ถวัลย์ ดัชนี...อัจฉริยะที่หนึ่งร้อยปี (อาจ) มีเพียง "หนึ่งเดียว"
Q : ดูเหมือนพุทธศาสนาจะมีบทบาทในการทำงานของอาจารย์มากทีเดียวนะคะ
อ.ถวัลย์ : ผมไม่คิดว่าพุทธศาสนาเป็นแนวทางของผม แต่พุทธศาสนากับผมเป็นลมหายใจเดียวกัน ถึงแม้ผมจะไม่ไปวัด ไม่เคยไปโบสถ์ แต่ผมไม่เคยทำเดรัจฉานกิจกรรมที่ไม่ใช่กิจของพุทธศาสนา
ผมไม่เคยนั่งคอยโชคชะตาหรือเชื่อนั่นเชื่อนี่ ไม่ห้อยเครื่องรางของขลัง ผมไม่เคยเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ต่างๆนานา ผมเพียงแต่ประพฤติปฏิบัติบูชาในพุทธศาสนาเท่านั้น
นอกนั้น ผมยังเกิดมาท่ามกลางศรัทธาอันแรงกล้าของคนผู้นับถือศาสนา แม่ผมอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ แต่เขาสร้างวัดทั้งวัดให้เชียงราย คือ วัดมุงเมือง ซึ่งเป็นวัดประจำตระกูลของเรา โดยไอ้ต้อย (ลูกชาย อ.ถวัลย์) เป็นคนทำเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์หรือเจดีย์ อีกไม่นานคุณก็จะได้เห็น
Q : งานของศิลปินที่มีชื่อมักตั้งราคาไว้สูงมาก อยากทราบว่ามีเกณฑ์อะไรในการตั้งราคาคะ
อ.ถวัลย์ : ไม่มีเกณฑ์หรอก อยู่ที่ความศรัทธา งานศิลปะทุกอย่างล้วนเป็นมายา กินไม่ได้เหมือนข้าวปลา เพราะฉะนั้นมูลค่าและคุณค่าของงานศิลปะจึงอยู่ที่ตัวผู้สร้างว่ามีฝีไม้ลายมือเพียงใด มีความคิดอ่านที่เป็นปัจเจกบุคคลเพียงใด คุณไม่สามารถทำฟาร์มเกลันเจโล หรือฟาร์มดา วินชีได้ หากแผ่นดินไม่มีต้นสักเหลือสักต้น แต่ยังมีดอกสักเหลืออยู่ คุณหว่านเมล็ดลงไปอีก 40-50 ปี ก็คงจะมีต้นสักเกิดใหม่ได้ แต่ศิลปินระดับอัจฉริยน่ะ ร้อยปีโลกถึงสร้างขึ้นมาได้สักหนึ่งคน
ถ้าผมตายไปก็ไม่มีคนอย่างผมอีกแล้ว จะให้ผมบอกว่า "ไอ้ต้อยไปเป็นตัวแทนกู" ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นความมีมูลค่าและความมีคุณค่าในตัวจึงเกิดได้เพียงครั้งเดียว...เป็นวาบหนึ่งขึ้นมาแล้วก็เลือนหายไป
ผมก็เหมือนกัน เพียงแค่ผ่านมา แล้วอีกไม่ช้าก็ต้องผ่านไป ส่วนใครจะจดจำรำลึกได้หรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ
..ผมพยายามจะปั้นรุ้งตะวันเป็นสร้อยระย้าให้แก่ผู้คนเพียงแค่พริบฝันเท่านั้น หลับตาแล้วก็เลือนหายไป และผมยินดีที่จะจางหายไป เพราะคนที่มีค่าในโลกนี้คือ ของที่รู้จักตาย...
