เรื่องมีอยู่ว่า .. ครอบครัวผมเป็นนักแสดง"มายากล"อยู่ที่พัทยา ผมเกิดมาก็เลยต้องเป็นนัก"มายากล"ตามพ่อและแม่
ซึ่งจริงๆแล้วผมเองก็มีสิทธ์เลือกที่จะทำอะไรใช่ใหมครับ แต่ตอนนั้นขึ้นเวทีครั้งแรก ตอน2ขวบ เล่นมายากลกับพ่อเลยไม่รู้อะไร
ตอนเด็กๆคิดแค่เพียงว่า ต้องเป็นนักมายากลตามพ่อแม่ ก่อนจะเข้าเรียนอนุบาลผมจำได้ว่าผมกับครอบครัวมีงานเยอะมากๆ
งานเข้ามาทุกวันแทบไม่มีเวลาอยู่บ้าน ตอนนั้นก็คิดตามภาษาเด็กๆว่าพ่อแม่พาไปเที่ยวทุกวันมีความสุขมากๆ แต่พอต้องเข้าเรียน
อนุบาลผมก็ไม่ได้ไปงานกับพ่ออีกเลย....ผ่านไปหลายเดือนผมอยู่แต่บ้านกับโรงเรียน ผมเริ่มอยากไปเที่ยว(ไปงานนั่นหล่ะ)เพราะพ่อ
ก็ยังคงมีงานเข้ามาเรื่อยๆ ผมเลยร้องให้งอแงจะไปงานด้วยแต่ก็ล้มเหลียว เพราะพ่อไปงานและกลับดึก ผมก็ใช้ชีวิตแบบเด็กๆมาตลอด
ตอนนั้นค่อนข้างสบายเพราะพ่อแม่ยังมีตังค์ และพอถึงวันเด็กผมขึ้นอนุบาล2พอดีมั้ง พ่อกับแม่มาหาผมที่โรงเรียนและก็ขออนุญาติครู
เพื่อขอให้ผมกับพ่อขึ้นแสดงโชว์ ครูเองก็ งงๆ ว่าผมจะโชว์อะไร แต่พอผมโชว์เสร็จ ชีวิตผมเปลี่ยนเลย จากเด็กธรรมดาไม่มีเพื่อนๆ
ก็กลายเป็นคนดังของโรงเรียนสะงั้น (ดังเฉพาะในโรงเรียนนะครับ) เพื่อนๆเรียกผมว่า ไอ้ นักมายากล ครูก็เรียก ด.ช. มายากล
ไปใหนมาใหนในโรงเรียน ก็มีแต่คนขอให้แสดงมายากลให้ดู ตลอดจนผมขึ้น ป.1.........................
ตอนนี้แหละที่เปลี่ยน ชีวิตผมเลย ตอนนั้นเศรษกิจ ตกต่ำมาก ครอบครัวผมไม่มีเงินเก็บเลย เพราะไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้
ตอนนั้นรู้สึกลำบากมากๆ เคยไม่มีเงินไปโรงเรียนสักบาทข้าวก็ไม่ได้กินกินได้กินแต่น้ำเพราะได้บัตรฟรีสำหรับคนตัวเล็กตัวเล็ก
เศรษกิจตกต่ำมากจนพ่อแม่ต้องไปกู้เงินนอกระบบและเป็นหนี้ ค่อนข้างเยอะ จนไม่มีเงินส่งผมเรียน ผมจึงต้องออกจากโรงเรียน
ตอน ป.3 อยู่บ้านเฉยๆ พ่อแม่ก็ไม่มีงานเข้า ผมเองไม่ได้ทำอะไรเลย พ่อกับแม่จึง ส่งผมไปอยู่กับตายายที่สมุทรปราการ
ผมจำได้ว่าร้องไม่อยากไป เพราะอยู่กับพ่อแม่มีความสุขมากว่าถึงจะลำบากก็เถอะ แต่สุดท้ายก็โดนส่งไปจนได้..
