ย้ง ทรงยศ ห่วงเด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในสังคมโซเชียลมีเดียจะคุ้นเคยกับคนใช้คำว่าแรงบันดาลใจไปในเชิงกระแนะกระแหน

"ผมไม่คิดมาก เพราะสิ่งที่เขาพูดไม่เคยเป็นความจริง" ย้ง เปิดใจ กับข้อกล่าวหา "ลอก" คนอื่น

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์



เริ่มต้นจากกระทู้ กระทู้เดียวในเว็บไซต์พันทิป ที่มีผู้แสดงความสงสัยว่าเห็นทีซีรีส์ "ฮอร์โมนส์" จะลอกงานดังฝั่งอังกฤษ "Skins"

หลังจากนั้นฝั่งสนับสนุนก็มาตำหนิ แถมขุดงานเก่าของ ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์ ผู้กำกับดัง ซึ่งรับหน้าที่โปรดิวเซอร์ซีรีส์นี้ ที่เคยถูกกล่าวหาในลักษณะเดียวกันมาตอกย้ำ ขณะฝั่งเห็นต่างก็ว่า นี่เป็นเพียงงานจากแรงบันดาลใจ ซึ่งย้งพูดไว้ชัดตั้งแต่ก่อนทำซีซั่น 1 ด้วยซ้ำ

ถกกันไป แย้งกันมา ก่อนจะร้อนฉ่าทันทีที่มีข้อความปรากฏในทวิตเตอร์ Songyos Sugmakanan ว่า "ผมขอชวนคนตั้งกระทู้นี้ และคนที่เห็นว่า Hormones ก๊อบปี้ Skins มานั่งคุยกับผมปิงและทีมบท"

ด้วยถูกมองเป็นการกระทำที่ท้าทาย เพราะเหลิงกับความสำเร็จ จนไม่รับฟังความเห็นของคนอื่น

จริง-เท็จ อย่างไร นี่คือความในใจที่เจ้าตัวตีแผ่ให้พิจารณา

"ผมทำงานมา 10 ปี ตั้งแต่เรื่องแรก แฟนฉัน ก็โดนเคสก๊อบปี้ โดราเอมอน เด็กหอ ก็ The Devil′s Backbone ซึ่งที่ผ่านมาเราพยายามสงบเจียมตัว เพราะคนที่ทำงานตรงนี้มันยากที่จะแสดงท่าที"

ด้วยรู้ดีว่า "ถ้าเราจะแสดงความรู้สึก แสดงความเห็นจริงๆ คนก็จะไปตีความมากมาย แล้วเราก็จะถูกเตือน ว่าต้องรู้จักวิธีวางตัว

"จนผมโดนทุกเรื่อง

"ไม่ว่า ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น ที่ถูกนำไปเปรียบกับ Love Actually, เอ็มวีเพลง เศษส่วน ที่ทำให้วง Getsunova ที่บอกว่ามาจากหนังไต้หวัน Blue Gate Crossing ซึ่งหลายๆ ครั้งเราได้อธิบายไปแล้ว

"คือ ฮอร์โมนส์ ก็อย่างที่บอก แฟนฉัน กับ เด็กหอ นั้นไม่ใช่ ส่วน ปิดเทอมใหญ่ฯ กับ เศษส่วน เป็นการนำบางฉากของงานดังกล่าวมาใช้ เนื่องเพราะชอบมาก หากก็เป็นนำมาแบบต่อยอด ซึ่งก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการ ได้แรงบันดาลใจ?



อย่างไรก็ดี พอเกิดกรณีนี้ ก็ยังมีคนไปขุด จนเขารู้สึกว่าน่าจะต้องแก้ปัญหานี้เสียที

"ซึ่งผมรู้สึกว่าวิธีแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ผมคงไม่กลับไปแก้คนที่มีอคติ ที่พอเห็นล็อกอินก็รู้ว่าตามด่ามาตั้งแต่ต้น แต่ที่อยากชวนมาคุย เพราะเป็นห่วงเด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในสังคมโซเชียลมีเดีย ที่จะคุ้นเคยกับคนใช้คำว่าแรงบันดาลใจไปในเชิงกระแนะกระแหน จนคิดว่านั่นเป็นการไปลอก ทำให้เด็กไม่เข้าใจ ว่าจริงๆ แล้วแรงบันดาลใจมีอยู่จริง แล้วทุกครั้งที่ไปเห็นอะไรแล้วมันบันดาลใจ จะไม่กล้าไปต่อในทางความคิดสร้างสรรค์ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมกลัวมาก"

"แล้วสังคมโซเชียลมีเดียเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ คนเริ่มด่าตามน้ำโดยอ่านไม่จบ อ่านไม่ครบความ อ่านไม่จับประเด็น ล่าสุดเราถกกันเรื่องลอกเลียนและแรงบันดาลใจ ผมชวนทุกคนออกมาพูดคุยเพราะผมและทีมงานถูกกล่าวหา เลยอยากชี้แจง ที่ผ่านมาผมพบว่าการชี้แจงและอธิบายในสื่อโซเชียลไม่สามารถตอบทุกคำถามได้อย่างชัดเจน เพราะคนจะฟังไม่จบ ไม่ครบ แล้วเอาไปเสนอ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดเต็มไปหมด

"เลยรู้สึกว่าควรจะออกมาคุยเพื่อทำความเข้าใจ

"อีกอย่างอยากคุยแบบเห็นหน้า ด้วยเหตุผลว่า อยากให้คนที่มีความคิดเหล่านี้รับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาแสดงความคิดเห็น ผมมองไม่เห็นมุมที่จะนำไปสู่การท้าทาย หรือให้เขามาโดนรุม

"เจตนาผมบริสุทธิ์" ย้งยืนยัน

ส่วนเรื่องที่ถูกมองว่าเหลิง จนไม่ฟังคำคนอื่นนั้น

"ผมฟังทุกคน ไม่ว่าจะชม จะติ" ย้งว่า

"เพราะการที่ฮอร์โมนส์ 1 ประสบความสำเร็จเป็นเพราะเราฟังความเห็นคนเพื่อเอามาปรับแก้ ฟีดแบ๊กของคนในทวิตเตอร์เป็นฟีดแบ๊กที่ทำให้ผมได้เรียนรู้และเติบโตจากการทำฮอร์โมนส์มาจนถึงตรงนี้

"ผมยังบอกมาตลอดว่าต่อให้ชอบหรือไม่ชอบซีซั่น 2 ผิดหวัง หรืออะไรก็ตาม อย่าเพิ่งเลิกคอมเมนต์เรานะ

"แต่วันนี้คนเข้าใจผิด ว่าวิจารณ์ฮอร์โมนส์ไม่ได้

"ซึ่งเป็นคนละเรื่อง

"เราพูดว่าถ้าคุณบอกว่าเราลอก เราอยากอธิบายให้คุณเข้าใจ แต่สิ่งที่คุณพูดมามันต้องทำความเข้าใจเชิงลึก ซึ่งผมเชื่อว่าต่อให้พิมพ์ พิมพ์ 5,000 ข้อความก็ไม่พอ แต่ถ้ามาคุย คำพูดไหนที่ไม่เข้าใจกัน เราก็ลงดีเทลนั้น"

กับหลายสิ่งที่โดนวิจารณ์ ย้งยอมรับว่าเขาเองก็มีความรู้สึก

"ถ้ามาเป็นมุมผม คุณจะเห็นว่ามีความคิดเห็นจากคนที่ไม่รับผิดชอบต่อความคิดเห็นเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการพูดจาที่ไม่ให้เกียรติคนทำงานใดๆ ก็ตาม แต่ขณะเดียวกันกลับเรียกร้องให้เราแสดงความคิดเห็นแบบให้เกียรติเขา

"ซึ่งผมรู้สึกว่าผมทำดีที่สุดแล้ว

"และผมรู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว ที่เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป แบบที่พอมีคนมาบอกว่าเราลอก เราก็เงียบๆ ซะ มันก็จะไม่เกิดเรื่อง ซึ่งจริงๆ ถ้าเงียบๆ ไปมันก็ไม่เกิดเรื่องหรอกฮะ" เขาเองก็บอกแบบ "รู้"