Q : เป็นที่ทราบกันดีว่างานของอาจารย์มีมูลค่าสูงมาก อาจารย์มีวิธีจัดการกับเงินจำนวนมหาศาลที่ได้จากการวาดภาพอย่างไรคะ
อ.ถวัลย์ : ผมแบ่งเงินออกเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งผมใช้ซื้อสมบัติบ้าในการทำบ้าน อย่างบ้านดำ 36 หลัง ผมก็ใช้เงินไปหลายบาท รวมทั้งสมบัติบ้าที่อยู่ในนั้นด้วย ทั้งเครื่องเงิน เครื่องทอง เขาสัตว์ หนังสัตว์ คุณลองประเมินราคาดูเถอะว่า เนื้อที่ 100 ไร่ กับบ้าน 36 หลัง ที่ใช้ไม้แผ่นกว้างเป็นวานั้น จะต้องใช้เงินมหาศาลขนาดไหน
ส่วนที่สอง ผมมอบให้กับ "กองทุนเพื่อทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและการศึกษา" โดยได้ให้ทุนการศึกษา ปีละ 50 ทุน เป็นเวลา 35 ปีแล้ว คิดเป็นเงินปีละประมาณ 3 ล้านบาท แล้วก็ยังเขยิบไปตั้งเป็นกองทุนในยุโรปและอเมริกาด้วย เราจะคัดเลือกนักเรียน 10 คนมาฝึกหัด ก่อนจะส่งไปให้สภาศิลปกรรมไทย สหรัฐอเมริกา ผมทำกับกมลมา 35 ปีแล้ว
เรื่องนี้ถ้าคุณไม่ถาม ผมก็ไม่บอกใครหรอก ผมทำเหมือนกับที่ในหลวงพระราชทานพระบรมราชาโชวาทว่า แม้จะปิดทองหลังพระ แต่ถ้าปิดเยอะเข้าๆ คนก็สามารถเห็นเอง สำหรับผมนั้นไม่ได้ปิดทองหลังพระ ไม่ได้ปิดทองหน้าพระ แต่ผมปิดใต้ฐานท่านเลยละ (หัวเราะ)
ส่วนที่สาม เป็นเงินที่ผมใช้ทิ้งขว้าง หมายความว่า ใช้ไปกับสิ่งที่ผมคิดว่าสมควร อย่างเช่น ผมให้ไอ้ม่องต้อยเอาเงินไปให้ลุงคนที่เล่นพิณเปี๊ยะ หรือเอาเงินไปให้ป้าคนที่ฟ้อนสาวไหม เพราะเขาทำได้ดีมาก ในขณะเดียวกัน ผมก็เก็บงำเงินส่วนหนึ่งไว้ให้ไอ้ม่องต้อย ผมเคยบอกมันว่า พ่อกูเป็นข้าราชการเล็กๆ ตอนที่ปู่ตาย กูมีเงิน 20 บาท แต่ตอนนี้อายุ 36 แล้ว เอาไปร้อยล้านเลยแล้วกัน อยากจะเอาไปทำอะไรก็ทำเถอะ
Q : อาจารย์มีวิธีปล่อยวางสมบัติพัสถานล้ำค่าที่มีอยู่มากมายได้อย่างไรคะ
อ.ถวัลย์ : อันนี้ขึ้นกับปัจจัตตัง ขึ้นกับปัจเจกชน คนบางคนอาจจะมีเงินทองเยอะแยะไปหมดและอยากจะสะสมไว้ให้ลูกหลาน
ขณะที่ตัวผมนั้นได้ทำให้ตัวเองและลูกหลานมาพอสมควรแล้ว ตอนอายุ 35 ผมมีที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค อาหารการกินพร้อมบริบูรณ์แล้ว เพียงพอสำหรับผมกับไอ้ต้อย
ส่วนบ้านดำนั้นเป็นบ้านสำหรับบรรจุดวงวิญญาณ และผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะคืนบ้านทั้ง 36 หลังนี้ให้แก่แผ่นดิน สิ่งที่ผมมีทั้งหมดเปรียบเหมือนเรือ เมื่อข้ามฟากได้แล้ว ผมก็ไม่ต้องแบกเรือไว้อีกแล้ว สมควรที่จะวางเรือไว้ให้คนอื่นใช้ข้ามฟากต่อไป
สำหรับบ้านดำนั้นมี 15 หลังที่เป็นเรือนไม้ ฉะนั้นอยู่ได้ไม่เกิน 60 ปีก็คงเสื่อมสลายไป อันที่จริงผมก็ไม่ได้คิดจะให้บ้านดำอยู่ยืนยงอะไรนักหนา ผมต้องการให้มันตาย เพราะจะทำให้มันมีค่า
ดวงอาทิตย์ยังต้องมีวันดับ สิ่งที่ไม่รู้จักตายก็เหมือนดอกไม้พลาสติก มันไม่มีค่า...บ้านดำก็เช่นกัน
ผมเองสักวันหนึ่งก็ต้องตายเพราะผมตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้เสมอ แต่ในขณะที่ยังมีลมหายใจ ผมจึงอยากจะมอบสุนทรียภาพแก่แผ่นดิน
ผมเคยเดินทางตั้งแต่แม่สายยันสุไหงโก-ลก แล้วต้องหลับตาลงด้วยความปวดร้าว เพราะผมเห็นต้นไม้ถูกทำลาย ป่าเขาถูกบุกเบิก ผมไม่เห็นความงามอะไรหลงเหลืออยู่ เพราะฉะนั้นผมจึงกลับมาที่บ้าน...ทำอะไรได้แค่ไหนก็ทำ...
