โดยสนธิญญาฉบับนี้ทำให้เยอรมันต้องถูกปลดอาวุธ ถูกจำกัดอาณาเขตดินแดน
รวมไปถึงต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม
ให้แก่กลุ่มประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นจำนวนมหาศาล
3.สนธิสัญญาแวร์ซาย

John Maynard Keynes นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ กล่าวว่า
เขาเชื่อว่าการเรียกร้องให้เยอรมันชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามทั้งหมด
นั้นถือเป็นสร้างความตรึงเครียด และเป็นการเดินเกมทางการเมือง
ที่ผิดพลาดของนักการเมืองของเรา ที่ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบ
4.สนธิสัญญาแวร์ซาย

อย่างไรก็ตามมีนักประวัติศาสตร์บางคน อาทิเช่น Correlli Barnett
ได้โต้แย้งในเรื่องนี้โดยบอกว่าสนธิสัญญาแวร์ซายนั้น
มีความผ่อนปรนเป็นอย่างมาก และทำให้เยอรมันกลับมามีอำนาจอีกครั้ง
โดยเขายังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร
น่าจะจัดการทำให้เยอรมันอ่อนแอลง กลายเป็นประเทศเล็กๆ
เพื่อที่จะไม่ต้องมาทำลายสันติภาพในยุโรปได้อีกครั้ง
5.สนธิสัญญาแวร์ซาย

ในการชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม ถูกยกเลิกชั่วคราวในปี 1932
ระหว่างการหารือที่โลซานน์
ภายหลังจากความตกต่ำทางเศรษฐกิจในยุค 1920 และก่อนช่วงยุค 1930
อย่างไรก็ตามในช่วงนั้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ก้าวขึ้นมามีอำนาจ
พร้อมกับการยกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซาย ด้วยการจัดตั้งกองทัพขึ้น
และเข้ายึดครองดินแดนบางแห่ง
6.การเติบโตของลัทธิสุดโต่ง

ในรัสเซีย มีผู้นำคอมมิวนิสต์อย่าง โจเซฟ สตาลิน
ส่วนในอิตาลี มีผู้นำลัทธิฟาสซิสม์อย่าง เบนิโต มุสโสลินี
ซึ่งได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 1992
และฮิตเลอร์ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของเยอรมันในปี 1933
ทั้งนี้มีพรรคการเมืองแบบสุดโต่ง เกิดขึ้นในประเทศสำคัญๆ ของยุโรป
พร้อมกับผู้นำที่มีแนวคิดรุนรานดินแดนอื่นๆ ก้าวขึ้นสู่อำนาจ
7.การเลือกตั้งของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

ใน ปี 1933 ก่อนที่จะมีการฉีกสนธิสัญญาแวร์ซาย
และความหวังที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ
'ฮิตเลอร์' ได้ก้าวสู่อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรี
พร้อมกับจัดการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมือง และเศรษฐกิจ
นอกจากนั้นเขายังมีนโยบายรุกรานประเทศอื่นๆ อีกด้วย
ซึ่งนั่นก็เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
8.การจัดตั้งกองทัพขึ้นใหม่ของเยอรมัน

ในเดือนตุลาคม ปี 1933 ฮิตเลอร์ พาเยอรมันถอนตัวออกจากองค์การสันนิบาตชาติ
และต่อมาในปี 1935 เขาได้มีคำสั่งให้จัดตั้งกองทัพขึ้น
ซึ่งนั่นก็เป็นการฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายทิ้งไป
อีกทั้งในปี 1936 ปฏิบัติการทางทหารครั้งแรกของฮิตเลอร์ ก็เริ่มต้นขึ้น
โดยเขาได้สั่งการให้กองทัพเดินทางเข้าสู่ไรน์แลนด์
9.การรุกรานของอิตาลี

ในปี 1935 เบนิโต มุสโสลินี ผู้นำจอมเผด็จการของอิตาลี
ได้เริ่มการรุกรานประเทศเอธิโปเปีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายขยายดินแดนของเขา
ขณะที่องค์การสันนิบาตชาติ ได้มีมติลงโทษอิตาลีด้วยการแซงซั่น
ซึ่งหวังว่าจะทำให้มุสโสลินี อ่อนแอลง
พร้อมกับจัดการขั้นเด็ดขาดกับ ฮิตเลอร์
10.อิตาลี และเยอรมัน ร่วมเป็นพันธมิตร

