...ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ จะเริ่มจากตรงไหน หนทางมันมืดมนไปหมดทุกด้าน ทุกอย่างมันดูเหมือนมาถึงทางตันแล้ว... ผมคิดและพยายามทำทุกหนทางเพื่อให้อยู่รอด เพื่อประคับประคองชีวิตที่ดิ่งลงจนตกต่ำสุดๆ ไม่เคยคิดเลยว่าวันนึงผมแทบจะไม่เหลืออะไร... ไม่มีแม้เงินที่จะซื้อข้าวกิน ทั้งตัวเหลืออยู่ไม่ถึง 100 บาท ใช่ครับ.. มีเท่านั้นจริงๆ ที่ผมมาโพสข้อความอะไรแบบนี้ ผมรู้ครับ และ ผมก็คิดแล้ว คิดมามาก หลายๆอย่าง หากถามผมว่ามาโพสแบบนี้ทำไม.. มาโพสแบบนี้เพื่อ..? คำตอบของผมคือ.. "ผมหวังว่าอาจมีใครสักคนจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ผมบ้าง เผื่อผมอาจได้โอกาศเริ่มต้นอีกครั้ง เผื่อผมอาจโชคดีมีที่พึ่ง เผื่อปาฏิหาริย์อาจเกิดขึ้นกับผมสักครั้งก็ยังดี.. แม้สิ่งนั้นจะไม่เคยเกิดเลยก็ตาม.. " ถามว่าทำไมถึงไม่ให้ที่บ้านช่วยเหลือล่ะ ญาติพี่น้องไม่มีเหรอ? ..สิ่งเหล่านั้นเคยมีครับ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีอีกแล้ว คนๆเดียวที่เหลืออยู่นั้น คือ น้องชายสายเลือดเดียวกันที่เพิ่งมีครอบครัว มีลูกวัยขวบเศษๆ ที่กำลังน่ารัก มีภาระที่มากไม่ต่างกัน ผมรุ้ว่าน้องก็ไม่มีจะช่วยเช่นกัน เพราะบางครั้งช่วงใกล้สิ้นเดือนยังมาพึ่งพาผมด้วยซ้ำ ผมก็ต้องหาให้ไม่ว่าจะเบิกเงินเดือนล่วงหน้า เอาของไปจำนำ หรือ หยิบยืมคนอื่นต่ออีกที.. แม่ของผมจากไปจะครบ 2 ปีแล้ว ส่วนพ่อนั้น 14 ปีแล้วครับ เพราะอย่างนั้นผมจึงมีเพียงสองคนพี่น้องที่ต้องช่วยๆกันไป.. ทุกอย่างมันไม่ได้แย่ซะทีเดียวในตอนแรก.. แรกเริ่มเดิมทีนั้น ก็ไม่มีอะไร หาเช้ากินค่ำ ทำงานไปวันๆตามแบบของมนุษย์เงินเดือนทั่วไป..จนปีนี้ช่วงต้นปีมันก็เริ่มขึ้น ปัญหานั้นเกิดจากงานที่ทำอยู่เกิดปัญหาทางการเงินเพราะเป็นบริษัทที่อยู่ในรูปแบบธุรกิจในครอบครัว บริษัทไม่มีเงินทุนมาหมุนเวียน เงินเดือนเริ่มออกช้า เลทบ้างจากวันสองวันเป็นหลายวันหน่อย จนถึงขั้นออกให้แต่เงินเบิกอาทิตย์ละครั้ง จนไม่พอใช้ในที่สุด.. ค่าห้องพักที่ทางบริษัทเคยออกให้พนักงานก็เป็นอันยุติ ต้องจ่ายเอาเอง และสุดท้ายแล้วเถ้าแก่ก็กลับไปทำธุรกิจเดิมคือซื้อมาขายไป เป็นการจบบทบาทของผู้ผลิตและจำหน่าย นั้นแปลว่าลูกน้องส่วนใหญ่นั้นไม่จำเป็นอีกแล้ว พูดง่ายๆก็คือตกงานนั่นเอง เหลือจ้างแค่คนยกของที่เอาแค่พม่าสองคนเท่านั้น ที่สำคัญบริษัทนี้ไม่มีการให้เงินเดือน