ผมมาอยู่ได้เดือนนึงป้าผมก็เลยหาโรงเรียนให้ ผมดีใจมากที่จะได้เรียนต่อ ป้ารับปากแม่กับพ่อว่าจะช่วยดูแลผม
จากนั้นวันแรกที่เข้าเรียน ผมก็ดังเลย เพราะ โรงเรียนที่ผมอยู่ นั้นไม่ค่อยมีเด็กใหม่สักเท่าใหร่ มันจึงแปลก ที่กลางเทอม
ก็มีผมเข้าไปอยู่ดื้อๆ ทีนี้เพื่อต่างห้องก็พากันมารุมดู ผม (ผมสงสัยมากว่าตอนนั้น ไม่เคยเห็น คนหรือไงฟะ คือมองแบบ มันแปลกมาก)
เวลาห้องใหนว่างๆก็จะแวะมาแอบดูผมนั่งเรียน ตอนนั้นรู้สึกแปลกมากๆ (ฮ่าๆๆ ยังนึกฮาตัวเองอยู่เลย) แต่ก็พอผ่านไปสักพักทุกอย่างก็ปรกติ
ผมนอนร้องให้ทุกคืนเพราะคิดถึงแม่ มีอยู่ครั้งนึงผมโทรคุยกับแม่ ผมกับแม่ร้องให้ผ่านโทรศัพได้ยินเสียงร้องกันและกัน จนหลับไป...T_T
ชีวิตเป็นยังงี้ ตลอดจน ป.5 ผมไม่รูเลยว่าพ่อกับแม่ทำงานอะไรอยู่กันยังไง แต่ผมในตอนนั้นเรียนค่อนข้างใช้ได้ไม่ลำบากเพราะได้ทุนเด็กดี
ทุกเดือน เงินที่ได้ก็ให้ยายกับตาไว้ใช้ ยายผมแกก็ขายหาอารตามสั่ง ผมจึงสบายไม่อด(กินฟรีตลอด555+) และวันนึงพ่อกับแม่ก็มาหาผม
ผมดีใจมากที่พ่อกับแม่มา พ่อบอกว่าจะพาไปโชว์ ผมยืนสดุ้งเลยเพราะลืมไปหมดแล้ว ความจำมันโดนสนิมกินไปเรียบร้อยลืมทุกอย่าง
แต่พ่อก็บอกว่าจะสอนให้ ผมรู้สึกเหมือนตอนที่ ผมเริ่มเรียนมายากลตอนเด็กๆเลย มีความสุขมากที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ และยิ่งกว่านั้น
พ่อผมติดต่อ ครูไว้ว่าจะขอโชว์ในงานวันเด็ก ครูก็งงเหมือนเดิม (ฮ่าๆได้เวลาโชว์เทพแล้ว) ผมเองก็ได้น้องชายลูกของป้ามาเป็นผู้ช่วย
ลืมบอกไปว่าผมกับน้องซนมากเวลาอยู่บ้าน โดนลุงตีตลอด ป้ากับลุงเปิดบริษัทส่งแก๊สผมกับน้องเวลาเลิกเรียนก็ไปส่งแก๊สบางทีก็รับ
จ๊อบไปส่งน้ำกับลุงได้ค่าแรงครั้งละ30บาท นั่นก็คือเงินไปโรงเรียน ที่ซนน่ะเพราะผมกับน้องชอบเล่นไฟ เวลาโดนจับได้ก็โดนตีหลังแทบหักเหมือน
ลุงโกรธมาก ก็แหง ล่ะ เล่นไฟกันตรงถังแก๊สนิ ......(เข้าเรื่องเหอะ) พอการแสดงครั้งนั้นจบลง ชีวิตก็เป็นไปตามคาด ครูและเพื่อนให้ความสนใจ
เวลาครูมีงานก็จะส่งเสริมให้ผมได้ไปโชว์ความสามารถตลอด แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน ผมก็โดนส่งกลับมาพัทยา ตอนนั้น เสียใจมาก มีเพื่อนสนิทแล้ว
มีความผูกพันธ์กับที่โรงเรียน วัดบางโฉลงใน แห่งนี้ คุณครูคอยดูแลอย่างดีเหมือนแม่คนที่2 (เข้าใจพระคุณครูก็เพราะ ครู ฉวีวรรณ วรรณพาหุล นี่หล่ะ)
แต่ก็เหมือนเดิมผมเลือกไม่ได้ต้องกลับมา พัทยา เอาวะเริ่มใหมอีกทีจะเป็นไรไป ......
