ช่วงสายของวันหนึ่ง ผมหยิบถุงกระดาษสีน้ำตาลที่บรรจุธนบัตรใบละ 1,000 บาท กองละ 100 ใบ จำนวน 10 กอง มันคือถุงกระดาษที่มีมูลค่า 1 ล้านบาท เป็นเงินล้านก้อนแรกที่มี เดินจากรถที่จอดห่างจากธนาคารประมาณ 200 เมตรเพื่อนำไปเข้าบัญชีของธนาคารแห่งหนึ่ง โดยที่ผมถือมันเหมือนถุงกระดาษธรรมดาๆที่ไม่มีค่ามากอะไร
ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วที่ธนาคารแรกที่ผมได้เช็คเงินมา เป็นธนาคารเล็กๆที่ต่างจังหวัดที่มีช่องบริการอยู่ 2 ช่อง ตอนที่ผมไปถึงนั้น ช่องแรกกำลังให้บริการลูกค้าคนหนึ่งอยู่ เหลืออีกช่องที่มีพนักงานธนาคารกำลังนั่งจ้องอยู่ที่หน้าจอ
ทันทีที่ผมเดินเข้าไปเพื่อทำธุรกรรมที่ช่องบริการที่ว่าง พนักงานคนนั้นหน้าบึ้งกลับมาและพูดจาค่อนข้างห้วนใส่ บอกกับผมว่า "ช่องนี้ไม่ว่างคะ ไม่สามารถให้บริการได้ ต่อคิวอีกช่องแทนนะคะ"
ผมก็โอเค ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะคิดว่าคงติดงานอยู่ ก็เลยไปต่อคิวที่ช่องบริการแรก เมื่อถึงคิวผม ผมก็ยื่นเช็คเพื่อเอาเข้าบัญชีและก็ทำเรื่องถอนเงินทั้งหมดออกมาทันทีเพราะอยากเอาไปเข้าธนาคารประจำของตัวเอง (ไม่อยากรอเชคเคลียร์ริ่ง อยากได้เงินไวๆ) พนักงานคนข้างๆที่พูดห้วนๆใส่ผม พอเห็นดังนั้นก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน พูดจาไพเราะ ชวนคุยนู่นนี่ เรียกว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าทันที ไม่ทำงานที่หน้าจอตัวเองและหันมาคุยกับผมแทนซะงั้น (วันนั้นผมใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะคู่ละร้อยกว่าบาท ดูไม่ได้ดีเท่าไหร่ แต่ก็ใส่งี้ทุกวันอยู่แล้ว)
สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกแปลกใจก็คือว่า เงินมันทำให้คนเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ?
ตอนพนักงานถอนเงินและนำเงินใส่ถุงกระดาษให้ ความคิดแรกของผมคือ "กระดาษที่อยู่ถุงกระดาษแค่นี้เนี่ยนะเงินล้าน?" เพราะถุงมันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก ใหญ่กว่าถุงกล้วยทอดข้างทางนิดหน่อยแค่นั้น ผิดหวังจากตอนแรกที่จะนึกว่ามันจะยิ่งใหญ่เหมือนที่หลายๆคนคิดกันว่าต้องหาเงินล้านแรกให้ได้ในชีวิต แต่ปรากฏว่าสิ่งที่หลายคนคาดหวัง จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่กระดาษในถุงกระดาษกล้วยทอดใบหนึ่ง
ผมเดินออกมาจากธนาคารโดยถือถุงสีน้ำตาลนั้นออกมา ไม่ได้ใส่ในกระเป๋าใดๆอีกทีทั้งสิ้น ถือมันมาอย่างงั้นละ
เมื่อมาถึงที่รถ ผมมองที่ถุงกระดาษนั้นอีกครั้ง ยังคงแปลกใจว่าสิ่งที่หลายคน รวมถึงผมตามหา มันมีขนาดแค่นี้เองเนี่ยนะ? เนี่ยหรือสิ่งที่หลายๆคนยอมเสียเวลา เสียสละหลายๆอย่างเพื่อให้ได้มันมา พอย้อนกลับไปนึกถึงสิ่งที่ผ่านมาหลายๆเดือน ที่ผมต้องทำงานทุกวันไม่หยุดแม้เสาร์-อาทิตย์ ไม่ได้ไปเที่ยว บางวันก็ทำถึง 4-5 ทุ่ม ต้องมาเครียดกับงาน มีปัญหากับชีวิตส่วนตัว เพื่อแลกกับกระดาษในถุงกล้วยทอด? ทำไมผมรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เมื่อเทียบกับถุงสีน้ำตาล กับสิ่งที่ผมต้องแลกมา มันดูไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไปยังไงไม่รู้