คิดเป็นรายวันเท่านั้น เดือนไหนหยุดเยอะ งานเข้าทันที อยู่มา2ปีกว่าจะ3ปีก็ยังได้รายวัน ทุกคนเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะคนเก่าแก่ที่อยู่มาไม่ต่ำกว่า6-7 ปีก็ไม่เว้น.. แล้วทำไมไม่ออกไปหางานใหม่ล่ะ.. เพราะผมได้งานที่ดีครับ(ถ้าไม่เจ้งซะก่อน) ผมทำงานถึงจะได้รายวันแต่ก็ชดเชยด้วยอัตราที่มาก และเงินขึ้นไวตามผลงาน โดยผมทำเกี่ยวกับงานออฟฟิต ตั้งแต่เอกสาร ประสานงาน กราฟฟิค เว็บไซต์ ออกหน้างานคุยกับลูกค้า หลายอย่างมาก (ยกเว้นเรื่องเดียวคือบัญชีที่ผมทำไม่เป็น มีพี่ผู้หญิงที่เป็นหัวหน้าทำอยุ่คับ) เรียกว่าสารพัดประโยชน์ ตามแบบที่เถ้าแก่ชอบมาก ตรงที่ใช้แบบคุ้มค่า และผมก็กำลังจะได้ปรับเงินเพิ่มอยู่พอดี แต่ก็มามีปัญหาซะก่อน.. เถ้าแก่บอกกับผมว่า "เฮียเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แต่เค้าก็แบกรับภาระรายจ่ายต่อไปไม่ไหวเช่นกัน ในเมื่อรายได้มันสวนทางกับรายจ่ายอยุ่แบบนี้ คงเข้าใจเฮียนะ..." คับผมเข้าใจเพราะผมเองก็เป็นเช่นกัน ผมตอบไปแบบนั้น เป็นอันว่าต้องหางานใหม่.. เงินชดเชยเหรอ? ไม่มีหรอกครับ อย่างที่บอกไปธุรกิจในครอบครัว เอาอะไรมาก แม้แต่ประกันสังคมยังได้เป็นบางคนเลย.. ที่ผมยอมทำอยู่ที่นั่นนอกเหนือจากเรื่องงานและเงินที่ค่อนข้างเหมาะสมกับหน้าที่นั้นแล้ว จริงๆยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง ที่เป็นจุดสำคัญเลยก็ว่าได้.. นั่นคือ "แฟน" ครับ หากถามว่าแปลกตรงไหนกับการที่มีแฟนหรือเอาแฟนมาทำที่เดียวกัน.. ไม่แปลกหรอกคับ เพียงแค่ว่าแฟนผมนั้น "เป็นผู้ชาย" ถูกแล้วครับ ผมเป็นเกย์ และ แฟนผมก็อายุน้อยกว่าผมถึง 10 ปี แฟนผมเพิ่งจะอายุย่าง20เอง... และ เค้าก็คือคนที่เป็นแรงใจให้ผมมาโดยตลอด ถึงเค้าจะเด็กกว่าแต่ด้วยวัยที่ต้องลำบากมาแต่เด็กทำให้วุฒิภาวะสูง เป็นผู้ใหญ่เกินตัว มากกว่าผมเสียอีก.. เค้าตัวสูงมากๆ น่าจะเกือบ 2 เมตร ได้ ( ผมสูงแค่ 179 เอง) เค้าเป็นเด็กที่ตัวใหญ่มาก จะเรียกว่าอ้วนก็คงได้แต่เพราะสูงเลยดูไม่อ้วนออกข้าง (เหมือนกอลิล่าเลย) ผิดกับผมที่ผอมๆ เวลาไปไหนด้วยกันคนมักเข้าใจว่าเขาเป็นพี่ผมด้วยซ้ำ นั่นทำให้เวลาสมัครงานส่วนใหญ่มักรับแต่ผม ในขณะที่แฟนผมไม่ผ่าน โดยให้เหตุผลว่าคนอ้วนเหนื่อยง่าย ไม่คล่องตัว คือเขาพูดแบบดูดีนะครับ แต่ความหมายโดยรวมสรุปออกมาก็ประมาณเดิม