ต่อจากตอนที่1 เมื่อวานนี้
ทริปเชี่ยวหลาน เขาสก แพ500ไร่ (ตอนที่1)
http://pantip.com/topic/32522623
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันที่2ของการเดินทาง

เช้าวันใหม่บนสายน้ำอันเงียบสงบ ดวงตะวันพยายามส่องแสงผ่านแนวม่านเมฆที่แผ่ปกคลุมน่านฟ้าเบื้องบูรพา แต่ก็เล็ดลอดมาได้เพียงน้อยนิด ท้องฟ้าวันนี้จึงดูอึมครึมไม่มีแสงเงินแสงทองโผล่พ้นของฟ้ามาพร้อมดวงตะวันอย่างที่ตั้งใจหวัง
แสงตะวันเร้นหายไม่ไลน์บอก
ทิ้งสายหมอกให้เดียวดายที่ปลายเขา
สายลมโชยพัดแว่วแผ่วๆเบา
อยู่คลอเคล้าคอยกดไลท์ให้หายตรม

เรือหางยาวมาจอดเทียบท่าแต่เช้าตามนัดหมาย เพราะเช้านี้เราจะต้องล่องเรือไปดูนก ชมหมอกยามเช้า ตามกำหนดการของทริปที่จัดเอาใว้

สายลมยามเช้าพัดหอบเอาละอองเย็นยะเยือกของสายน้ำทางหัวเรือแตกกระจายเป็นฟองฝอย ยามที่เรือหางยาววิ่งแหวกไปข้างหน้า จนคนที่นั่งอยู่หน้าสุดของหัวเรืออย่างผมต้องหันหลังให้เพื่อลดแรงลมที่ปะทะใบหน้า
ภูเขานับร้อยที่เรียงรายโอบล้อมสายน้ำซึ่งลึกกว่า70เมตร โผล่ให้เห็นเพียงยอดเขียวขจี ที่ประดับด้วยหมู่แมกไม้นานาพันธ์ สายหมอกสีขาวนวลยังคงลอยฟลุ้งกระจายไปตามหุบเหวและยอดเขาสูงชัน

แต่ไม่ว่าฝนจะตก หรือแดดจะออก มีนกหรือไม่มี แค่การที่เราได้มาสัมผัสธรรมชาติในดินแดนอันสวยงามเช่นนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว เพราะหากรักจะเดินทางท่องเที่ยวแล้ว อย่าได้วาดหวังว่าทุกอย่างจะสวยงามสมบูรณ์แบบตามแผนที่วางใว้เสมอไป ต้องฝึกปรับตัวปรับใจยอมรับในสิ่งที่พบเจอตามสถานการณ์ที่มันเป็น เพราะจะได้ไม่ทุกข์ใจในยามที่ทุกสิ่งอย่างไม่เป็นไปตามที่เราหวัง
เกือบ2ชั่วโมงที่เราล่องเรือชมวิวทิวทัศน์กลางสายน้ำ"เชี่ยวหลาน" แห่งนี้ แม้ได้พบเจอนกบ้างแต่ไม่มากอย่างที่คิด คงเพราะไม่มีแสงแดดอุ่นส่องลงมาล่อให้นกออกหากิน หรือไม่ก็เพราะเสียงดังจากเครื่องยนต์ของเรือหางยาวทำให้มันตกไปไม่กล้าออกมาให้เราชม
จนจวนได้เวลาอาหารมื้อเช้า นายท้ายหนุ่มผิวเข้มผู้ถือหางเสือจึงได้หันหัวเรือพาเรากลับที่พักก่อนที่พยาธิในกระเพาะจะออกมาประท้วงกัน

หลังมื้อเช้าวันนี้..ตามกำหนดการแล้วเราจะต้องไปชมน้ำตกแปดเซียน แต่ด้วยสภาพของชาวคณะในกลุ่มส่วนใหญ่ ต่างเข็ดขยาดจากการเดินเขาไกสรมาเมื่อวานนี้จึงโบกมือบ๋ายบาย รอไปนั่งเรือส่องสัตว์ตอนเย็นทีเดียวเลย เมื่อเป็นมติเสียงส่วนใหญ่เราก็เลยต้องตามน้ำ ดีเหมือนกันจะได้มีเวลาพักผ่อนและเล่นน้ำอยู่ที่พักให้เต็มที่ ได้นั่งทอดอารมณ์ผ่านผืนน้ำมหานทีอันกว้างใหญ่แห่งเชี่ยวหลาน เพื่อซึมซับเอาธรรมชาติบริสุทธิ์สวยงามซึ่งหาซื้อไม่ได้ในเมืองใหญ่ที่เราจากมา..