การแซงซั่นโดยองค์การสันนิบาตชาติ ที่เกิดขึ้นนั้น
ต้องการที่จะกดดัน มุสโสลินี รวมไปถึง ฮิตเลอร์
โดยเมื่อตุลาคม 1936 อิตาลี และเยอรมัน
ได้ลงนามทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรกัน
ก่อนที่ในปี 1939 ทั้งสองประเทศ
จะร่วมเป็นพันธมิตรทางการทหารอย่างเต็มรูปแบบ
11.การผนวกดินแดนออสเตรีย

ในเดือนมีนาคม ปี 1938 ภายหลังจากที่พรรคนาซีแพร่ขยายเข้ามาในออสเตรีย
และการต่อสู้ทางเกมการเมืองของ ฮิตเลอร์ กับ นายกรัฐมนตรีออสเตรีย
เมื่อกองทัพเยอรมันเดินทัพข้ามชายแดนมายังออสเตรีย
แต่อย่างไรก็ตาม ฮิตเลอร์ ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวออสเตรีย
แม้อังกฤษ และฝรั่งเศส จะเสนอให้ความช่วยเหลือแก่ออสเตรียก็ตามที
12.วิกฤติซูเดต

ภายหลังจากมีปฏิกริยาจากนานาประเทศเพียงเล็กน้อย
จากการที่กองทัพเยอรมันเดินทางเข้าสู่ออสเตรีย
ทำให้ฮิตเลอร์ เริ่มมีความสนใจดินแดนของเชโกสโลวาเกีย
โดย ฮิตเลอร์ ได้เรียกร้องดินแดนของเชค
หรือที่เยอรมันเรียกว่า 'ซูเดต' มาเป็นของตัวเอง
เนื่องจากมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวเยอรมันอาศัยอยู่ จึงทำให้เกิดวิกฤติดังกล่าวขึ้น
ทั้งนี้ในเดือนกันยายน ปี 1938 ได้เกิดการเจรจาสันติภาพระหว่าง
เยอรมัน และอังกฤษ โดยมีรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการยึดครองดินแดนซูเดต ของเยอรมัน
13.การรุกรานเชโกสโลวาเกีย

เมื่อการยึดครองดินแดนซูเดต สำเร็จแล้ว
'ฮิตเลอร์' ได้ตั้งเป้าหมายที่จะยึดครองเชโกสโลวาเกียทั้งหมด
ซึ่งประเทศนี้อ่อนแอ และไร้ความสามารถ
ที่จะป้องกันการรุกรานของกองทัพเยอรมัน
ที่ได้ส่งทหารเข้าบุกยึดในเดือนมีนาคม ปี 1939
14.นโยบายประนีประนอม

จากการยึดครองดินแดนต่างๆ ขอวเยอรมัน
นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เนวิล เชมเบอร์ลิน
ได้ดำเนินนโยบายอย่างประนีประนอมที่สุด
เมื่อครั้งที่เขากลับมาจากเยอรมัน
ภายหลังจากการลงนามสันติภาพในปี 1938
โดยเขาได้กล่าวประโยคที่กลายเป็นวรรคทองอันโด่งดังว่า
'นี่คือสันติภาพ ในยุคสมัยของพวกเรา'
15.นโยบายประนีประนอม

ในช่วงเวลานั้นการดำเนินนโยบายแบบประนีประนอมนั้น จะดูเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แต่อย่างไรก็ตามมีนักประวัติศาสตร์มากมาย
ได้วิจารณ์ว่าเป็นนโยบายที่ผิดพลาด
เพราะทำให้เยอรมันเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น
อีกทั้งยังทำให้ฮิตเลอร์ มีความมั่นใจ
ในการดำเนินนโยบายรุกรานดินแดนอื่นๆ ของเขาเองต่อไป
16.พันธมิตรโปแลนด์

ภายหลังจากเยอรมัน ฝ่าฝืนข้อตกลงสันติภาพมิวนิก
และการรุกรานเชโกสโลวาเกีย ทำให้อังกฤษ และฝรั่งเศส
ตกลงที่จะเสนอความช่วยเหลือทางทหารอย่างเต็มที่
เพื่อเป็นการรับประกันว่าโปแลนด์ จะไม่ถูกเข้ายึดครองเหมือนดินแดนอื่นๆ
โดยทั้งสองประเทศนี้เชื่อว่าโปแลนด์ จะเป็นเป้าหมายต่อไปของฮิตเลอร์
17.ลงนามสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน

นี่คือเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างนาซี และโซเวียต
ในสัญญาที่จะไม่รุกรานกัน
เพราะฮิตเลอร์ รู้อยู่แล้วว่าเยอรมันจะไม่สามารถทำสงครามได้ทั้ง 2 ด้าน
ภายหลังจากการรุกรานโปแลนด์
18.การรุกรานโปแลนด์