ผมได้รู้ ว่าพ่อ ผม หันมาทำอาชีพนักแสดง แต่เป็นนักแสดงตลก ผมไม่เคยคิดว่าจะต้องมาทำตัวตลกให้คนขำเลย กลับมาวันแรกพ่อก็จัดให้เลย
แต่หน้าผมซะตลกเลย ไปงานพ่อก็บอกผมไม่ต้องทำอะไรขึ้นไปยืนอย่างเดียว ผมเองก็ งงๆ พอขึ้นเวที คนก็หัวเราะ เพราะ ผมโดนอำโดนแกล้ง จาก
ตลกคณะนึงที่พ่อผมไปเล่นด้วย ตอนนั้นโกรธมากที่ต้องทำอะไรให้คนมาหัวเราะเยาะแบบบนี้ แต่กลับได้เงินดี ตอนนั้นได้ค่าตัว200บาท
ผมเลยคิดว่า ยอมทนให้พวกนั้นอำเราสัก4-5งานแล้วก็จะบอกให้พ่อออกมาตั้งคณะเอง (คิดแผนการนี้ได้เพราะเงิน200แท้)
เป็นไปตามคาดอีกแล้ว พ่อแยกวงออกมาและเรียกน้องชายพ่อมาตั้งคณะตลกใหม่ ชื่อ ซาไก โชว์ แต่งานก็ไม่ได้เยอะ เพราะพ่อยังคุยงานไม่เป็น
แต่แล้วก็มีคนให้ไปเล่นที่บาร์แห่งนึง ไม่มีค่าตัว แต่โชว์เสร็จให้เดินทริปเอา ตอนนั้นเจอแต่แขกฝรั่งพ่อเลยเอามายากล มาผสมกับตลกเพื่อให้มัน
ดูเข้าใจง่ายและฝรั่งเข้าใจ เดินทริปครั้งนั้นได้ พันกว่าบาท จึงทำให้คณะพ่อผมไม่ได้เล่นตาม งานต่างๆ แต่เล่น ตามบาร์ที่จัดปาร์ตี้กัน
ไม่น่าเชื่อว่า จะมีงานทุกวัน เพราะการแสดงเป็นที่น่าสนใจของลูกค้า พัทยามี บาร์เกือบ5000แห่ง จัดปาร์ตี้กันวันละ3-4บาร์ งานก็มีทุกวัน
ผมได้เรียน ได้มีเงินใช้ ได้มีงานทำ แต่พอผมโตขึ้น ความน่ารักก็ลดน้อยลง ผมเข้าสู่วัยรุ่น จะให้แต่งตัวตลกยืนเฉยๆคงไม่ได้ ตอนนั้นประมาณ ป.6
สิ่งที่ทำให้ชีวิตของผมมีทุกอย่างก็คือ วันนี้แหละ วันที่ ไมเคิล แจ๊กสัน เสีย ชีวิต ผมไม่รู้ว่าเขาคือใคร ผมก็งง ว่าทำไมเขาออกข่าวทุกช่อง
ผมเลยถามพ่อ พ่อก็เลยเล่าประวัติคร่าวๆให้ฟัง ผมทึ่งมากและอยากรู้ต่อแต่ตอนนั้นไม่มีคอม เลยไม่รู้จะหาข้อมูลจากใหน พ่อเลยไปซื้อแผ่นมาให้ดู
คือแบบว่าดูครั้งแรกแล้วทึงมาก คนอะไรเดินถอยหลังได้สวยสุดๆ เริ่มประทับใจไมเคิล แจ๊กสัน จากนั้นผมก็ลองฝึก มูลวอร์ค หรือท่าเดินถอยหลังนั่นหละ