เมื่อเล่นน้ำจนหนำใจแล้ว เราจึงเปลี่ยนมาพายเรือคายัคออกไปชมวิวทิวทัศน์รอบๆที่พักกัน บ้างก็แข่งกันพาย บางคนเพิ่งเคยพายเป็นครั้งแรกในชีวิต กว่าจะออกจากฝั่งได้ ก็เล่นเอาหมุนเป็นวงกลมอยู่หลายรอบ แต่พอรู้ทิศทางรู้วิธีบังคับแล้วก็พายแข่งกันอย่างสนุกสนาน

จวนสี่โมงเย็น ถึงเวลาล่องเรือชมสัตว์ป่าที่ต้นน้ำคลองแสง ซึ่ง "ปุ๊กกี้ " ไกด์สาวสวยประจำคณะของเราบอกว่า "ถ้าโชคดีพวกพี่อาจจะได้เห็นกระทิงลงมากินน้ำ แต่ถ้าโชคไม่ดีพวกพี่คงได้เห็นกระทิงแดงแทน.."

บรรยากาศยามเย็นของเชี่ยวหลาน ดูสวยงามมีมนต์เสนห์ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะการล่องเรือลัดเลาะไปตามเกาะแก่งต่างๆเพื่อส่องสัตว์ นับเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับเรา เพราะปกติเคยแต่นั่งรถไปส่องสัตว์ตอนกลางคืน

คนขับเรือเล่าว่าปกติถ้าเป็นหน้าแล้ง สัตว์ป่าจะลงมาหาอาหารมากกว่านี้ แต่เพราะเป็นหน้าฝนน้ำท่วมสูงจึงไม่ค่อยเห็นกระทิง เก้ง กวาง หรือควายป่า อย่างที่ปุ๊กกี้คุยให้เราฟัง สงสัยคงได้กลับไปดูกระแดงในตู้แช่แทนแล้วล่ะ

ดวงตะวันจวนจะลับขอบฟ้า เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่ารัตติกาลกำลังคืบคลานเข้ามาเยือน แสงสีทองส่องประกายอยู่รำไรที่ปลายฟ้าทางทิศตะวันตก สะท้อนผืนน้ำเป็นเงาสีหมากสุกดูสวยงามแปลกตาน่ามอง สกุนาเจื้อยแจ้วบินกลับรังร้องเรียกหากันระงมป่าอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบเสียงลงพร้อมกับแสงสุดท้ายที่หายไปจากเส้นขอบฟ้า

เราหันหัวเรือกลับที่พักท่ามกลางความมืดมิดแห่งรัตติกาล ยังโชคดีที่บนเรือมีไฟฉายติดมาด้วย แต่ถึงกระนั้นก็อดเสียวไม่ได้ว่าเรือจะไปชนเข้ากับตอไม้ที่อยู่ใต้น้ำหรือไม่ อาศัยประสบการณ์ของคนขับเรือที่เป็นคนในพื้นที่และขับพานักท่องเที่ยวมาส่องสัตว์แถวนี้เป็นประจำ จึงชำนาญเส้นทางและพาเรากลับที่พักได้โดยสวัสดิภาพ

หลังมื้อเย็น.. เรากลับมานั่งรับลมชมวิวหน้าที่พัก เก็บบันทึกความทรงจำของคืนวันสุดท้ายบนแพ500ไร่ก่อนที่จะอำลาจากไปในวันพรุ่งนี้
แสงไฟจากโป๊ะด้านหน้า ส่องสะท้อนผิวน้ำราบเรียบนิ่งสงบราวภาพสะท้อนในกระจกเงา รอบบริเวณแพมืดสนิท เสียงเฮฮาของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ดังมาจากร้านอาหารตั้งแต่ตอนหัวค่ำเงียบลง เหลือเพียงเสียงร้องของแมลงป่าจากด้านหลังที่พักแว่วมาเป็นระยะ ผมนั่งมองเงาทะมึนของขุนเขาที่เรียงตัวโอบล้อมสายน้ำอยู่เบื้องหน้าจินตนาการถึงสิ่งลี้ลับใต้สายน้ำและในหุบเหวของภูเขา จนเผลอหลับไปบนเก้าอี้หน้าระเบียง..
............................................................................................................................
วันที่3ของการเดินทาง