ผมขับรถไปยังธนาคารอีกแห่งเพื่อเอาเงินเข้า ผมถือถุงกล้วยทอดเดินไป ผ่านหลายๆคนไปแบบไม่ได้รู้สึกเลยว่าในถุงกระดาษมันมีค่าขนาดนั้น จนกระทั่งฝากไปแล้วจนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่รู้สึกถึงค่าของมันเท่าไหร่ อาจจะเพราะผมรู้สึกว่ามันไม่คุ้มกับสิ่งที่ทำลงไปนัก
ก็อาจจะจริงอย่างที่หลายๆคนบอก ว่าความสุขมีค่ามากกว่าเงิน แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังตั้งเป้าจะหาถุงกล้วยทอดให้ได้สักสิบถุงตามที่ตั้งเป้า แล้วค่อยเริ่มคิดว่าอาจจะกลับไปใช้ชีวิตสบายๆ วันเสาร์-อาทิตย์ได้หยุด วันหยุดราชการก็มี ไม่ต้องทำงานรับผิดชอบทุกอย่าง แบบนั้นอาจจะดีกว่า หรืออาจจะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นถุงกล้วยทอดสักยี่สิบถุงแทน แต่ก็คงอีกเป็นสิบปีกว่าจะรู้ว่าจริงๆแล้วผมต้องการอะไรกันแน่ บางทีผมอาจจะต้องการถุงกล้วยทอดหลายๆถุง หรืออาจจะต้องการสิ่งอื่น เวลาเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบ
ปล. แท็กการลงทุนกับเจ้าของธุรกิจเพราะตรงกับกระทู้ และแท็กมนุษย์เงินเดือนเพื่อให้คนที่คิดจะเปลี่ยนชีวิตได้อ่าน
เมื่อผมมีเงินล้านก้อนแรก
ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วที่ธนาคารแรกที่ผมได้เช็คเงินมา เป็นธนาคารเล็กๆที่ต่างจังหวัดที่มีช่องบริการอยู่ 2 ช่อง ตอนที่ผมไปถึงนั้น ช่องแรกกำลังให้บริการลูกค้าคนหนึ่งอยู่ เหลืออีกช่องที่มีพนักงานธนาคารกำลังนั่งจ้องอยู่ที่หน้าจอ
ทันทีที่ผมเดินเข้าไปเพื่อทำธุรกรรมที่ช่องบริการที่ว่าง พนักงานคนนั้นหน้าบึ้งกลับมาและพูดจาค่อนข้างห้วนใส่ บอกกับผมว่า "ช่องนี้ไม่ว่างคะ ไม่สามารถให้บริการได้ ต่อคิวอีกช่องแทนนะคะ"
ผมก็โอเค ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะคิดว่าคงติดงานอยู่ ก็เลยไปต่อคิวที่ช่องบริการแรก เมื่อถึงคิวผม ผมก็ยื่นเช็คเพื่อเอาเข้าบัญชีและก็ทำเรื่องถอนเงินทั้งหมดออกมาทันทีเพราะอยากเอาไปเข้าธนาคารประจำของตัวเอง (ไม่อยากรอเชคเคลียร์ริ่ง อยากได้เงินไวๆ) พนักงานคนข้างๆที่พูดห้วนๆใส่ผม พอเห็นดังนั้นก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน พูดจาไพเราะ ชวนคุยนู่นนี่ เรียกว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าทันที ไม่ทำงานที่หน้าจอตัวเองและหันมาคุยกับผมแทนซะงั้น (วันนั้นผมใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะคู่ละร้อยกว่าบาท ดูไม่ได้ดีเท่าไหร่ แต่ก็ใส่งี้ทุกวันอยู่แล้ว)
สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกแปลกใจก็คือว่า เงินมันทำให้คนเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ?