สนธิ สัญญาแวร์ซาย นั้นเป็นข้อตกทำให้เมืองดันซิก แยกตัวออกจากเยอรมัน
และนั่นก็ทำให้ฮิตเลอร์ใช้เป็นเหตุผลในการก่อสงคราม
โดยเขายังได้อ้างว่าชาวเยอรมันที่อยู่ในโปแลนด์ จะต้องถูกลงโทษ
ทั้ง นี้เมื่อวันที่ 1 กันยายน ปี 1939
ฮิตเลอร์ ได้โน้มน้าวให้อังกฤษ และฝรั่งเศส
เลือกที่จะไม่ประกาศสงครามกับเยอรมัน จากการที่ได้รุกรานโปแลนด์
19.การประกาศสงคราม

ภายหลังจากการรุกรานของเยอรมัน
ทำให้อังกฤษ และฝรั่งเศส เรียกร้องให้เยอรมันถอนทหารทั้งหมด
ไม่เช่นนั้นแล้วจะต้องมีการประกาศสงคราม
แต่ฮิตเลอร์ ไม่สนใจคำเรียกร้อง
ทำให้นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เนวิล เชมเบอร์ลิน ตัดสินใจประกาศสงครามกับเยอรมัน
20.การประกาศสงคราม

นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้กล่าวผ่านวิทยุว่า
เช้านี้สถานฑูตอังกฤษ ในกรุงเบอร์ลิน
ได้ส่งข้อความครั้งสุดท้ายให้แก่รัฐบาลเยอรมัน
เพื่อให้ถอนทหารออกจากโปแลนด์
แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ จึงทำให้อังกฤษ จำเป็นต้องประกาศสงครามกับเยอรมัน
۩●۩20ภาพขาวดำพลิกหน้าประวัติศาสตร์ จุดเริ่มต้นการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2۩●۩
1.
เมื่อวันที่ 3 กันยายน ที่ผ่านมา ถือเป็นวันครบรอบ 75 ปี
ที่อังกฤษ และฝรั่งเศส ประกาศสงครามกับเยอรมัน
ภายหลังจากการรุกรานโปแลนด์
2.สนธิสัญญาแวร์ซาย
นักประวัติศาสตร์บางคนได้มีการโต้เถียง ถึงการลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซาย
ภายหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1
ซึ่งท้ายที่สุดได้กลายเป็นฉนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
โดยสนธิญญาฉบับนี้ทำให้เยอรมันต้องถูกปลดอาวุธ ถูกจำกัดอาณาเขตดินแดน
รวมไปถึงต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม
ให้แก่กลุ่มประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นจำนวนมหาศาล
3.สนธิสัญญาแวร์ซาย
John Maynard Keynes นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ กล่าวว่า
เขาเชื่อว่าการเรียกร้องให้เยอรมันชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามทั้งหมด
นั้นถือเป็นสร้างความตรึงเครียด และเป็นการเดินเกมทางการเมือง
ที่ผิดพลาดของนักการเมืองของเรา ที่ต้องมีส่วนในการรับผิดชอบ
4.สนธิสัญญาแวร์ซาย
อย่างไรก็ตามมีนักประวัติศาสตร์บางคน อาทิเช่น Correlli Barnett
ได้โต้แย้งในเรื่องนี้โดยบอกว่าสนธิสัญญาแวร์ซายนั้น
มีความผ่อนปรนเป็นอย่างมาก และทำให้เยอรมันกลับมามีอำนาจอีกครั้ง
โดยเขายังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร
น่าจะจัดการทำให้เยอรมันอ่อนแอลง กลายเป็นประเทศเล็กๆ
เพื่อที่จะไม่ต้องมาทำลายสันติภาพในยุโรปได้อีกครั้ง
5.สนธิสัญญาแวร์ซาย
ในการชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม ถูกยกเลิกชั่วคราวในปี 1932
ระหว่างการหารือที่โลซานน์
ภายหลังจากความตกต่ำทางเศรษฐกิจในยุค 1920 และก่อนช่วงยุค 1930
อย่างไรก็ตามในช่วงนั้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ก้าวขึ้นมามีอำนาจ