สายลมเย็นยามเช้าปลุกผมตื่นจากเก้าอี้หน้าระเบียงขึ้นมารอรับอรุณแห่งวันใหม่ วันนี้ท้องฟ้าดูสดใสกว่าทุกวันที่ผ่านมา แสงสีทองกำลังส่องทาบทาขอบฟ้าเบื้องบูรพา หมอกสีขาวนวลลอยฟุ้งกระจายรายล้อมยอดเขาที่ตั้งตระหง่านเรียงรายอยู่ไกลลิบ
ดวงตะวันสีทองส่องแสงอุ่น
แดดละมุนกรุ่นละไมไอระเหย
เมฆสีนวลยวนเย้าเฝ้าชิดเชย
ลมลำเพยพัดถามไถ่ห่วงใยกัน

เสียงเครื่องยนต์จากเรือหางยาวแว่วดังมาแต่ไกล ก่อนที่ลำเรือจะตีโค้งมุ่งหน้าตรงไปยังท่าเทียบเรือ ของแพ500ไร่ ทิ้งสายน้ำสีเงินยวงเป็นเส้นยาวคดเคี้ยวคล้ายอนาคอนด้ายักษ์วิ่งไล่ตามอยู่เบื้องหลัง

เมื่อเรือวิ่งใกล้เข้ามาจึงรู้ว่าเป็นเรือของแพ500ไร่ ที่บรรทุกลูกเรือซึ่งเป็นพนักงานของแพ เพื่อมาจัดเตรียมอาหารมื้อเช้าสำหรับนักท่องเที่ยวที่ยังหลับไหลอยู่บนเตียงนอนอย่างแสนสุข
สำหรับผมแล้ว "ตื่นก่อน นอนทีหลัง" เป็นสโลแกนประจำตัวเสมอเวลาที่ออกต่างจังหวัด เพราะนานทีกว่าจะมีโอกาสออกมาสัมผัสธรรมชาติสวยงามเช่นนี้ จะต้องใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่าด้วยการตื่นแต่เช้ามาสูดอากาศบริสุทธิ์ และดื่มด่ำบรรยากาศรอบตัวให้เต็มอิ่ม

การตื่นแต่เช้าจึงเป็นนิสัยที่ติดตัวผมมาแต่ไหนแต่ไร เพราะมันทำให้ผมได้มองเห็นภาพวิถีชีวิตยามเช้าของผู้คนในแต่ละท้องถิ่นที่เดินทาง ทั้งยังได้เฝ้าดูแสงแรกแห่งวันที่ค่อยๆโผล่ขึ้นมาแต่งแต้มขอบฟ้าให้เป็นสีเงินสีทองอย่างสวยงาม ได้เห็นก้อนเมฆรูปร่างแปลกตาเรียงรายรอรับแสงอรุณยามเช้า ได้เห็นฝูงนกส่งเสียงเจื้อยแจ้วบินออกจากรังมุ่งหน้าสู่แนวป่าอันไกลโพ้น.. ภาพแห่งชีวิตที่สวยงามเหล่านี้..ได้บอกเล่าเรื่องราวของตัวมันเองผ่านช่วงระยะเวลาสั้นๆที่คนตื่นสายหลายๆคน จะไม่มีวันได้สัมผัสเช่นคนที่ตื่นเช้าอย่างเรา ..

