ช่อง 3 อิทธิพลต่อสังคมไทยและทีวีดิจิตอล
ปัญหาของช่อง 3 อนาล็อก ที่ยังไม่ออกอากาศคู่ขนานในระบบทีวีดิจิตอล และความสนใจของสาธารณชน สะท้อนให้เห็นว่า ช่อง 3 มีบทบาทและอิทธิพลไม่ใช่เฉพาะอุตสาหกรรมโทรทัศน์เท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลทางความคิดและสังคมไทย
ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ หรือ กสท. และสำนักงาน กสทช. ต้องจัดประชุมและแก้ปัญหาสำคัญ นั่นก็คือ การสิ้นสุดการเป็นผู้ประกอบการโทรทัศน์ทั่วไป สำหรับฟรีทีวีเดิมทั้ง 6 ช่อง โดยให้เฉพาะทีวีดิจิตอลเท่านั้น สามารถออกอากาศได้ในทุกระบบ หรือ แพลตฟอร์ม ขณะที่ฟรีทีวีเดิมทั้งหมด นำสัญญาณไปออกอากาศทางทีวีดิจิตอลแล้ว เหลือเพียงไทยทีวีสีช่อง 3 หรือ ช่อง 3 อนาล็อก ที่ยังไม่มีการออกอากาศทางทีวีดิจิตอล
สาเหตุสำคัญที่ช่อง 3 อนาล็อก ยังไม่นำรายการไปออกอากาศทางทีวีดิจิตอล ทั้งที่ประมูลมาถึง 3 สถานีจากทั้งหมด 24 สถานีธุรกิจ เนื่องจากช่อง 3 อนาล็อก ดำเนินการโดย บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ที่มีสัญญาสัมปทานกับ อสมท.จนถึงปี 2563 ขณะที่ทีวีดิจิตอล ดำเนินการโดย บริษัท บีอีซีมัลติมีเดีย ซึ่งถือเป็นคนละนิติบุคคล แม้จะอยู่ในกลุ่มบีอีซีเวิล์ด จำกัด (มหาชน) เหมือนกัน ซึ่ง กสทช.จะเสนอให้ช่อง 3 เข้ามาเจรจา เพื่อให้ออกอากาศในระบบทีวีดิจิตอล แต่ช่อง 3 ยืนยันผ่านเอเจนซี่และสื่อมวลชนเสมอว่า ไม่ได้ประมูลทีวีดิจิตอลเพื่อการออกอากาศคู่ขนาน และช่อง 3 อนาล็อก ยังคงมีสัมปทานอยู่
แต่ไม่มีใครปฏิเสธว่า ช่อง 3 คือสถานีโทรทัศน์ที่ปัจจุบันมีฐานผู้ชมสูงสุดในระบบฟรีทีวีเดิมถึง ร้อยละ 32 และมากกว่าช่อง 7 สีที่เคยเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม
เช่นเดียวกับเม็ดเงินโฆษณาในอุตสาหกรรมสื่อในปี 2556 กว่า 115,029 ล้านบาท เป็นของโทรทัศน์สูงที่สุดเกือบ 7 หมื่นล้านบาท โดยช่อง 3 และช่อง 7 ถือเป็น 2 สถานีโทรทัศน์ที่ได้ส่วนแบ่งจากโฆษณามากกว่าครึ่งหนึ่ง
เห็นได้จากผลประกอบการของกลุ่มบีอีซีเวิล์ด ที่มีรายได้หลัก คือการขายโฆษณาจากช่อง 3 ที่เติบโตต่อเนื่องทั้งรายได้สูงกว่า 16,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น หรือเฉลี่ยแต่ละไตรมาส มากกว่า 1 พันล้านบาท โดยมีอัตราโฆษณาสูงสุดนาทีละ 5 แสนบาท ในช่วงละครหลังข่าว
เมื่อทั้งส่วนแบ่งผู้ชม และผลประกอบการที่มีรายได้และกำไรสูงหลักหมื่นล้านบาทของช่อง 3 จึงถือเป็นผู้นำทางอุตสาหกรรมโทรทัศน์ของประเทศไทย แม้ว่าปัจจุบันผู้ชมจะชมโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและเคเบิลทีวีกว่าร้อยละ 70 ของครัวเรือนทั้งหมด และมีช่องทีวีดาวเทียมเพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นก่อนทีวีดิจิตอลในปีนี้
แต่ช่อง 3 ไม่ได้เป็นเพียงผู้นำในอุตสาหกรรมโทรทัศน์ทางธุรกิจเท่านั้น ในทางสังคม ช่อง 3 อาจเรียกว่าเป็นสื่อมวลชนที่มีอิทธิพลทางสังคมไทยในระดับสูง จนสามารถตั้งเป็นครอบครัวข่าว และครอบครัวละครได้ เช่น รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ที่มีอายุมากกว่า 10 ปี ที่ยังคงเพิ่มเวลาและอัตราโฆษณาต่อเนื่อง กลายเป็นต้นแบบของรายการเล่าข่าวของวงการโทรทัศน์ รวมทั้ง"สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา" ก็คือบุคคลที่มีอิทธิพลทางความคิดผ่านรายการข่าวทางช่อง 3 รวมทั้งบทบาทการช่วยเหลือสังคม ของมูลนิธิครอบครัวข่าว 3 ที่สื่ออื่นหรือบางมูลนิธิไม่สามารถทำได้ และทำให้ช่อง 3 มีภาพลักษณ์ของสถานีข่าวต่อเนื่องจากยุคของไอทีวีเดิม