ไม่น่าเชื่อว่า ผมทำได้ใน2วัน ผมทำให้พ่อดูและพ่อก็แนะนำว่าลองแต่งเป็นไมเคิลใหม ผมก็เลยลองแต่งเป็นไมเคิล ตอนนั้น ก็เต้นลูปเป้ากับมูลวอร์คอย่างเดียวเลย แต่ผมก็ยังพยายามฝึก ผมฝึกหนักมากๆ กลับจากงาน เที่ยงคืนกว่าผมฝึกต่อจนถึง ตี5 อาบน้ำไปเรียน คือแทบไม่ได้นอน ตอนนั้นคิดว่า
คืออยากเก่งให้ได้สักเสี้ยวนึงของไมเคิลและไม่ได้คิดถึงเรื่องเงินเรื่องงานเลย แต่กลับมีงานเข้ามาเรื่อยๆ ได้ออกรายการนู้นรายการนี้ คณะพ่อเริ่ม
มีชื่อเสียง ผมเริ่ม ไม่ค่อยได้เรียน เรียนไปหยุดไป ผมได้เจอกับผู้ใหญ่ มากหน้าหลายตาบางคนก็แชร์ประสบการชีวิตให้ฟัง ผมเริ่มโตไปพร้อมกับทัศนคติคน ความคิดคน ประสบการณ์ ต่างของคน ผมเริ่ม ไม่อยากเรียนแล้ว นอนนั้นก็ลังเล ว่าจะเรียนดีใหม ผมค่อนข้างประสบความสำเร็จกับงานตรงนี้
มีรายการต่างๆ มาทาบทามให้เป็น พิธีกร ประจำ เงินเดือนเป็นหมื่นๆ แต่ก็ต้องปัดไป เพราะต้องเรียน
ผมเรียนจบแค่ ม3 และออกมาทำความฝัน (พ่อบอกว่าคนที่ลงมือทำความฝันในตอนที่ยังอายุน้อยมีสิทธฺ์ที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าในตอนที่อายุเยอะ) ผมเองก็ฝึกเต้นมาตลอด จนได้งานประจำ เป็นนักแสดง โชว์ อยู่ที่พัทยา เดือนละ25000บาท ปัจุบันผมออกรายการมากมาย ล่าสุดผมเพิ่ง สร้างสถติมูลวอร์คไกลที่สุดในโลกไป 1.5กิโลเมตร
ที่ผมเล่ามาทั้งหมด อาจจะมี สาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง
แต่ที่ผมต้องการจะนำเสนอ คือ อยากให้พวกคุณมองตัวเองสักที ว่าคุณยังทำในสิ่งที่ชอบทำในสิ่งที่รักอยู่หรือป่าว
คุณยังคิดว่า สิ่งที่คุณชอบนั้นจะนำมาทำเป็นอาชีพได้ใหม เชื่อผมเถอะ ไม่ว่าคุณจะลำบากขนาดใหน สิ่งที่คุณสนใจหรือชอบ มันไม่แพงเกินกว่าที่คุณจะเอื้อมไม่ถึงหรอก หยิบมัน มาใช้ประโยชให้เยอะที่สุด รีบๆ ทำในสิ่งที่ตัวเองรักซะ ก่อนที่คุณ จะแก่ และมานั่ง เสียใจที่หลัง
(ขอโทษบางคนนะครับที่คิดว่าผมมานั่งเพ้อชีวิตไร้สาระให้ฟังแต่ผมคิดว่ามันคงมีประโยชกับคนบางคนที่ท้อแท้)
สำหรับใครที่อยากดูสถิติที่ผมสร้างไว้ นี่เลยครับhttp://www.youtube.com/watch?v=ynvRaHEqi7A&hd=1
ผมมีอะไรจะเล่าให้ฟัง ยาวหน่อย แต่มันคงทำให้คุณมีกำลังใจจะทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ก่อนจะสาย
