คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
คห. 7 อธิบายได้ดีมาก ขออนุญาตเสริมสักนิด
การฉีดเบนซิน แต่เดิมระบบเก่าๆ จะฉีดใน "ท่อไอดี" ซึ่งอยู่ไกลจาก "ปากทางดูดของวาล์วไอดี" มากพอสมควร
เช่น ระบบ K-Jetronic - ฺBosch
ต่อมาหัวฉีดค่อยๆขยับเข้าใกล้ "วาล์วไอดี" มากขึ้นจนฉีดตรงเข้าที่หลังวาล์วไอดี
ตำแหน่งนี้ "ยังมีความร้อนสะสม" น้ำมันที่ฉีดลงไปจะดึง Q (ความร้อน) มาช่วย vaporize ให้น้ำมันกลายเป็นไอ
เพื่อจะได้ คลุกเคล้าตะลุมบอนกับ Air ทำให้ A/F ratio ผสมกันอย่างดีมีประสิทธิภาพ
การเผาไหม้ก็จะมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังได้ Heat Reclaim คือ ความร้อนส่วนนี้นำกลับมาใช้งานได้อีก ==> Thermal Efficiency ก็เพิ่มขึ้น
ภาษาชาวบ้านคือ ประหยัดได้ดีขึ้น
คราวนี้ก็มีนาย-ก ชาวอะไรก็ไม่รู้ คิดว่า แล้ว Q ที่เหลืออยู่ในกระบอกสูบมันมีมากกว่านี่นา
ว่าแล้วก็ขยับหัวฉีดไปฉีด Direct ตรงเข้าไปในกระบอกสูบซะเลย
แต่ระบบจุดระเบิดของ Gasoline มันไม่ใช่ Diesel ฉีดแล้วจะให้ "ลุกติดไฟเป็นเตาฟู่" นั่นไม่ใช่ Gasoline แล้วนะ
น้ำมันเหลวที่ฉีดเข้าไป ดึง Q ความร้อนในกระบอกสูบมาจัดการทำให้เป็น Vapor
แล้ว จึงคลุกเคล้าผสมกับ Air กลายเป็น A/F ratio ในอัตราที่เหมาะสมจึงค่อยจุดหัวเทียน
ในการฉีดของ Gasoline มันจะฉีด 2 ครั้ง (เป็นอย่างน้อย)
ครั้งแรกฉีด Gasoline เข้าไปจำนวนน้อยๆ Lean Mixture ==> A/F ratio ราวๆ 50:1 หรือ 40:1 ซึ่งเป็นอัตราส่วนผสมที่ "ยังไม่ติดไฟ"
เมื่อลูกสูบเคลื่อนเกือบถึง TDC จึงฉีด Gasoline แบบ rich-mixture ทำให้ A/F ratio ราวๆ 14.x ต่อ 1 ... ซึ่งเป็นส่วนผสมที่เหมาะสม
พร้อมๆกันนั้น หัวเทียน ก็จุดระเบิด
โดยวิธีนี้ เครื่อง GDI จึงมี Thermal Efficiency สูงกว่าเครื่องหัวฉีดปกติ
มีคำถามกวนโอย ... ทำไมเขาถึงไม่ทำตั้งแต่แรก ....แหม ถ้ารู้แต่แรก ก็คงจะทำแล้ว ครับ

การฉีดเบนซิน แต่เดิมระบบเก่าๆ จะฉีดใน "ท่อไอดี" ซึ่งอยู่ไกลจาก "ปากทางดูดของวาล์วไอดี" มากพอสมควร
เช่น ระบบ K-Jetronic - ฺBosch
ต่อมาหัวฉีดค่อยๆขยับเข้าใกล้ "วาล์วไอดี" มากขึ้นจนฉีดตรงเข้าที่หลังวาล์วไอดี
ตำแหน่งนี้ "ยังมีความร้อนสะสม" น้ำมันที่ฉีดลงไปจะดึง Q (ความร้อน) มาช่วย vaporize ให้น้ำมันกลายเป็นไอ
เพื่อจะได้ คลุกเคล้าตะลุมบอนกับ Air ทำให้ A/F ratio ผสมกันอย่างดีมีประสิทธิภาพ
การเผาไหม้ก็จะมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังได้ Heat Reclaim คือ ความร้อนส่วนนี้นำกลับมาใช้งานได้อีก ==> Thermal Efficiency ก็เพิ่มขึ้น