รวมทั้งรายการละครของช่อง 3 คือละครหลังข่าว ที่เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนสามารถเป็นผู้ชมรายการโทรทัศน์ได้พร้อมกัน ในช่วงเย็นค่ำถึงก่อนนอน และเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของโทรทัศน์ในฐานะสื่อ รวมทั้งคนเราสามารถรับชมได้เพียง 1 รายการในแต่ละช่วงเวลาเท่านั้น เมื่อเลือกจะดูรายการช่องใดแล้ว ช่องอื่นในช่วงเวลาเดียวกันก็จะเสียคนดูส่วนนี้ไป เมื่อคนส่วนใหญ่เลือกดูช่อง 3 ในช่วงละครหลังข่าว ก็ทำให้เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึง เป็น Talk of the Town ในสังคม จึงไม่น่าแปลกใจที่ข่าว ช่อง 3 อนาล็อก จะจอดำ กลายเป็นข่าวใหญ่ที่คนให้ความสนใจ
แม้ทางออกของช่อง 3 อนาล็อก มี 3 แนวทางสำคัญ คือ อนาล็อกทางเดียว คู่ขนานกับทีวีดิจิตอล และขอใบอนุญาตเป็นทีวีดาวเทียมใหม่ แต่ช่อง 3 คือผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมโทรทัศน์ไทย ว่าจะไปในทิศทางไหน ทีวีดิจิตอลของไทยจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้า และทีวีดิจิตอลส่วนใหญ่ ที่อยากประสบความสำเร็จเหมือนช่อง 3 ต้องไม่ลืมว่า กว่าช่อง 3 จะประสบความสำเร็จเช่นนี้ ก็เคยประสบความล้มเหลวทางธุรกิจ และใช้เวลากว่า 44 ปี ดังนั้นทีวีดิจิตอลในวันนี้ จึงอาจเหมือนการเริ่มต้นของทีวีอนาล็อกเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว
ที่มา :
http://shows.voicetv.co.th/voice-news/116453.html
ช่อง 3 มีอิทธิพลทางสังคมไทยและTVดิจิตอลในระดับสูง /จึงกลายเป็นข่าวใหญ่ที่คนให้ความสนใจ
ช่อง 3 อิทธิพลต่อสังคมไทยและทีวีดิจิตอล
ปัญหาของช่อง 3 อนาล็อก ที่ยังไม่ออกอากาศคู่ขนานในระบบทีวีดิจิตอล และความสนใจของสาธารณชน สะท้อนให้เห็นว่า ช่อง 3 มีบทบาทและอิทธิพลไม่ใช่เฉพาะอุตสาหกรรมโทรทัศน์เท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลทางความคิดและสังคมไทย
ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ หรือ กสท. และสำนักงาน กสทช. ต้องจัดประชุมและแก้ปัญหาสำคัญ นั่นก็คือ การสิ้นสุดการเป็นผู้ประกอบการโทรทัศน์ทั่วไป สำหรับฟรีทีวีเดิมทั้ง 6 ช่อง โดยให้เฉพาะทีวีดิจิตอลเท่านั้น สามารถออกอากาศได้ในทุกระบบ หรือ แพลตฟอร์ม ขณะที่ฟรีทีวีเดิมทั้งหมด นำสัญญาณไปออกอากาศทางทีวีดิจิตอลแล้ว เหลือเพียงไทยทีวีสีช่อง 3 หรือ ช่อง 3 อนาล็อก ที่ยังไม่มีการออกอากาศทางทีวีดิจิตอล
สาเหตุสำคัญที่ช่อง 3 อนาล็อก ยังไม่นำรายการไปออกอากาศทางทีวีดิจิตอล ทั้งที่ประมูลมาถึง 3 สถานีจากทั้งหมด 24 สถานีธุรกิจ เนื่องจากช่อง 3 อนาล็อก ดำเนินการโดย บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ที่มีสัญญาสัมปทานกับ อสมท.จนถึงปี 2563 ขณะที่ทีวีดิจิตอล ดำเนินการโดย บริษัท บีอีซีมัลติมีเดีย ซึ่งถือเป็นคนละนิติบุคคล แม้จะอยู่ในกลุ่มบีอีซีเวิล์ด จำกัด (มหาชน) เหมือนกัน ซึ่ง กสทช.จะเสนอให้ช่อง 3 เข้ามาเจรจา เพื่อให้ออกอากาศในระบบทีวีดิจิตอล แต่ช่อง 3 ยืนยันผ่านเอเจนซี่และสื่อมวลชนเสมอว่า ไม่ได้ประมูลทีวีดิจิตอลเพื่อการออกอากาศคู่ขนาน และช่อง 3 อนาล็อก ยังคงมีสัมปทานอยู่