ตะวันโผล่พ้นแนวเขาไปนานแล้ว แสงแดดอบอุ่นเริ่มแผดแสงแรงกล้าขึ้น หลังทำภารกิจส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้ว เราเก็บสัมภาระออกมารวมใว้ที่ร้านอาหารเพื่อเช็คเอาท์และนั่งทานมื้อเช้าไปพร้อมกับรอเรือที่จะมารับกลับเข้าสู่ฝั่ง
ผมใช้เวลาระหว่างนี้เดินเก็บภาพบรรยากาศรอบๆแพ และนั่งเฝ้ามองดูท่วงทำนองแห่งชีวิตของผู้คนบนสายน้ำที่กำลังเริงระบำตามจังหวะกระแสของเชี่ยวหลานที่กระเพื่อมไหวไปตามกาลเวลาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

หลังอาหารเช้ามื้อสุดท้านบนแพ500ไร่สิ้นสุดลง ก็ได้เวลาที่เราต้องโบกมือลาสายน้ำสีฟ้าครามสดใส บอกลาผืนป่าสีเขียวขจีที่ทอดตัวอยู่ด้านหลัง บอกลาเรือแคนูสีขาวแดงที่เคยพายล่องไปบนสายน้ำ มิตรภาพอันสวยงามที่ได้รับจากธรรมชาติและผู้คนที่นี่แม้จะเพียงชั่วข้ามคืนแต่ก็หยั่งรากลึกลงในความทรงจำของเราไปอีกนานแสนนาน

เงาสะท้อนผิวน้ำของแนวป่าและเรือนแพดูสวยงามกว่าทุกวันที่ผ่านมา คงเพราะวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆบดบัง ระหว่างที่เรานั่งเรือออกมาจากแพ500ไร่ ผมอดหันกลับไปมองอีกครั้งไม่ได้ ผมไม่ได้มองเพราะแค่จะจดจำหรืออำลา หากแต่มองเพื่อส่งรอยยิ้มและกระซิบบอกผืนน้ำแห่งนี้ว่าสักวันผมจะกลับมาเยือนอีกครั้ง..