ซึ่งจริงๆแล้วผมเองก็มีสิทธ์เลือกที่จะทำอะไรใช่ใหมครับ แต่ตอนนั้นขึ้นเวทีครั้งแรก ตอน2ขวบ เล่นมายากลกับพ่อเลยไม่รู้อะไร
ตอนเด็กๆคิดแค่เพียงว่า ต้องเป็นนักมายากลตามพ่อแม่ ก่อนจะเข้าเรียนอนุบาลผมจำได้ว่าผมกับครอบครัวมีงานเยอะมากๆ
งานเข้ามาทุกวันแทบไม่มีเวลาอยู่บ้าน ตอนนั้นก็คิดตามภาษาเด็กๆว่าพ่อแม่พาไปเที่ยวทุกวันมีความสุขมากๆ แต่พอต้องเข้าเรียน
อนุบาลผมก็ไม่ได้ไปงานกับพ่ออีกเลย....ผ่านไปหลายเดือนผมอยู่แต่บ้านกับโรงเรียน ผมเริ่มอยากไปเที่ยว(ไปงานนั่นหล่ะ)เพราะพ่อ
ก็ยังคงมีงานเข้ามาเรื่อยๆ ผมเลยร้องให้งอแงจะไปงานด้วยแต่ก็ล้มเหลียว เพราะพ่อไปงานและกลับดึก ผมก็ใช้ชีวิตแบบเด็กๆมาตลอด
ตอนนั้นค่อนข้างสบายเพราะพ่อแม่ยังมีตังค์ และพอถึงวันเด็กผมขึ้นอนุบาล2พอดีมั้ง พ่อกับแม่มาหาผมที่โรงเรียนและก็ขออนุญาติครู
เพื่อขอให้ผมกับพ่อขึ้นแสดงโชว์ ครูเองก็ งงๆ ว่าผมจะโชว์อะไร แต่พอผมโชว์เสร็จ ชีวิตผมเปลี่ยนเลย จากเด็กธรรมดาไม่มีเพื่อนๆ
ก็กลายเป็นคนดังของโรงเรียนสะงั้น (ดังเฉพาะในโรงเรียนนะครับ) เพื่อนๆเรียกผมว่า ไอ้ นักมายากล ครูก็เรียก ด.ช. มายากล
ไปใหนมาใหนในโรงเรียน ก็มีแต่คนขอให้แสดงมายากลให้ดู ตลอดจนผมขึ้น ป.1.........................
ตอนนี้แหละที่เปลี่ยน ชีวิตผมเลย ตอนนั้นเศรษกิจ ตกต่ำมาก ครอบครัวผมไม่มีเงินเก็บเลย เพราะไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้
ตอนนั้นรู้สึกลำบากมากๆ เคยไม่มีเงินไปโรงเรียนสักบาทข้าวก็ไม่ได้กินกินได้กินแต่น้ำเพราะได้บัตรฟรีสำหรับคนตัวเล็กตัวเล็ก
เศรษกิจตกต่ำมากจนพ่อแม่ต้องไปกู้เงินนอกระบบและเป็นหนี้ ค่อนข้างเยอะ จนไม่มีเงินส่งผมเรียน ผมจึงต้องออกจากโรงเรียน
ตอน ป.3 อยู่บ้านเฉยๆ พ่อแม่ก็ไม่มีงานเข้า ผมเองไม่ได้ทำอะไรเลย พ่อกับแม่จึง ส่งผมไปอยู่กับตายายที่สมุทรปราการ
ผมจำได้ว่าร้องไม่อยากไป เพราะอยู่กับพ่อแม่มีความสุขมากว่าถึงจะลำบากก็เถอะ แต่สุดท้ายก็โดนส่งไปจนได้..