แต่ไม่มีใครปฏิเสธว่า ช่อง 3 คือสถานีโทรทัศน์ที่ปัจจุบันมีฐานผู้ชมสูงสุดในระบบฟรีทีวีเดิมถึง ร้อยละ 32 และมากกว่าช่อง 7 สีที่เคยเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม
เช่นเดียวกับเม็ดเงินโฆษณาในอุตสาหกรรมสื่อในปี 2556 กว่า 115,029 ล้านบาท เป็นของโทรทัศน์สูงที่สุดเกือบ 7 หมื่นล้านบาท โดยช่อง 3 และช่อง 7 ถือเป็น 2 สถานีโทรทัศน์ที่ได้ส่วนแบ่งจากโฆษณามากกว่าครึ่งหนึ่ง
เห็นได้จากผลประกอบการของกลุ่มบีอีซีเวิล์ด ที่มีรายได้หลัก คือการขายโฆษณาจากช่อง 3 ที่เติบโตต่อเนื่องทั้งรายได้สูงกว่า 16,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น หรือเฉลี่ยแต่ละไตรมาส มากกว่า 1 พันล้านบาท โดยมีอัตราโฆษณาสูงสุดนาทีละ 5 แสนบาท ในช่วงละครหลังข่าว
เมื่อทั้งส่วนแบ่งผู้ชม และผลประกอบการที่มีรายได้และกำไรสูงหลักหมื่นล้านบาทของช่อง 3 จึงถือเป็นผู้นำทางอุตสาหกรรมโทรทัศน์ของประเทศไทย แม้ว่าปัจจุบันผู้ชมจะชมโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมและเคเบิลทีวีกว่าร้อยละ 70 ของครัวเรือนทั้งหมด และมีช่องทีวีดาวเทียมเพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นก่อนทีวีดิจิตอลในปีนี้
แต่ช่อง 3 ไม่ได้เป็นเพียงผู้นำในอุตสาหกรรมโทรทัศน์ทางธุรกิจเท่านั้น ในทางสังคม ช่อง 3 อาจเรียกว่าเป็นสื่อมวลชนที่มีอิทธิพลทางสังคมไทยในระดับสูง จนสามารถตั้งเป็นครอบครัวข่าว และครอบครัวละครได้ เช่น รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ที่มีอายุมากกว่า 10 ปี ที่ยังคงเพิ่มเวลาและอัตราโฆษณาต่อเนื่อง กลายเป็นต้นแบบของรายการเล่าข่าวของวงการโทรทัศน์ รวมทั้ง"สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา" ก็คือบุคคลที่มีอิทธิพลทางความคิดผ่านรายการข่าวทางช่อง 3 รวมทั้งบทบาทการช่วยเหลือสังคม ของมูลนิธิครอบครัวข่าว 3 ที่สื่ออื่นหรือบางมูลนิธิไม่สามารถทำได้ และทำให้ช่อง 3 มีภาพลักษณ์ของสถานีข่าวต่อเนื่องจากยุคของไอทีวีเดิม
รวมทั้งรายการละครของช่อง 3 คือละครหลังข่าว ที่เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนสามารถเป็นผู้ชมรายการโทรทัศน์ได้พร้อมกัน ในช่วงเย็นค่ำถึงก่อนนอน และเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของโทรทัศน์ในฐานะสื่อ รวมทั้งคนเราสามารถรับชมได้เพียง 1 รายการในแต่ละช่วงเวลาเท่านั้น เมื่อเลือกจะดูรายการช่องใดแล้ว ช่องอื่นในช่วงเวลาเดียวกันก็จะเสียคนดูส่วนนี้ไป เมื่อคนส่วนใหญ่เลือกดูช่อง 3 ในช่วงละครหลังข่าว ก็ทำให้เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึง เป็น Talk of the Town ในสังคม จึงไม่น่าแปลกใจที่ข่าว ช่อง 3 อนาล็อก จะจอดำ กลายเป็นข่าวใหญ่ที่คนให้ความสนใจ
แม้ทางออกของช่อง 3 อนาล็อก มี 3 แนวทางสำคัญ คือ อนาล็อกทางเดียว คู่ขนานกับทีวีดิจิตอล และขอใบอนุญาตเป็นทีวีดาวเทียมใหม่ แต่ช่อง 3 คือผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมโทรทัศน์ไทย ว่าจะไปในทิศทางไหน ทีวีดิจิตอลของไทยจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้า และทีวีดิจิตอลส่วนใหญ่ ที่อยากประสบความสำเร็จเหมือนช่อง 3 ต้องไม่ลืมว่า กว่าช่อง 3 จะประสบความสำเร็จเช่นนี้ ก็เคยประสบความล้มเหลวทางธุรกิจ และใช้เวลากว่า 44 ปี ดังนั้นทีวีดิจิตอลในวันนี้ จึงอาจเหมือนการเริ่มต้นของทีวีอนาล็อกเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว
ที่มา : http://shows.voicetv.co.th/voice-news/116453.html