"จะเห็นได้ว่ามีศิลปินน้อยคนมากที่จะออกมาอธิบาย เพราะมันไม่คุ้ม

"มันเป็นอย่างที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ คือออกมาแล้วมีแต่เสียกับเสีย

"แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้เอดดูเคทคน แล้วจะทำให้เด็กในวันนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สักแต่จะสรุปอะไรแบบที่ไม่รับผิดชอบก็ได้"

และระหว่าง "แรงบันดาลใจ" กับ "การลอกเลียน" ในความเห็นของเขา ย้งว่า "การลอกก็คือการก๊อบปี้ ถ้าตัวละครมีนิสัย พฤติกรรม ลักษณะครอบครัว คอนฟลิคในใจ เหตุการณ์ที่เป็นไคลแมกซ์เหมือนกัน นั่นคือการก๊อบปี้"

แต่ที่เขาทำมา ไม่ว่าเรื่องไหนก็ไม่เข้าข่าย

"ตอนนี้หลายคนเป็นห่วง ถามเครียดไหม กลัวไหม แต่ครั้งนี้ผมตื่นเต้นน้อยที่สุดแล้วนะ" เขาบอกพลางยิ้มน้อยๆ

เพราะครั้ง "แฟนฉัน" กับ "เด็กหอ" ซึ่งถือเป็นประสบการณ์แรกๆ รู้สึกแย่กว่านี้เยอะ

"ถึงวันนี้ผมรู้สึกว่าเราทำสิ่งที่บริสุทธิ์ใจไปให้เต็มที่"

อย่างอื่นจึงไม่มีอะไรต้องกลัว

กับการที่ "โดนบ่อย" ย้งก็ว่า "จริงๆ แทบทุกคนก็โดน

"แต่ผมมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำ


"สิ่งหนึ่งที่ผมเป็นเสมอมา แต่ผู้กำกับบางคนอาจไม่เป็น คือเวลาคิดงานขึ้นมา กำลังจะถ่ายทอดออกไป แล้วมีคนบอกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ใกล้เคียง สำหรับผม ผมไม่ติด ผมจะทำอยู่ดี เพราะเชื่อมั่นว่ามันมาจากตัวเอง"

ดังนั้น "ทำไมต้องให้สิ่งที่มีอยู่แล้ว มาบอก

ให้เราทำอะไรไม่ได้ ซึ่งมันไม่แฟร์กับตัวเรา

"ผมก็จะดิ้นรนทำ เพราะต่อให้คนไม่เชื่อในตัวผม ผมก็เชื่อในตัวเอง ผมนอนหลับอยู่ดีฮะ เพราะผมไม่ได้โกหกตัวเอง แล้วที่ผมไม่คิดมาก เพราะผมรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมา มันไม่เคยเป็นความจริง"

และสำหรับคุณๆ ทั้งหลาย

"ผมไม่อธิบายใดๆ นะ แต่ผมแนะนำว่าให้ไปหามาดู

"คือผมรู้สึกว่าถ้าผมบอกว่าไม่ได้ลอก ก็อย่าเชื่อผมซิ ขณะเดียวกันถ้ามีคนมากล่าวหาว่าผมลอก ก็อย่าเพิ่งเชื่อเขาได้ไหม ทำไมไม่ลองไปดูหนังเรื่องนั้นๆ แล้วใช้วิจารณญาณตัวเอง"

ส่วนเรื่องที่เชิญชวนคนให้เข้ามาพูดคุย ย้งว่า ที่ติดต่อมามีแต่คนที่เข้าใจเขาแล้วอยากมาฟัง ขณะที่ฝั่งซึ่งเห็นว่าลอก มีผู้หญิงคนหนึ่งสอบถามมา แต่ก็ยังไม่ได้แจ้งเจตจำนง ซึ่งเขาเองก็รออยู่

"ผมอยากคุยด้วยจริงๆ" ย้งว่า

"เพราะที่ผ่านมาผมก็คิดว่าจริงๆ ผมเคยพยายามพูดกับเขาแล้วหรือยัง"


ที่มา นสพ.มติชน


http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1409215330
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่