งานทั้งหมดที่ผมสร้างสรรค์มา เป็นเพียงเรือใบไม้ที่เอาไว้พลิ้วคลื่นในโมงยาม ไม่ได้มุ่งสู่จุดหมายปลายทางใดๆทั้งสิ้น มันจะเป็นเพียงแสงหิ่งห้อยส่องก้นตนเอง ผมไม่ได้อหังการ ต้องเป็นสถาบันศิลปะ
ทุกอย่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องดับไป ผมตั้งใจเพียงว่า ก่อนตายผมจะทำความงามให้ปรากฎแก่แผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นงานจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณกรรม นาฏกรรม...
และถึงวันนี้ ผมก็พร้อมที่จะตายแล้ว
Cr : นิตยสาร Secret ฉบับที่ 110 : 26 มกราคม 2556 คอลัมน์ Secret Of Life - ถวัลย์ ดัชนี...อัจฉริยะที่หนึ่งร้อยปี (อาจ) มีเพียง "หนึ่งเดียว"
ไว้อาลัย.... อ.ถวัลย์ ดัชนี...อัจฉริยะที่หนึ่งร้อยปี (อาจ) มีเพียง "หนึ่งเดียว"
Q : ดูเหมือนพุทธศาสนาจะมีบทบาทในการทำงานของอาจารย์มากทีเดียวนะคะ
อ.ถวัลย์ : ผมไม่คิดว่าพุทธศาสนาเป็นแนวทางของผม แต่พุทธศาสนากับผมเป็นลมหายใจเดียวกัน ถึงแม้ผมจะไม่ไปวัด ไม่เคยไปโบสถ์ แต่ผมไม่เคยทำเดรัจฉานกิจกรรมที่ไม่ใช่กิจของพุทธศาสนา
ผมไม่เคยนั่งคอยโชคชะตาหรือเชื่อนั่นเชื่อนี่ ไม่ห้อยเครื่องรางของขลัง ผมไม่เคยเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ต่างๆนานา ผมเพียงแต่ประพฤติปฏิบัติบูชาในพุทธศาสนาเท่านั้น
นอกนั้น ผมยังเกิดมาท่ามกลางศรัทธาอันแรงกล้าของคนผู้นับถือศาสนา แม่ผมอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ แต่เขาสร้างวัดทั้งวัดให้เชียงราย คือ วัดมุงเมือง ซึ่งเป็นวัดประจำตระกูลของเรา โดยไอ้ต้อย (ลูกชาย อ.ถวัลย์) เป็นคนทำเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์หรือเจดีย์ อีกไม่นานคุณก็จะได้เห็น
Q : งานของศิลปินที่มีชื่อมักตั้งราคาไว้สูงมาก อยากทราบว่ามีเกณฑ์อะไรในการตั้งราคาคะ
อ.ถวัลย์ : ไม่มีเกณฑ์หรอก อยู่ที่ความศรัทธา งานศิลปะทุกอย่างล้วนเป็นมายา กินไม่ได้เหมือนข้าวปลา เพราะฉะนั้นมูลค่าและคุณค่าของงานศิลปะจึงอยู่ที่ตัวผู้สร้างว่ามีฝีไม้ลายมือเพียงใด มีความคิดอ่านที่เป็นปัจเจกบุคคลเพียงใด คุณไม่สามารถทำฟาร์มเกลันเจโล หรือฟาร์มดา วินชีได้ หากแผ่นดินไม่มีต้นสักเหลือสักต้น แต่ยังมีดอกสักเหลืออยู่ คุณหว่านเมล็ดลงไปอีก 40-50 ปี ก็คงจะมีต้นสักเกิดใหม่ได้ แต่ศิลปินระดับอัจฉริยน่ะ ร้อยปีโลกถึงสร้างขึ้นมาได้สักหนึ่งคน
