ทิศทางสภาเภสัชกรรม กับการคัดค้านร่างพรบ. ยา พ.ศ.....?

นิยามเจ้าปัญหา ในร่างกฎหมาย ยา ฉบับใหม่ ที่สภาเภสัชกรรม แตะแบรคไปที่สนช. เช่น  ยาที่ต้องจ่ายโดยผู้ประกอบวิชาชีพกับคำถามที่ว่า ทำไมไม่ระบุไปเลยให้เป็นยาที่จ่าย โดยเภสัชกร ท่านทราบหรือไม่ว่า กฎหมายยาฉบับปัจจุบัน ก็ไม่ได้ห้าม ไม่ให้วิชาชีพอื่นจ่ายยาให้กับคนไข้เฉพาะรายที่ตนรักษา ในขณะที่พยาบาลสามารถทำหน้าที่ผู้มีหน้าที่ปฎิบัติการในร้านขายยาบรรจุเสร็จได้ (แต่ร่างกฎหมายใหม่ต้องเป้นเภสัชกร เท่านั้นที่ทำหน้าที่ในร้านขายยาแผนปัจจุบัน ไม่มีร้านขายยาบรรจุเสร็จ อีกต่อไป)
สำหรับในสถานพยาบาล พยาบาลทำงานภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ การใช้ยา จะต้องเป็นไปตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น ยกเว้นยาบางรายการ ซึ่งพยาบาลจ่ายเองโดยไม่ต้องรอคำสั่งแพทย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ยาสามัญประจำบ้าน ถ้าดูต่อไปจนถึงมาตรา 6 ในร่างกฎหมายใหม่ รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการยา ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสำหรับภาคการศึกษามีเฉพาะคณบดีเภสัชศาสตร์ 3 มหาวิทยาลัย และไม่มีสภาการพยาบาลอยู่เลยในคณะกรรมการยา จะเป็นผู้กำหนดชนิดยาที่ต้องจ่ายโดยผู้ประกอบวิชาชีพ ตลอดจน หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข เกี่ยวกับยาที่ต้องจ่ายโดยผู้ประกอบวิชาชีพ ซึ่งคณะกรรมการยาสามารถกำหนด หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข  และชนิดยาที่แต่ละวิชาชีพจะสามารถจ่ายได้ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่หากตัดวิชาชีพอื่นออกจากนิยามให้เหลือเป็นแค่ยาที่จ่ายโดยเภสัชกร ท่านเหล่านั้นก็ยังสามารถจ่ายยาให้กับคนไข้ที่ตนบำบัดอยู่ดี และจะไม่ต้องถูกกำกับตามกฎหมายยา (ไปกำกับดูแลแค่ตามกฎหมายวิชาชีพ ของท่าน ต่างคนต่างว่ากันไป)
กฎหมายยาฉบับนี้มองภาพรวมไปถึงการจ่ายยาหรือการใช้ยาของทุกวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค สามารถสนับสนุนให้การใช้ยาของทุกวิชาชีพเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล โดยบูรณาการการทำงานให้เข้ามาอยู่ภายใต้การกำหนดนโยบายของคณะกรรมการยา ซึ่งจะมาทำหน้าที่แทนคณะกรรมการยาแห่งชาติ นั่นก็คือ เมื่อใดก็ตามที่พรบ.ยาฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ คณะกรรมการยาแห่งชาติซึ่งตั้งตาม ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ต้องถูกยกเลิกตามที่กำหนดไว้ในระเบียบดังกล่าวและจะเปลี่ยนรูปมาทำหน้าที่ใน คณะกรรมการยาตามร่างกฎหมายยาฉบับใหม่ (ที่มีบางท่านทีคัดค้านกันอยู่) จะสามารถกำกับดูแลระบบยาของประเทศทั้งระบบในภาพรวมโดยจะมีคณะกรรมการเฉพาะเรื่องอยู่ภายใต้คณะกรรมการยา ชุดนี้ ของร่างกฎหมายยา
ร่างกฎหมายฉบับนี้ ร่างเสร็จ ตั้งแต่ปี 51 โดยสภาวิชาชีพ ทุกวิชาชีพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ใช้เวลาคุยกันเกือบทุกสัปดาห์เป็นเวลาเกือบ 3 ปี.. แต่ปัญหาด้านการเมือง จึงทำให้การออกกฎหมายล่าช้า การพัฒนาระบบยาของประเทศหลังจากนี้ คงต้องรอฟังทิศทางจากสภาเภสัชกรรม ว่าจะสามารถคุยกับวิชาชีพอื่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา  ต่ออย่างไร  แต่ถ้าผมเป็น แพทย์ พยาบาล ที่ไม่ประสงค์จะถูกกำกับดูแล การจ่ายยาให้กับคนไข้ของตน จากกฎหมายฉบับนี้ ผมจะสนับสนุน สภาเภสัชกรรม ให้แก้ไขนิยาม ยาที่ต้องจ่ายโดยผู้ประกอบวิชาชีพ ให้เหลือเพียง ยาที่จ่ายโดยเภสัชกร แต่ข้อควรระวังก็คือ ประชาชนจะได้รับยาจากเภสัชกร หรือ (ป้าย) เภสัชกร เป็นสิ่งที่สภาเภสัชกรรม ควรตอบคำถามนี้ด้วยครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่