หากสายน้ำเหมือนกาลเวลา คงเหมือนกันตรงที่สายน้ำและกาลเวลาไม่เคยหวนกลับ แต่สำหรับสายน้ำแห่งเชี่ยวหลานแล้ว มักจะซักพาให้ผู้คนที่ได้สัมผัสและหลงมนต์เสน่ห์ให้หวนกลับมาที่นี่อีกครั้ง ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจมีเรารวมอยู่ด้วย
[CR] ทริปเชี่ยวหลาน เขาสก แพ500ไร่ (วันที่2,3 ตอนจบ)
ทริปเชี่ยวหลาน เขาสก แพ500ไร่ (ตอนที่1) http://pantip.com/topic/32522623
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันที่2ของการเดินทาง
เช้าวันใหม่บนสายน้ำอันเงียบสงบ ดวงตะวันพยายามส่องแสงผ่านแนวม่านเมฆที่แผ่ปกคลุมน่านฟ้าเบื้องบูรพา แต่ก็เล็ดลอดมาได้เพียงน้อยนิด ท้องฟ้าวันนี้จึงดูอึมครึมไม่มีแสงเงินแสงทองโผล่พ้นของฟ้ามาพร้อมดวงตะวันอย่างที่ตั้งใจหวัง
แสงตะวันเร้นหายไม่ไลน์บอก
ทิ้งสายหมอกให้เดียวดายที่ปลายเขา
สายลมโชยพัดแว่วแผ่วๆเบา
อยู่คลอเคล้าคอยกดไลท์ให้หายตรม
เรือหางยาวมาจอดเทียบท่าแต่เช้าตามนัดหมาย เพราะเช้านี้เราจะต้องล่องเรือไปดูนก ชมหมอกยามเช้า ตามกำหนดการของทริปที่จัดเอาใว้
สายลมยามเช้าพัดหอบเอาละอองเย็นยะเยือกของสายน้ำทางหัวเรือแตกกระจายเป็นฟองฝอย ยามที่เรือหางยาววิ่งแหวกไปข้างหน้า จนคนที่นั่งอยู่หน้าสุดของหัวเรืออย่างผมต้องหันหลังให้เพื่อลดแรงลมที่ปะทะใบหน้า
ภูเขานับร้อยที่เรียงรายโอบล้อมสายน้ำซึ่งลึกกว่า70เมตร โผล่ให้เห็นเพียงยอดเขียวขจี ที่ประดับด้วยหมู่แมกไม้นานาพันธ์ สายหมอกสีขาวนวลยังคงลอยฟลุ้งกระจายไปตามหุบเหวและยอดเขาสูงชัน
แต่ไม่ว่าฝนจะตก หรือแดดจะออก มีนกหรือไม่มี แค่การที่เราได้มาสัมผัสธรรมชาติในดินแดนอันสวยงามเช่นนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว เพราะหากรักจะเดินทางท่องเที่ยวแล้ว อย่าได้วาดหวังว่าทุกอย่างจะสวยงามสมบูรณ์แบบตามแผนที่วางใว้เสมอไป ต้องฝึกปรับตัวปรับใจยอมรับในสิ่งที่พบเจอตามสถานการณ์ที่มันเป็น เพราะจะได้ไม่ทุกข์ใจในยามที่ทุกสิ่งอย่างไม่เป็นไปตามที่เราหวัง
เกือบ2ชั่วโมงที่เราล่องเรือชมวิวทิวทัศน์กลางสายน้ำ"เชี่ยวหลาน" แห่งนี้ แม้ได้พบเจอนกบ้างแต่ไม่มากอย่างที่คิด คงเพราะไม่มีแสงแดดอุ่นส่องลงมาล่อให้นกออกหากิน หรือไม่ก็เพราะเสียงดังจากเครื่องยนต์ของเรือหางยาวทำให้มันตกไปไม่กล้าออกมาให้เราชม
จนจวนได้เวลาอาหารมื้อเช้า นายท้ายหนุ่มผิวเข้มผู้ถือหางเสือจึงได้หันหัวเรือพาเรากลับที่พักก่อนที่พยาธิในกระเพาะจะออกมาประท้วงกัน
หลังมื้อเช้าวันนี้..ตามกำหนดการแล้วเราจะต้องไปชมน้ำตกแปดเซียน แต่ด้วยสภาพของชาวคณะในกลุ่มส่วนใหญ่ ต่างเข็ดขยาดจากการเดินเขาไกสรมาเมื่อวานนี้จึงโบกมือบ๋ายบาย รอไปนั่งเรือส่องสัตว์ตอนเย็นทีเดียวเลย เมื่อเป็นมติเสียงส่วนใหญ่เราก็เลยต้องตามน้ำ ดีเหมือนกันจะได้มีเวลาพักผ่อนและเล่นน้ำอยู่ที่พักให้เต็มที่ ได้นั่งทอดอารมณ์ผ่านผืนน้ำมหานทีอันกว้างใหญ่แห่งเชี่ยวหลาน เพื่อซึมซับเอาธรรมชาติบริสุทธิ์สวยงามซึ่งหาซื้อไม่ได้ในเมืองใหญ่ที่เราจากมา..