ถ้าผมตายไปก็ไม่มีคนอย่างผมอีกแล้ว จะให้ผมบอกว่า "ไอ้ต้อยไปเป็นตัวแทนกู" ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นความมีมูลค่าและความมีคุณค่าในตัวจึงเกิดได้เพียงครั้งเดียว...เป็นวาบหนึ่งขึ้นมาแล้วก็เลือนหายไป
ผมก็เหมือนกัน เพียงแค่ผ่านมา แล้วอีกไม่ช้าก็ต้องผ่านไป ส่วนใครจะจดจำรำลึกได้หรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ
..ผมพยายามจะปั้นรุ้งตะวันเป็นสร้อยระย้าให้แก่ผู้คนเพียงแค่พริบฝันเท่านั้น หลับตาแล้วก็เลือนหายไป และผมยินดีที่จะจางหายไป เพราะคนที่มีค่าในโลกนี้คือ ของที่รู้จักตาย...
Q : เป็นที่ทราบกันดีว่างานของอาจารย์มีมูลค่าสูงมาก อาจารย์มีวิธีจัดการกับเงินจำนวนมหาศาลที่ได้จากการวาดภาพอย่างไรคะ
อ.ถวัลย์ : ผมแบ่งเงินออกเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งผมใช้ซื้อสมบัติบ้าในการทำบ้าน อย่างบ้านดำ 36 หลัง ผมก็ใช้เงินไปหลายบาท รวมทั้งสมบัติบ้าที่อยู่ในนั้นด้วย ทั้งเครื่องเงิน เครื่องทอง เขาสัตว์ หนังสัตว์ คุณลองประเมินราคาดูเถอะว่า เนื้อที่ 100 ไร่ กับบ้าน 36 หลัง ที่ใช้ไม้แผ่นกว้างเป็นวานั้น จะต้องใช้เงินมหาศาลขนาดไหน
ส่วนที่สอง ผมมอบให้กับ "กองทุนเพื่อทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและการศึกษา" โดยได้ให้ทุนการศึกษา ปีละ 50 ทุน เป็นเวลา 35 ปีแล้ว คิดเป็นเงินปีละประมาณ 3 ล้านบาท แล้วก็ยังเขยิบไปตั้งเป็นกองทุนในยุโรปและอเมริกาด้วย เราจะคัดเลือกนักเรียน 10 คนมาฝึกหัด ก่อนจะส่งไปให้สภาศิลปกรรมไทย สหรัฐอเมริกา ผมทำกับกมลมา 35 ปีแล้ว
เรื่องนี้ถ้าคุณไม่ถาม ผมก็ไม่บอกใครหรอก ผมทำเหมือนกับที่ในหลวงพระราชทานพระบรมราชาโชวาทว่า แม้จะปิดทองหลังพระ แต่ถ้าปิดเยอะเข้าๆ คนก็สามารถเห็นเอง สำหรับผมนั้นไม่ได้ปิดทองหลังพระ ไม่ได้ปิดทองหน้าพระ แต่ผมปิดใต้ฐานท่านเลยละ (หัวเราะ)
ส่วนที่สาม เป็นเงินที่ผมใช้ทิ้งขว้าง หมายความว่า ใช้ไปกับสิ่งที่ผมคิดว่าสมควร อย่างเช่น ผมให้ไอ้ม่องต้อยเอาเงินไปให้ลุงคนที่เล่นพิณเปี๊ยะ หรือเอาเงินไปให้ป้าคนที่ฟ้อนสาวไหม เพราะเขาทำได้ดีมาก ในขณะเดียวกัน ผมก็เก็บงำเงินส่วนหนึ่งไว้ให้ไอ้ม่องต้อย ผมเคยบอกมันว่า พ่อกูเป็นข้าราชการเล็กๆ ตอนที่ปู่ตาย กูมีเงิน 20 บาท แต่ตอนนี้อายุ 36 แล้ว เอาไปร้อยล้านเลยแล้วกัน อยากจะเอาไปทำอะไรก็ทำเถอะ