ภาษาชาวบ้านคือ ประหยัดได้ดีขึ้น
คราวนี้ก็มีนาย-ก ชาวอะไรก็ไม่รู้ คิดว่า แล้ว Q ที่เหลืออยู่ในกระบอกสูบมันมีมากกว่านี่นา
ว่าแล้วก็ขยับหัวฉีดไปฉีด Direct ตรงเข้าไปในกระบอกสูบซะเลย
แต่ระบบจุดระเบิดของ Gasoline มันไม่ใช่ Diesel ฉีดแล้วจะให้ "ลุกติดไฟเป็นเตาฟู่" นั่นไม่ใช่ Gasoline แล้วนะ
น้ำมันเหลวที่ฉีดเข้าไป ดึง Q ความร้อนในกระบอกสูบมาจัดการทำให้เป็น Vapor
แล้ว จึงคลุกเคล้าผสมกับ Air กลายเป็น A/F ratio ในอัตราที่เหมาะสมจึงค่อยจุดหัวเทียน
ในการฉีดของ Gasoline มันจะฉีด 2 ครั้ง (เป็นอย่างน้อย)
ครั้งแรกฉีด Gasoline เข้าไปจำนวนน้อยๆ Lean Mixture ==> A/F ratio ราวๆ 50:1 หรือ 40:1 ซึ่งเป็นอัตราส่วนผสมที่ "ยังไม่ติดไฟ"
เมื่อลูกสูบเคลื่อนเกือบถึง TDC จึงฉีด Gasoline แบบ rich-mixture ทำให้ A/F ratio ราวๆ 14.x ต่อ 1 ... ซึ่งเป็นส่วนผสมที่เหมาะสม
พร้อมๆกันนั้น หัวเทียน ก็จุดระเบิด
โดยวิธีนี้ เครื่อง GDI จึงมี Thermal Efficiency สูงกว่าเครื่องหัวฉีดปกติ
มีคำถามกวนโอย ... ทำไมเขาถึงไม่ทำตั้งแต่แรก ....แหม ถ้ารู้แต่แรก ก็คงจะทำแล้ว ครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
เรามาทำความเข้าใจว่า ทำไมรถยนต์รุ่นใหม่ๆถึงอยากทำเครื่องเบ็นซินเป็นระบบ diกันนักนะครับ
รูปแบบเดิมในการจ่ายน้ำมันคือฉีดก่อนเข้าห้องเผาไหม้ เมื่อเข้าไปแล้วจึงควบคุมปริมาณเชื่อเพลิงไม่ได้อีก จะจ่ายน้อยจ่ายมากต้องควบคุมก่อนเข้าห้องเผาไหม้อย่างเดียวคือ เข้าไปเท่าไหร่จุดระเบิดเท่านั่น
นี้แค่ปัจัยหนึ่งในการทำงานของของระบบจุดระเบิด อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญพอๆกับปริมาณน้ำมันคือ กำลังอัด
ถ้าศึกษาคุณสมบัติเครื่องยนต์ในคู่มือจะเห็นบอกไว้ว่า เครื่องรุ่นนิกำลังอัดในห้องเผาไหม่เท่าไหร่ แล้วทำไม่ถึงสำคัญ
เพราะว่า น้ำมันหรือพลังงานที่ใส่ไปมีค่าความคงทนต่อการติดไฟต่างกัน วัดกันในหน่วยที่เรารู้จักกันคือ ออคเทน นั่นเอง
ในการจะทำให้เครื่องยนต์ได้แรงม้ามากที่สุดในน้ำมันหนึ่งหยดเท่ากันคือ ต้องมีกำลังอัดมากที่สุด แต่
กำลังอัดที่มากที่สุดนั่น จะทำให้เกิดความร้อนสูง ความเค้นก็สูง น้ำมันออคเทนปกติ จะทนไม่ได้ คือแค่เข้าไปใกล้หรือใน
ห้องเผาไหม้ก็ติดไฟเองแล้ว หัวเทียนยังไม่สั่งให้จุดระเบิดเลยก็ระเบิดก่อนแล้ว ที่เราเรียกกันว่าเครื่องน๊อค นั่นเอง