ผมมาอยู่ได้เดือนนึงป้าผมก็เลยหาโรงเรียนให้ ผมดีใจมากที่จะได้เรียนต่อ ป้ารับปากแม่กับพ่อว่าจะช่วยดูแลผม
จากนั้นวันแรกที่เข้าเรียน ผมก็ดังเลย เพราะ โรงเรียนที่ผมอยู่ นั้นไม่ค่อยมีเด็กใหม่สักเท่าใหร่ มันจึงแปลก ที่กลางเทอม
ก็มีผมเข้าไปอยู่ดื้อๆ ทีนี้เพื่อต่างห้องก็พากันมารุมดู ผม (ผมสงสัยมากว่าตอนนั้น ไม่เคยเห็น คนหรือไงฟะ คือมองแบบ มันแปลกมาก)
เวลาห้องใหนว่างๆก็จะแวะมาแอบดูผมนั่งเรียน ตอนนั้นรู้สึกแปลกมากๆ (ฮ่าๆๆ ยังนึกฮาตัวเองอยู่เลย) แต่ก็พอผ่านไปสักพักทุกอย่างก็ปรกติ
ผมนอนร้องให้ทุกคืนเพราะคิดถึงแม่ มีอยู่ครั้งนึงผมโทรคุยกับแม่ ผมกับแม่ร้องให้ผ่านโทรศัพได้ยินเสียงร้องกันและกัน จนหลับไป...T_T
ชีวิตเป็นยังงี้ ตลอดจน ป.5 ผมไม่รูเลยว่าพ่อกับแม่ทำงานอะไรอยู่กันยังไง แต่ผมในตอนนั้นเรียนค่อนข้างใช้ได้ไม่ลำบากเพราะได้ทุนเด็กดี
ทุกเดือน เงินที่ได้ก็ให้ยายกับตาไว้ใช้ ยายผมแกก็ขายหาอารตามสั่ง ผมจึงสบายไม่อด(กินฟรีตลอด555+) และวันนึงพ่อกับแม่ก็มาหาผม
ผมดีใจมากที่พ่อกับแม่มา พ่อบอกว่าจะพาไปโชว์ ผมยืนสดุ้งเลยเพราะลืมไปหมดแล้ว ความจำมันโดนสนิมกินไปเรียบร้อยลืมทุกอย่าง
แต่พ่อก็บอกว่าจะสอนให้ ผมรู้สึกเหมือนตอนที่ ผมเริ่มเรียนมายากลตอนเด็กๆเลย มีความสุขมากที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ และยิ่งกว่านั้น
พ่อผมติดต่อ ครูไว้ว่าจะขอโชว์ในงานวันเด็ก ครูก็งงเหมือนเดิม (ฮ่าๆได้เวลาโชว์เทพแล้ว) ผมเองก็ได้น้องชายลูกของป้ามาเป็นผู้ช่วย
ลืมบอกไปว่าผมกับน้องซนมากเวลาอยู่บ้าน โดนลุงตีตลอด ป้ากับลุงเปิดบริษัทส่งแก๊สผมกับน้องเวลาเลิกเรียนก็ไปส่งแก๊สบางทีก็รับ
จ๊อบไปส่งน้ำกับลุงได้ค่าแรงครั้งละ30บาท นั่นก็คือเงินไปโรงเรียน ที่ซนน่ะเพราะผมกับน้องชอบเล่นไฟ เวลาโดนจับได้ก็โดนตีหลังแทบหักเหมือน
ลุงโกรธมาก ก็แหง ล่ะ เล่นไฟกันตรงถังแก๊สนิ ......(เข้าเรื่องเหอะ) พอการแสดงครั้งนั้นจบลง ชีวิตก็เป็นไปตามคาด ครูและเพื่อนให้ความสนใจ
เวลาครูมีงานก็จะส่งเสริมให้ผมได้ไปโชว์ความสามารถตลอด แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน ผมก็โดนส่งกลับมาพัทยา ตอนนั้น เสียใจมาก มีเพื่อนสนิทแล้ว
มีความผูกพันธ์กับที่โรงเรียน วัดบางโฉลงใน แห่งนี้ คุณครูคอยดูแลอย่างดีเหมือนแม่คนที่2 (เข้าใจพระคุณครูก็เพราะ ครู ฉวีวรรณ วรรณพาหุล นี่หล่ะ)
แต่ก็เหมือนเดิมผมเลือกไม่ได้ต้องกลับมา พัทยา เอาวะเริ่มใหมอีกทีจะเป็นไรไป ......