พร้อมกับการยกเลิกสนธิสัญญาแวร์ซาย ด้วยการจัดตั้งกองทัพขึ้น
และเข้ายึดครองดินแดนบางแห่ง
6.การเติบโตของลัทธิสุดโต่ง
ในรัสเซีย มีผู้นำคอมมิวนิสต์อย่าง โจเซฟ สตาลิน
ส่วนในอิตาลี มีผู้นำลัทธิฟาสซิสม์อย่าง เบนิโต มุสโสลินี
ซึ่งได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 1992
และฮิตเลอร์ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของเยอรมันในปี 1933
ทั้งนี้มีพรรคการเมืองแบบสุดโต่ง เกิดขึ้นในประเทศสำคัญๆ ของยุโรป
พร้อมกับผู้นำที่มีแนวคิดรุนรานดินแดนอื่นๆ ก้าวขึ้นสู่อำนาจ
7.การเลือกตั้งของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
ใน ปี 1933 ก่อนที่จะมีการฉีกสนธิสัญญาแวร์ซาย
และความหวังที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ
'ฮิตเลอร์' ได้ก้าวสู่อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรี
พร้อมกับจัดการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมือง และเศรษฐกิจ
นอกจากนั้นเขายังมีนโยบายรุกรานประเทศอื่นๆ อีกด้วย
ซึ่งนั่นก็เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
8.การจัดตั้งกองทัพขึ้นใหม่ของเยอรมัน
ในเดือนตุลาคม ปี 1933 ฮิตเลอร์ พาเยอรมันถอนตัวออกจากองค์การสันนิบาตชาติ
และต่อมาในปี 1935 เขาได้มีคำสั่งให้จัดตั้งกองทัพขึ้น
ซึ่งนั่นก็เป็นการฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายทิ้งไป
อีกทั้งในปี 1936 ปฏิบัติการทางทหารครั้งแรกของฮิตเลอร์ ก็เริ่มต้นขึ้น
โดยเขาได้สั่งการให้กองทัพเดินทางเข้าสู่ไรน์แลนด์
9.การรุกรานของอิตาลี
ในปี 1935 เบนิโต มุสโสลินี ผู้นำจอมเผด็จการของอิตาลี
ได้เริ่มการรุกรานประเทศเอธิโปเปีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายขยายดินแดนของเขา
ขณะที่องค์การสันนิบาตชาติ ได้มีมติลงโทษอิตาลีด้วยการแซงซั่น
ซึ่งหวังว่าจะทำให้มุสโสลินี อ่อนแอลง
พร้อมกับจัดการขั้นเด็ดขาดกับ ฮิตเลอร์
10.อิตาลี และเยอรมัน ร่วมเป็นพันธมิตร
การแซงซั่นโดยองค์การสันนิบาตชาติ ที่เกิดขึ้นนั้น
ต้องการที่จะกดดัน มุสโสลินี รวมไปถึง ฮิตเลอร์
โดยเมื่อตุลาคม 1936 อิตาลี และเยอรมัน
ได้ลงนามทำข้อตกลงเป็นพันธมิตรกัน
ก่อนที่ในปี 1939 ทั้งสองประเทศ
จะร่วมเป็นพันธมิตรทางการทหารอย่างเต็มรูปแบบ
11.การผนวกดินแดนออสเตรีย
ในเดือนมีนาคม ปี 1938 ภายหลังจากที่พรรคนาซีแพร่ขยายเข้ามาในออสเตรีย
และการต่อสู้ทางเกมการเมืองของ ฮิตเลอร์ กับ นายกรัฐมนตรีออสเตรีย
เมื่อกองทัพเยอรมันเดินทัพข้ามชายแดนมายังออสเตรีย
แต่อย่างไรก็ตาม ฮิตเลอร์ ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวออสเตรีย
แม้อังกฤษ และฝรั่งเศส จะเสนอให้ความช่วยเหลือแก่ออสเตรียก็ตามที
12.วิกฤติซูเดต
ภายหลังจากมีปฏิกริยาจากนานาประเทศเพียงเล็กน้อย
จากการที่กองทัพเยอรมันเดินทางเข้าสู่ออสเตรีย
ทำให้ฮิตเลอร์ เริ่มมีความสนใจดินแดนของเชโกสโลวาเกีย
โดย ฮิตเลอร์ ได้เรียกร้องดินแดนของเชค
หรือที่เยอรมันเรียกว่า 'ซูเดต' มาเป็นของตัวเอง
เนื่องจากมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวเยอรมันอาศัยอยู่ จึงทำให้เกิดวิกฤติดังกล่าวขึ้น