แค่พูดให้ไม่น่าเกลียดเท่านั้นเอง.. มีเพียงที่นี่ที่เดียวที่รับผมสองคนพร้อมกันโดยบอกว่า ดูที่ฝีมือเท่านั้น อย่างอื่นไม่ใช่ปัญหา.. เพราะคำนั้นผมจึงอยู่ที่นี่มาตลอด และภรรยาของเฮียนั้นก็ดีมากเช่นกัน เป็นกันเอง ทำอาหารมาเลี้ยงบ้างในบางวันตอนมื้อเที่ยง แม้รสชาติอาจแปลกๆเพราะเจ๊แกทำไม่ค่อยเก่ง หรือ เพราะ อาหารจีนแปลกๆรสชาติไม่คุ้นลิ้นก็ไม่รู้ แต่แกก็ชอบทำมากและ แอบเอามานั่งทานด้วยกันกับพวกผม (ออฟฟิตมี 3 คนเอง ผม แฟน กะพี่บัญชี) โดยแอบเฮียเอามาให้ตอนเฮียไม่อยู่.. แต่ตอนนี้คือผมต้องเริ่มใหม่หมด ต้องเริ่มจากศูนย์อีกครั้ง ภาวะหางานไม่ได้ เงินที่มีก็ค่อยๆหมด แม้จะยื้อด้วยการขายทุกอย่างที่พอจะขายได้ ก็แค่ยืดเวลาออกไปเล็กน้อยเท่านั้น.. จนถึงตอนนี้ในเวลานี้ที่ไม่รู้จะทำยังไงต่อดีแล้ว.. เมื่อคืนก่อนนั้น คืนที่เป็นสาเหตุให้ผมคิดที่จะลองทำให้ถึงที่สุด ทำทุกวิถีทาง ทำทุกอย่างที่ยังพอมีความหวัง ก็เพราะผมไม่เหลือเงินพอที่จะซื้ออะไรเลย มีแต่เศษๆที่กะไว้ใช้หากฉุกเฉินจริงๆยังพอโทรหาใครได้บ้าง คืนนั้นผมกับแฟนจึงนอนกันทั้งที่ไม่ได้กินข้าว ผมยังคงนั่งอยู่ริมเตียงในห้องสลั่วๆจากไฟข้างนอกที่ส่องเข้ามา ผมนอนไม่หลับ คิดซ้ำไปซ้ำมาแค่ว่า จะทำยังไงดี จะทำอย่างไร จะหาเงินจากไหนมาตั้งหลัก แค่จะก้าวเท้าออกไปไหนก็ต้องใช้เงินแล้ว ไหนจะค่ารถ ค่ากิน ค่าโทรถามงานว่ารับสมัครหรือเปล่า ยังรับอยู่ไหม ก็หลายบาทแล้ว ถ้าได้งาน ยังจะต้องอยู่อีกเป็นเดือนกว่าเงินจะออก จะทำไงดีล่ะ จะเอาที่ไหนดี ไม่มีอะไรจะขาย ไม่มีใครจะให้ยืม ไม่มีใครพอจะช่วยได้... จะทำไงดี... ท้อมากๆหากแต่ว่ากำลังจะถอยอยู่แล้ว ก็เหมือนมีสิ่งหนึ่งที่ช่วยผมไว้.. แฟนผมที่นอนอยู่แต่หันหลังให้ผมบ้าง นอนหงายบ้าง พลิกไปพลิกมา นอนไม่หลับ แต่ก็ยังนอนหลับตาอยู่.. ในห้องเงียบไม่มีเสียงอะไร มีเพียงอย่างเดียวที่ผมได้ยินชัดเจนคือเสียงท้องร้อง.. ไม่ใช่ผมหรอกครับ แต่เป็นแฟนผม ผมเลยเวลาทานก็ไม่หิวแล้ว แต่แฟนผมก็ตามแบบคนอ้วนน่ะครับ กินเยอะหน่อย และหิวบ่อย.. หากเป็นเวลาปกติที่ยังไม่มีปัญหาที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ผมคงหัวเราะและแซวว่า "ได้เวลาให้อาหารฮิปโปแล้วสิเนี่ย" แล้วก็ออกไปหาซื้อของกินกัน แต่ในเวลานี้มันไม่ใช่เลย ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หรือ ตลกใดๆ มันคือความจริงที่เรากำลังอดอยู่ เรากำลังปล่อยให้แฟนเราหิวอยู่ เราดูแลเขาไม่ดีพอ.. หากเป็นที่บ้านเขาๆอาจจะอยู่ดีกว่านี้ก็ได้.. (ถึงบ้านเขาจะไม่ได้มีมากมายอะไรและคงลำบากไม่ต่างกันเนื่องจากมีคนทำงานเลี้ยงครอบครัวแค่คนเดียว ผมเคยถามเขา เขาบอกว่าถ้ากลับไปอยู่บ้าน แถวบ้านเขางานให้ทำมีน้อย เนื่องจากเป็นต่างจังหวัด เขาจะกลายเป็นภาระให้กับที่บ้านเขา เขาจึงมาหาผมและมาทำงานอยู่กับผมที่กรุงเทพทุกวันนี้ครับ) ผมสงสารเค้ามากๆยิ่งได้ยินเสียงท้องเขาที่ทนนอนหิวยิ่งรู้สึกผิด รู้สึกว่าชีวิตล้มเหลวแล้ว จะให้แก้ยังไงก็คิดไม่ออก.. น้ำตาผมไหลออกมา ไหลออกมาเรื่อยๆ พยายามเก็บเสียงไม่ให้เขาได้ยิน.. แต่เขายังไม่ได้หลับและคงจะได้ยิน สักพักเขาก็หันมาและถามผมว่า "ยังไม่นอนอีกเหรอ.. ตัวเองเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม" ผมไม่ตอบมีเพียงเสียงสะอื้น และ น้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุด ยิ่งถามก็ยิ่งไหลจนหยุดไม่ได้.. เขาลุกขึ้นมานั่งและดึงผมเข้าไปกอดไว้ และถามผมอยู่หลายประโยค เช่น "ตัวเองเป็นอะไรบอกผมสิครับ" "คุณ.. ร้องไห้ทำไม ไม่เอาน่า อย่าร้องดิ" และ อีกสารพัดเพื่อให้ผมหยุด และ เช็ดน้ำตาให้ผม.. ไม่มีคำตอบใดๆจากผมเลยเป็นเวลาพักนึง จนผมรู้สึกดีขึ้น ผมจึงบอกเขาไปว่า " ผมขอโทษนะ ผมทำให้คุณต้องอด ผมทำให้คุณต้องหิว ทำให้คุณไม่มีอะไรกิน ทำให้คุณต้องมาลำบาก ผมขอโทษจริงๆ" พอพูดออกไปแล้วความเสียใจมันก็กลับมาอีก น้ำตาผมไหลลงมาอีกครั้ง.. แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมกลั้นน้ำตาและเสียงสะอื้นไว้ต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว คือคำพูดจากผู้ชายคนนึงที่อายุน้อยกว่าผมถึง 10 ปี และผมไม่คิดว่าจะได้ยิน หรือ คาดหวังว่าจะได้จากคนที่อายุห่างกันแบบนี้... "ผมรักคุณมากนะ.. คุณรู้ไหม.. ผมไม่รู้หรอกว่าคุณจะเชื่อผมรึเปล่า แต่ผมยอมได้หมด แม้แต่ตายผมก็ยอมแทนคุณได้ ให้ผมต้องอด ให้ผมต้องหิว ไม่มีอะไรกินผมก็ทนได้ สิ่งเดียวที่ผมทนไม่ได้คือเห็นคุณมีน้ำตา" นั่นคือคำที่เขาบอกผม.. มันสะเทือนใจจนผมอดร้องให้ไม่ได้.. เขากอดผมแน่นขึ้น ลูบหัวผมและพูดต่อ.. " ผมไม่เคยโกรธคุณเลย สักนิดก็ไม่มี.. ตอนคุณมีเงิน คุณประเคนให้ผมทุกอย่าง ไม่เคยให้อด งานบ้านทุกอย่างคุณก็ทำให้ผมตลอด ผมไม่ช่วยทำคุณก็ไม่เคยบ่นผมเลย ผมทำตัวไม่ดีขี้เกียจคุณก็ไม่เคยว่า