เมื่อเล่นน้ำจนหนำใจแล้ว เราจึงเปลี่ยนมาพายเรือคายัคออกไปชมวิวทิวทัศน์รอบๆที่พักกัน บ้างก็แข่งกันพาย บางคนเพิ่งเคยพายเป็นครั้งแรกในชีวิต กว่าจะออกจากฝั่งได้ ก็เล่นเอาหมุนเป็นวงกลมอยู่หลายรอบ แต่พอรู้ทิศทางรู้วิธีบังคับแล้วก็พายแข่งกันอย่างสนุกสนาน
จวนสี่โมงเย็น ถึงเวลาล่องเรือชมสัตว์ป่าที่ต้นน้ำคลองแสง ซึ่ง "ปุ๊กกี้ " ไกด์สาวสวยประจำคณะของเราบอกว่า "ถ้าโชคดีพวกพี่อาจจะได้เห็นกระทิงลงมากินน้ำ แต่ถ้าโชคไม่ดีพวกพี่คงได้เห็นกระทิงแดงแทน.."
บรรยากาศยามเย็นของเชี่ยวหลาน ดูสวยงามมีมนต์เสนห์ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะการล่องเรือลัดเลาะไปตามเกาะแก่งต่างๆเพื่อส่องสัตว์ นับเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับเรา เพราะปกติเคยแต่นั่งรถไปส่องสัตว์ตอนกลางคืน
คนขับเรือเล่าว่าปกติถ้าเป็นหน้าแล้ง สัตว์ป่าจะลงมาหาอาหารมากกว่านี้ แต่เพราะเป็นหน้าฝนน้ำท่วมสูงจึงไม่ค่อยเห็นกระทิง เก้ง กวาง หรือควายป่า อย่างที่ปุ๊กกี้คุยให้เราฟัง สงสัยคงได้กลับไปดูกระแดงในตู้แช่แทนแล้วล่ะ
ดวงตะวันจวนจะลับขอบฟ้า เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่ารัตติกาลกำลังคืบคลานเข้ามาเยือน แสงสีทองส่องประกายอยู่รำไรที่ปลายฟ้าทางทิศตะวันตก สะท้อนผืนน้ำเป็นเงาสีหมากสุกดูสวยงามแปลกตาน่ามอง สกุนาเจื้อยแจ้วบินกลับรังร้องเรียกหากันระงมป่าอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบเสียงลงพร้อมกับแสงสุดท้ายที่หายไปจากเส้นขอบฟ้า
เราหันหัวเรือกลับที่พักท่ามกลางความมืดมิดแห่งรัตติกาล ยังโชคดีที่บนเรือมีไฟฉายติดมาด้วย แต่ถึงกระนั้นก็อดเสียวไม่ได้ว่าเรือจะไปชนเข้ากับตอไม้ที่อยู่ใต้น้ำหรือไม่ อาศัยประสบการณ์ของคนขับเรือที่เป็นคนในพื้นที่และขับพานักท่องเที่ยวมาส่องสัตว์แถวนี้เป็นประจำ จึงชำนาญเส้นทางและพาเรากลับที่พักได้โดยสวัสดิภาพ
หลังมื้อเย็น.. เรากลับมานั่งรับลมชมวิวหน้าที่พัก เก็บบันทึกความทรงจำของคืนวันสุดท้ายบนแพ500ไร่ก่อนที่จะอำลาจากไปในวันพรุ่งนี้
แสงไฟจากโป๊ะด้านหน้า ส่องสะท้อนผิวน้ำราบเรียบนิ่งสงบราวภาพสะท้อนในกระจกเงา รอบบริเวณแพมืดสนิท เสียงเฮฮาของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ดังมาจากร้านอาหารตั้งแต่ตอนหัวค่ำเงียบลง เหลือเพียงเสียงร้องของแมลงป่าจากด้านหลังที่พักแว่วมาเป็นระยะ ผมนั่งมองเงาทะมึนของขุนเขาที่เรียงตัวโอบล้อมสายน้ำอยู่เบื้องหน้าจินตนาการถึงสิ่งลี้ลับใต้สายน้ำและในหุบเหวของภูเขา จนเผลอหลับไปบนเก้าอี้หน้าระเบียง..
............................................................................................................................
วันที่3ของการเดินทาง
สายลมเย็นยามเช้าปลุกผมตื่นจากเก้าอี้หน้าระเบียงขึ้นมารอรับอรุณแห่งวันใหม่ วันนี้ท้องฟ้าดูสดใสกว่าทุกวันที่ผ่านมา แสงสีทองกำลังส่องทาบทาขอบฟ้าเบื้องบูรพา หมอกสีขาวนวลลอยฟุ้งกระจายรายล้อมยอดเขาที่ตั้งตระหง่านเรียงรายอยู่ไกลลิบ
ดวงตะวันสีทองส่องแสงอุ่น
แดดละมุนกรุ่นละไมไอระเหย
เมฆสีนวลยวนเย้าเฝ้าชิดเชย
ลมลำเพยพัดถามไถ่ห่วงใยกัน