ผมได้รู้ ว่าพ่อ ผม หันมาทำอาชีพนักแสดง แต่เป็นนักแสดงตลก ผมไม่เคยคิดว่าจะต้องมาทำตัวตลกให้คนขำเลย กลับมาวันแรกพ่อก็จัดให้เลย
แต่หน้าผมซะตลกเลย ไปงานพ่อก็บอกผมไม่ต้องทำอะไรขึ้นไปยืนอย่างเดียว ผมเองก็ งงๆ พอขึ้นเวที คนก็หัวเราะ เพราะ ผมโดนอำโดนแกล้ง จาก
ตลกคณะนึงที่พ่อผมไปเล่นด้วย ตอนนั้นโกรธมากที่ต้องทำอะไรให้คนมาหัวเราะเยาะแบบบนี้ แต่กลับได้เงินดี ตอนนั้นได้ค่าตัว200บาท
ผมเลยคิดว่า ยอมทนให้พวกนั้นอำเราสัก4-5งานแล้วก็จะบอกให้พ่อออกมาตั้งคณะเอง (คิดแผนการนี้ได้เพราะเงิน200แท้)
เป็นไปตามคาดอีกแล้ว พ่อแยกวงออกมาและเรียกน้องชายพ่อมาตั้งคณะตลกใหม่ ชื่อ ซาไก โชว์ แต่งานก็ไม่ได้เยอะ เพราะพ่อยังคุยงานไม่เป็น
แต่แล้วก็มีคนให้ไปเล่นที่บาร์แห่งนึง ไม่มีค่าตัว แต่โชว์เสร็จให้เดินทริปเอา ตอนนั้นเจอแต่แขกฝรั่งพ่อเลยเอามายากล มาผสมกับตลกเพื่อให้มัน
ดูเข้าใจง่ายและฝรั่งเข้าใจ เดินทริปครั้งนั้นได้ พันกว่าบาท จึงทำให้คณะพ่อผมไม่ได้เล่นตาม งานต่างๆ แต่เล่น ตามบาร์ที่จัดปาร์ตี้กัน
ไม่น่าเชื่อว่า จะมีงานทุกวัน เพราะการแสดงเป็นที่น่าสนใจของลูกค้า พัทยามี บาร์เกือบ5000แห่ง จัดปาร์ตี้กันวันละ3-4บาร์ งานก็มีทุกวัน
ผมได้เรียน ได้มีเงินใช้ ได้มีงานทำ แต่พอผมโตขึ้น ความน่ารักก็ลดน้อยลง ผมเข้าสู่วัยรุ่น จะให้แต่งตัวตลกยืนเฉยๆคงไม่ได้ ตอนนั้นประมาณ ป.6
สิ่งที่ทำให้ชีวิตของผมมีทุกอย่างก็คือ วันนี้แหละ วันที่ ไมเคิล แจ๊กสัน เสีย ชีวิต ผมไม่รู้ว่าเขาคือใคร ผมก็งง ว่าทำไมเขาออกข่าวทุกช่อง
ผมเลยถามพ่อ พ่อก็เลยเล่าประวัติคร่าวๆให้ฟัง ผมทึ่งมากและอยากรู้ต่อแต่ตอนนั้นไม่มีคอม เลยไม่รู้จะหาข้อมูลจากใหน พ่อเลยไปซื้อแผ่นมาให้ดู
คือแบบว่าดูครั้งแรกแล้วทึงมาก คนอะไรเดินถอยหลังได้สวยสุดๆ เริ่มประทับใจไมเคิล แจ๊กสัน จากนั้นผมก็ลองฝึก มูลวอร์ค หรือท่าเดินถอยหลังนั่นหละ