Q : อาจารย์มีวิธีปล่อยวางสมบัติพัสถานล้ำค่าที่มีอยู่มากมายได้อย่างไรคะ
อ.ถวัลย์ : อันนี้ขึ้นกับปัจจัตตัง ขึ้นกับปัจเจกชน คนบางคนอาจจะมีเงินทองเยอะแยะไปหมดและอยากจะสะสมไว้ให้ลูกหลาน
ขณะที่ตัวผมนั้นได้ทำให้ตัวเองและลูกหลานมาพอสมควรแล้ว ตอนอายุ 35 ผมมีที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค อาหารการกินพร้อมบริบูรณ์แล้ว เพียงพอสำหรับผมกับไอ้ต้อย
ส่วนบ้านดำนั้นเป็นบ้านสำหรับบรรจุดวงวิญญาณ และผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะคืนบ้านทั้ง 36 หลังนี้ให้แก่แผ่นดิน สิ่งที่ผมมีทั้งหมดเปรียบเหมือนเรือ เมื่อข้ามฟากได้แล้ว ผมก็ไม่ต้องแบกเรือไว้อีกแล้ว สมควรที่จะวางเรือไว้ให้คนอื่นใช้ข้ามฟากต่อไป
สำหรับบ้านดำนั้นมี 15 หลังที่เป็นเรือนไม้ ฉะนั้นอยู่ได้ไม่เกิน 60 ปีก็คงเสื่อมสลายไป อันที่จริงผมก็ไม่ได้คิดจะให้บ้านดำอยู่ยืนยงอะไรนักหนา ผมต้องการให้มันตาย เพราะจะทำให้มันมีค่า
ดวงอาทิตย์ยังต้องมีวันดับ สิ่งที่ไม่รู้จักตายก็เหมือนดอกไม้พลาสติก มันไม่มีค่า...บ้านดำก็เช่นกัน
ผมเองสักวันหนึ่งก็ต้องตายเพราะผมตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้เสมอ แต่ในขณะที่ยังมีลมหายใจ ผมจึงอยากจะมอบสุนทรียภาพแก่แผ่นดิน
ผมเคยเดินทางตั้งแต่แม่สายยันสุไหงโก-ลก แล้วต้องหลับตาลงด้วยความปวดร้าว เพราะผมเห็นต้นไม้ถูกทำลาย ป่าเขาถูกบุกเบิก ผมไม่เห็นความงามอะไรหลงเหลืออยู่ เพราะฉะนั้นผมจึงกลับมาที่บ้าน...ทำอะไรได้แค่ไหนก็ทำ...
งานทั้งหมดที่ผมสร้างสรรค์มา เป็นเพียงเรือใบไม้ที่เอาไว้พลิ้วคลื่นในโมงยาม ไม่ได้มุ่งสู่จุดหมายปลายทางใดๆทั้งสิ้น มันจะเป็นเพียงแสงหิ่งห้อยส่องก้นตนเอง ผมไม่ได้อหังการ ต้องเป็นสถาบันศิลปะ
ทุกอย่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องดับไป ผมตั้งใจเพียงว่า ก่อนตายผมจะทำความงามให้ปรากฎแก่แผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นงานจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณกรรม นาฏกรรม...
และถึงวันนี้ ผมก็พร้อมที่จะตายแล้ว
Cr : นิตยสาร Secret ฉบับที่ 110 : 26 มกราคม 2556 คอลัมน์ Secret Of Life - ถวัลย์ ดัชนี...อัจฉริยะที่หนึ่งร้อยปี (อาจ) มีเพียง "หนึ่งเดียว"