แล้วอย่างนี้ผมจะโกรธคุณได้ยังไง.. ผมไม่ทิ้งคุณไปไหนหรอก.. เราจะผ่านมันไปด้วยกันนะ ฟ้าหลังฝนมันสวยนะ เราจะยืนดูมันด้วยกันนะครับ" มันอาจฟังดูแล้วน้ำเน่าแต่ในตอนนั้น ตอนที่ผมกำลังจะถอย.. เขาคือคนเดียวที่ดันผมไว้ บอกผมว่าสัญญากับเขานะ ไม่ว่าจะเกิดอะไร ห้ามคิดสั้น ยังไงคุณก็ยังมีผมอยู่นะ... นั่นคือเหตุผมที่ผม ยอมทำทุกอย่าง แม้กระทั่งการที่ผมมาโพสแบบนี้ เขาก็ไม่รู้ ผมคิดแล้ว อย่างที่บอกตอนแรกว่าคิดมาเยอะ ทางไหนที่พอช่วยได้ พอเห็นแสงรำไรผมก็จะทำ ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่า ต้องมีคนดูถูก.. ต้องมีคนว่าผมทำเหมือนขอทาน.. ต้องมีคนว่าผมอีกมากมาย.. ผมก็ยอมที่จะทำและพร้อมรับผลนั้น.. ผมแค่ลองดูเผื่อมันอาจช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อย.. ผมคิดว่า หากไม่น่าเกลียดจนเกินไปนัก ขอให้คิดว่าเรื่องในชีวิตผมนี้เป็นเหมือนประสบการณ์ชีวิตจริงที่ผมจะนำมาถ่ายทอด เพื่อแลกกับการช่วยเหลือผมบ้างตามความสมัครใจ ผมไม่บังคับ ผมไม่เรียกร้องว่าต้องให้ผมนะ คนที่อ่านแล้วเข้าใจ เห็นใจ สงสาร เวทนา สมเพท ว่าผมหน้าด้าน หรือ อะไรก็แล้วแต่.. ผมไม่โกรธ.. อย่างน้อยผมก็มีความเป็นคน รักศักดิ์ศรีเหมือนกัน ผมไม่อยากถูกมองว่าเป็นขอทาน ผมจึงแลกด้วยเรื่องราวชีวิตของผมแทนครับ.. จะช่วยหรือไม่นั้นแล้วแต่ความสมัครใจครับ.. "ศักดิ์ศรีสำหรับผม.. มีได้ครับ แต่หากเพื่อคนที่ผมรักและรักผมแล้ว.. ผมยอมทิ้ง ผมยอมสละได้ แม้ต้องโดนดูถูกผมก็ยอม" สำหรับคนที่อยากช่วยผม สมัครใจที่จะช่วยผมจริงๆนะครับ ผมชื่อ ศิริวัฒน์ ครับ เลขที่บัญชี " 890-2-07032-0 " สาขา บางขุนเทียน-ชายทะเลครับ สุดท้ายนี้... "หากผมผ่านพ้นมรสุมนี้ไปได้ ผมจะมาเล่าทุกอย่างทั้งหมดครับว่า จากจุดเริ่มต้นที่คบกันตลอดจนถึงปัจจุบันนี้ วันที่ 25 เดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ก็ครบ 5 ปีแล้วครับที่ผมกับแฟนอยู่ด้วยกัน ...คบกันมาได้นานขนาดนี้ ก็ไม่แปลกที่มีหลายคนที่ถามผมว่าประมาณว่า "นานจัง?" "เกย์ไม่น่าจะคบกันได้นานแบบนี้นะ" "แล้วรู้จักกันได้ไงล่ะ?" ... ผมตอบแบบภูมิใจมากเลยครับว่า " เกมส์ออนไลน์ครับ เกมส์แนวดนตรีเกมส์นึงที่ให้บริการแค่ปีเดียว แล้วก็ชิ่งปิดไป" ใครจะบอกว่าหารักแท้ในโลกออนไลน์ไม่ได้ ไม่มีอยู่จริง ผมไม่รู้ครับ.. ผมรู้แค่ว่าผมเป็นหนึ่งคนที่หาเจอครับ..." ขอบคุณครับ...
หากปาฏิหาริย์มีจริง ผมขอสักครั้งก็พอ...