ทั้งนี้ในเดือนกันยายน ปี 1938 ได้เกิดการเจรจาสันติภาพระหว่าง
เยอรมัน และอังกฤษ โดยมีรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการยึดครองดินแดนซูเดต ของเยอรมัน
13.การรุกรานเชโกสโลวาเกีย
เมื่อการยึดครองดินแดนซูเดต สำเร็จแล้ว
'ฮิตเลอร์' ได้ตั้งเป้าหมายที่จะยึดครองเชโกสโลวาเกียทั้งหมด
ซึ่งประเทศนี้อ่อนแอ และไร้ความสามารถ
ที่จะป้องกันการรุกรานของกองทัพเยอรมัน
ที่ได้ส่งทหารเข้าบุกยึดในเดือนมีนาคม ปี 1939
14.นโยบายประนีประนอม
จากการยึดครองดินแดนต่างๆ ขอวเยอรมัน
นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เนวิล เชมเบอร์ลิน
ได้ดำเนินนโยบายอย่างประนีประนอมที่สุด
เมื่อครั้งที่เขากลับมาจากเยอรมัน
ภายหลังจากการลงนามสันติภาพในปี 1938
โดยเขาได้กล่าวประโยคที่กลายเป็นวรรคทองอันโด่งดังว่า
'นี่คือสันติภาพ ในยุคสมัยของพวกเรา'
15.นโยบายประนีประนอม
ในช่วงเวลานั้นการดำเนินนโยบายแบบประนีประนอมนั้น จะดูเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แต่อย่างไรก็ตามมีนักประวัติศาสตร์มากมาย
ได้วิจารณ์ว่าเป็นนโยบายที่ผิดพลาด
เพราะทำให้เยอรมันเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น
อีกทั้งยังทำให้ฮิตเลอร์ มีความมั่นใจ
ในการดำเนินนโยบายรุกรานดินแดนอื่นๆ ของเขาเองต่อไป
16.พันธมิตรโปแลนด์
ภายหลังจากเยอรมัน ฝ่าฝืนข้อตกลงสันติภาพมิวนิก
และการรุกรานเชโกสโลวาเกีย ทำให้อังกฤษ และฝรั่งเศส
ตกลงที่จะเสนอความช่วยเหลือทางทหารอย่างเต็มที่
เพื่อเป็นการรับประกันว่าโปแลนด์ จะไม่ถูกเข้ายึดครองเหมือนดินแดนอื่นๆ
โดยทั้งสองประเทศนี้เชื่อว่าโปแลนด์ จะเป็นเป้าหมายต่อไปของฮิตเลอร์
17.ลงนามสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน
นี่คือเป็นการตกลงร่วมกันระหว่างนาซี และโซเวียต
ในสัญญาที่จะไม่รุกรานกัน
เพราะฮิตเลอร์ รู้อยู่แล้วว่าเยอรมันจะไม่สามารถทำสงครามได้ทั้ง 2 ด้าน
ภายหลังจากการรุกรานโปแลนด์
18.การรุกรานโปแลนด์
สนธิ สัญญาแวร์ซาย นั้นเป็นข้อตกทำให้เมืองดันซิก แยกตัวออกจากเยอรมัน
และนั่นก็ทำให้ฮิตเลอร์ใช้เป็นเหตุผลในการก่อสงคราม
โดยเขายังได้อ้างว่าชาวเยอรมันที่อยู่ในโปแลนด์ จะต้องถูกลงโทษ
ทั้ง นี้เมื่อวันที่ 1 กันยายน ปี 1939
ฮิตเลอร์ ได้โน้มน้าวให้อังกฤษ และฝรั่งเศส
เลือกที่จะไม่ประกาศสงครามกับเยอรมัน จากการที่ได้รุกรานโปแลนด์
19.การประกาศสงคราม
ภายหลังจากการรุกรานของเยอรมัน
ทำให้อังกฤษ และฝรั่งเศส เรียกร้องให้เยอรมันถอนทหารทั้งหมด
ไม่เช่นนั้นแล้วจะต้องมีการประกาศสงคราม
แต่ฮิตเลอร์ ไม่สนใจคำเรียกร้อง
ทำให้นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เนวิล เชมเบอร์ลิน ตัดสินใจประกาศสงครามกับเยอรมัน
20.การประกาศสงคราม
นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้กล่าวผ่านวิทยุว่า
เช้านี้สถานฑูตอังกฤษ ในกรุงเบอร์ลิน
ได้ส่งข้อความครั้งสุดท้ายให้แก่รัฐบาลเยอรมัน
เพื่อให้ถอนทหารออกจากโปแลนด์
แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ จึงทำให้อังกฤษ จำเป็นต้องประกาศสงครามกับเยอรมัน
CREDIT
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้