ดังนั่น ระบบdi จึงมาแก้ปัญหานี้ คือให้อากาศเปล่าๆผ่านวาวล์เข้าห้องเผาไหม้ แล้วค่อยกำหนดเองว่าจะฉีดน้ำมันตอนใหน
ให้ลูกสูบเคลื่อนมาเกือบถึงศูนย์ตายบนก่อนแล้วสั่งฉีด น้ำมันออคเทนจะถึงไม่ถึงก็ไม่เป็นไรแล้วเพราะฉีดออกมาระเบิดเลย
ก็ไม่เป็นไร หัวฉีดฉีดในห้องเผาไหม้อยู่แล้วเชิญระเบิดแบบไร่การควบคุมได้ตามสบาย
เมื่อเป็นเช่นนั่นก็เพิ่มกำลังอัดได้เพราะควบคุมการน๊อคได้แล้ว จึงได้แรงม้าและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นในน้ำมันเท่าเดิม ครับ
รูปแบบเดิมในการจ่ายน้ำมันคือฉีดก่อนเข้าห้องเผาไหม้ เมื่อเข้าไปแล้วจึงควบคุมปริมาณเชื่อเพลิงไม่ได้อีก จะจ่ายน้อยจ่ายมากต้องควบคุมก่อนเข้าห้องเผาไหม้อย่างเดียวคือ เข้าไปเท่าไหร่จุดระเบิดเท่านั่น
นี้แค่ปัจัยหนึ่งในการทำงานของของระบบจุดระเบิด อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญพอๆกับปริมาณน้ำมันคือ กำลังอัด
ถ้าศึกษาคุณสมบัติเครื่องยนต์ในคู่มือจะเห็นบอกไว้ว่า เครื่องรุ่นนิกำลังอัดในห้องเผาไหม่เท่าไหร่ แล้วทำไม่ถึงสำคัญ
เพราะว่า น้ำมันหรือพลังงานที่ใส่ไปมีค่าความคงทนต่อการติดไฟต่างกัน วัดกันในหน่วยที่เรารู้จักกันคือ ออคเทน นั่นเอง
ในการจะทำให้เครื่องยนต์ได้แรงม้ามากที่สุดในน้ำมันหนึ่งหยดเท่ากันคือ ต้องมีกำลังอัดมากที่สุด แต่
กำลังอัดที่มากที่สุดนั่น จะทำให้เกิดความร้อนสูง ความเค้นก็สูง น้ำมันออคเทนปกติ จะทนไม่ได้ คือแค่เข้าไปใกล้หรือใน
ห้องเผาไหม้ก็ติดไฟเองแล้ว หัวเทียนยังไม่สั่งให้จุดระเบิดเลยก็ระเบิดก่อนแล้ว ที่เราเรียกกันว่าเครื่องน๊อค นั่นเอง
ดังนั่น ระบบdi จึงมาแก้ปัญหานี้ คือให้อากาศเปล่าๆผ่านวาวล์เข้าห้องเผาไหม้ แล้วค่อยกำหนดเองว่าจะฉีดน้ำมันตอนใหน
ให้ลูกสูบเคลื่อนมาเกือบถึงศูนย์ตายบนก่อนแล้วสั่งฉีด น้ำมันออคเทนจะถึงไม่ถึงก็ไม่เป็นไรแล้วเพราะฉีดออกมาระเบิดเลย
ก็ไม่เป็นไร หัวฉีดฉีดในห้องเผาไหม้อยู่แล้วเชิญระเบิดแบบไร่การควบคุมได้ตามสบาย
เมื่อเป็นเช่นนั่นก็เพิ่มกำลังอัดได้เพราะควบคุมการน๊อคได้แล้ว จึงได้แรงม้าและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นในน้ำมันเท่าเดิม ครับ
แสดงความคิดเห็น
เบนซินไดเร็คอินเจ็ตชั่น การใช้งาน เชื้อเพลิงทางเลือก
- อีกหน่อยจะเข้ามาแทนเครื่องหัวฉีดทั่วไปมั้ยครับ รมถึงพวกรถเล็ก ๆ เช่น มอเตอร์ไซด์
- ใช้เชื้อเพลิงทางเลือกได้เยอะมั้ย เช่น E85 , เมทานอล , CNG , CBG
- มันมีความประหยัดกว่าระบบหัวเดิม ๆ มากมั้ยครับ พอแข่งกับดีเซลได้ป่าว