ตอนพนักงานถอนเงินและนำเงินใส่ถุงกระดาษให้ ความคิดแรกของผมคือ "กระดาษที่อยู่ถุงกระดาษแค่นี้เนี่ยนะเงินล้าน?" เพราะถุงมันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก ใหญ่กว่าถุงกล้วยทอดข้างทางนิดหน่อยแค่นั้น ผิดหวังจากตอนแรกที่จะนึกว่ามันจะยิ่งใหญ่เหมือนที่หลายๆคนคิดกันว่าต้องหาเงินล้านแรกให้ได้ในชีวิต แต่ปรากฏว่าสิ่งที่หลายคนคาดหวัง จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่กระดาษในถุงกระดาษกล้วยทอดใบหนึ่ง
ผมเดินออกมาจากธนาคารโดยถือถุงสีน้ำตาลนั้นออกมา ไม่ได้ใส่ในกระเป๋าใดๆอีกทีทั้งสิ้น ถือมันมาอย่างงั้นละ
เมื่อมาถึงที่รถ ผมมองที่ถุงกระดาษนั้นอีกครั้ง ยังคงแปลกใจว่าสิ่งที่หลายคน รวมถึงผมตามหา มันมีขนาดแค่นี้เองเนี่ยนะ? เนี่ยหรือสิ่งที่หลายๆคนยอมเสียเวลา เสียสละหลายๆอย่างเพื่อให้ได้มันมา พอย้อนกลับไปนึกถึงสิ่งที่ผ่านมาหลายๆเดือน ที่ผมต้องทำงานทุกวันไม่หยุดแม้เสาร์-อาทิตย์ ไม่ได้ไปเที่ยว บางวันก็ทำถึง 4-5 ทุ่ม ต้องมาเครียดกับงาน มีปัญหากับชีวิตส่วนตัว เพื่อแลกกับกระดาษในถุงกล้วยทอด? ทำไมผมรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เมื่อเทียบกับถุงสีน้ำตาล กับสิ่งที่ผมต้องแลกมา มันดูไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไปยังไงไม่รู้
ผมขับรถไปยังธนาคารอีกแห่งเพื่อเอาเงินเข้า ผมถือถุงกล้วยทอดเดินไป ผ่านหลายๆคนไปแบบไม่ได้รู้สึกเลยว่าในถุงกระดาษมันมีค่าขนาดนั้น จนกระทั่งฝากไปแล้วจนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่รู้สึกถึงค่าของมันเท่าไหร่ อาจจะเพราะผมรู้สึกว่ามันไม่คุ้มกับสิ่งที่ทำลงไปนัก
ก็อาจจะจริงอย่างที่หลายๆคนบอก ว่าความสุขมีค่ามากกว่าเงิน แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังตั้งเป้าจะหาถุงกล้วยทอดให้ได้สักสิบถุงตามที่ตั้งเป้า แล้วค่อยเริ่มคิดว่าอาจจะกลับไปใช้ชีวิตสบายๆ วันเสาร์-อาทิตย์ได้หยุด วันหยุดราชการก็มี ไม่ต้องทำงานรับผิดชอบทุกอย่าง แบบนั้นอาจจะดีกว่า หรืออาจจะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นถุงกล้วยทอดสักยี่สิบถุงแทน แต่ก็คงอีกเป็นสิบปีกว่าจะรู้ว่าจริงๆแล้วผมต้องการอะไรกันแน่ บางทีผมอาจจะต้องการถุงกล้วยทอดหลายๆถุง หรืออาจจะต้องการสิ่งอื่น เวลาเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบ
ปล. แท็กการลงทุนกับเจ้าของธุรกิจเพราะตรงกับกระทู้ และแท็กมนุษย์เงินเดือนเพื่อให้คนที่คิดจะเปลี่ยนชีวิตได้อ่าน