เสียงเครื่องยนต์จากเรือหางยาวแว่วดังมาแต่ไกล ก่อนที่ลำเรือจะตีโค้งมุ่งหน้าตรงไปยังท่าเทียบเรือ ของแพ500ไร่ ทิ้งสายน้ำสีเงินยวงเป็นเส้นยาวคดเคี้ยวคล้ายอนาคอนด้ายักษ์วิ่งไล่ตามอยู่เบื้องหลัง
เมื่อเรือวิ่งใกล้เข้ามาจึงรู้ว่าเป็นเรือของแพ500ไร่ ที่บรรทุกลูกเรือซึ่งเป็นพนักงานของแพ เพื่อมาจัดเตรียมอาหารมื้อเช้าสำหรับนักท่องเที่ยวที่ยังหลับไหลอยู่บนเตียงนอนอย่างแสนสุข
สำหรับผมแล้ว "ตื่นก่อน นอนทีหลัง" เป็นสโลแกนประจำตัวเสมอเวลาที่ออกต่างจังหวัด เพราะนานทีกว่าจะมีโอกาสออกมาสัมผัสธรรมชาติสวยงามเช่นนี้ จะต้องใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่าด้วยการตื่นแต่เช้ามาสูดอากาศบริสุทธิ์ และดื่มด่ำบรรยากาศรอบตัวให้เต็มอิ่ม
การตื่นแต่เช้าจึงเป็นนิสัยที่ติดตัวผมมาแต่ไหนแต่ไร เพราะมันทำให้ผมได้มองเห็นภาพวิถีชีวิตยามเช้าของผู้คนในแต่ละท้องถิ่นที่เดินทาง ทั้งยังได้เฝ้าดูแสงแรกแห่งวันที่ค่อยๆโผล่ขึ้นมาแต่งแต้มขอบฟ้าให้เป็นสีเงินสีทองอย่างสวยงาม ได้เห็นก้อนเมฆรูปร่างแปลกตาเรียงรายรอรับแสงอรุณยามเช้า ได้เห็นฝูงนกส่งเสียงเจื้อยแจ้วบินออกจากรังมุ่งหน้าสู่แนวป่าอันไกลโพ้น.. ภาพแห่งชีวิตที่สวยงามเหล่านี้..ได้บอกเล่าเรื่องราวของตัวมันเองผ่านช่วงระยะเวลาสั้นๆที่คนตื่นสายหลายๆคน จะไม่มีวันได้สัมผัสเช่นคนที่ตื่นเช้าอย่างเรา ..
ตะวันโผล่พ้นแนวเขาไปนานแล้ว แสงแดดอบอุ่นเริ่มแผดแสงแรงกล้าขึ้น หลังทำภารกิจส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้ว เราเก็บสัมภาระออกมารวมใว้ที่ร้านอาหารเพื่อเช็คเอาท์และนั่งทานมื้อเช้าไปพร้อมกับรอเรือที่จะมารับกลับเข้าสู่ฝั่ง
ผมใช้เวลาระหว่างนี้เดินเก็บภาพบรรยากาศรอบๆแพ และนั่งเฝ้ามองดูท่วงทำนองแห่งชีวิตของผู้คนบนสายน้ำที่กำลังเริงระบำตามจังหวะกระแสของเชี่ยวหลานที่กระเพื่อมไหวไปตามกาลเวลาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
หลังอาหารเช้ามื้อสุดท้านบนแพ500ไร่สิ้นสุดลง ก็ได้เวลาที่เราต้องโบกมือลาสายน้ำสีฟ้าครามสดใส บอกลาผืนป่าสีเขียวขจีที่ทอดตัวอยู่ด้านหลัง บอกลาเรือแคนูสีขาวแดงที่เคยพายล่องไปบนสายน้ำ มิตรภาพอันสวยงามที่ได้รับจากธรรมชาติและผู้คนที่นี่แม้จะเพียงชั่วข้ามคืนแต่ก็หยั่งรากลึกลงในความทรงจำของเราไปอีกนานแสนนาน
เงาสะท้อนผิวน้ำของแนวป่าและเรือนแพดูสวยงามกว่าทุกวันที่ผ่านมา คงเพราะวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆบดบัง ระหว่างที่เรานั่งเรือออกมาจากแพ500ไร่ ผมอดหันกลับไปมองอีกครั้งไม่ได้ ผมไม่ได้มองเพราะแค่จะจดจำหรืออำลา หากแต่มองเพื่อส่งรอยยิ้มและกระซิบบอกผืนน้ำแห่งนี้ว่าสักวันผมจะกลับมาเยือนอีกครั้ง..
หากสายน้ำเหมือนกาลเวลา คงเหมือนกันตรงที่สายน้ำและกาลเวลาไม่เคยหวนกลับ แต่สำหรับสายน้ำแห่งเชี่ยวหลานแล้ว มักจะซักพาให้ผู้คนที่ได้สัมผัสและหลงมนต์เสน่ห์ให้หวนกลับมาที่นี่อีกครั้ง ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจมีเรารวมอยู่ด้วย
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น