ไม่น่าเชื่อว่า ผมทำได้ใน2วัน ผมทำให้พ่อดูและพ่อก็แนะนำว่าลองแต่งเป็นไมเคิลใหม ผมก็เลยลองแต่งเป็นไมเคิล ตอนนั้น ก็เต้นลูปเป้ากับมูลวอร์คอย่างเดียวเลย แต่ผมก็ยังพยายามฝึก ผมฝึกหนักมากๆ กลับจากงาน เที่ยงคืนกว่าผมฝึกต่อจนถึง ตี5 อาบน้ำไปเรียน คือแทบไม่ได้นอน ตอนนั้นคิดว่า
คืออยากเก่งให้ได้สักเสี้ยวนึงของไมเคิลและไม่ได้คิดถึงเรื่องเงินเรื่องงานเลย แต่กลับมีงานเข้ามาเรื่อยๆ ได้ออกรายการนู้นรายการนี้ คณะพ่อเริ่ม
มีชื่อเสียง ผมเริ่ม ไม่ค่อยได้เรียน เรียนไปหยุดไป ผมได้เจอกับผู้ใหญ่ มากหน้าหลายตาบางคนก็แชร์ประสบการชีวิตให้ฟัง ผมเริ่มโตไปพร้อมกับทัศนคติคน ความคิดคน ประสบการณ์ ต่างของคน ผมเริ่ม ไม่อยากเรียนแล้ว นอนนั้นก็ลังเล ว่าจะเรียนดีใหม ผมค่อนข้างประสบความสำเร็จกับงานตรงนี้
มีรายการต่างๆ มาทาบทามให้เป็น พิธีกร ประจำ เงินเดือนเป็นหมื่นๆ แต่ก็ต้องปัดไป เพราะต้องเรียน
ผมเรียนจบแค่ ม3 และออกมาทำความฝัน (พ่อบอกว่าคนที่ลงมือทำความฝันในตอนที่ยังอายุน้อยมีสิทธฺ์ที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าในตอนที่อายุเยอะ) ผมเองก็ฝึกเต้นมาตลอด จนได้งานประจำ เป็นนักแสดง โชว์ อยู่ที่พัทยา เดือนละ25000บาท ปัจุบันผมออกรายการมากมาย ล่าสุดผมเพิ่ง สร้างสถติมูลวอร์คไกลที่สุดในโลกไป 1.5กิโลเมตร
ที่ผมเล่ามาทั้งหมด อาจจะมี สาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง
แต่ที่ผมต้องการจะนำเสนอ คือ อยากให้พวกคุณมองตัวเองสักที ว่าคุณยังทำในสิ่งที่ชอบทำในสิ่งที่รักอยู่หรือป่าว
คุณยังคิดว่า สิ่งที่คุณชอบนั้นจะนำมาทำเป็นอาชีพได้ใหม เชื่อผมเถอะ ไม่ว่าคุณจะลำบากขนาดใหน สิ่งที่คุณสนใจหรือชอบ มันไม่แพงเกินกว่าที่คุณจะเอื้อมไม่ถึงหรอก หยิบมัน มาใช้ประโยชให้เยอะที่สุด รีบๆ ทำในสิ่งที่ตัวเองรักซะ ก่อนที่คุณ จะแก่ และมานั่ง เสียใจที่หลัง
(ขอโทษบางคนนะครับที่คิดว่าผมมานั่งเพ้อชีวิตไร้สาระให้ฟังแต่ผมคิดว่ามันคงมีประโยชกับคนบางคนที่ท้อแท้)
สำหรับใครที่อยากดูสถิติที่ผมสร้างไว้ นี่เลยครับhttp://www.youtube.com/watch?v=ynvRaHEqi7A&hd=1