เป็นกระทู้ที่อยากบ่นนิดๆ มองย้อนตัวเองทำนองนั่น
เลยคิดเรื่องความฝันตัวเอง ตอนอนุบาล 2 ฝันอยากเป็น "แคชเชียร์" ตามห้าง .....
ความฝันเด็ก หลายอาจมองว่าแปลก แต่หากได้ใกล้ชิดกับเด็กๆ คุณจะรู้ว่ามันไม่แปลกเลย
ความฝันของเด็กแต่หละคนช่างง่ายดาย มองอะไรง่ายๆ มองเห็นจากสิ่งที่ตัวเองชอบ อยากทำแบบนี้
อยากลองทำแบบนี้สักครั้ง อะไรทำนองนี้
อยากให้ลองมองย้อนกลับไปหาอดีตของตัวคุณเอง ตอนเด็กอยากทำอะไรมากที่สุด
อยากเป็นแคชเชียร์เพราะ
- แต่งตัวสวย!! ใส่รองเท้าส้นสูง
- ได้กดไอ้ที่ดีดๆนั่นทั้งวันเลย
- ได้เงินด้วย จับเงินตลอดเวลา คุมอำนาจทางการเงิน เข้าใจว่าคนต้องมาซื้อของตลอด จ่ายตังค์ให้ ดูรวย
- สมัยนั่นดูไฮมาก เพราะเครื่องอิเล็กทรอนิกต่างๆไม่ค่อยมี งานอื่นไม่เห็นได้ใช้พวกเครื่องทันสมัยเลย ไอ้นี้แหละทันสมัยสุดแล้ว
เหตุผลง่ายๆของการอยากทำแคชเชียร์ตามห้าง ช่างง่ายดายเหลือเกิน
โตมาป.1 อยากเป็นครู
อันนี้จริงจังมากมาย ถึงขนาดว่ามีต้นแบบคนที่ชอบและอยากจะทำให้ได้แบบนั่นกันเลยทีเดียว
ด้วยความที่เกิดความผิดพลาดทางจังหวัดอยากให้นักเรียนเข้าเรียนในชั้นประถมให้ได้ตามจำนวนที่รัฐบาลกำหนดเลยส่งจดหมายมาให้ที่บ้านว่า ตัวเองถึงเกณฑ์ที่จะเข้าเรียนป. 1 ได้แล้ว ทั้งๆที่ตอนนั่นเรียนแค่อนุบาล 2 เท่านั่น ไม่เข้าใจเลย พ่อกับแม่เลยพาไปสมัครเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน แล้วก็ถูกปฏิเสธมาตามระเบียบเพราะอายุไม่ถึงเกณฑ์ แต่พอยืนจดหมายดังกล่าวให้ โรงเรียนก็ต้องรับเข้าทันที ไม่มีข้อแม้
มาอยู่ห้อง ป.1/3 แหมมม มันช่างดีจริงๆ เพื่อนก็มาจากอนุบาลที่เป็นรุ่นพี่จากโรงเรียนอนุบาลเก่าก็เยอะ
น่ารักๆทั้งนั่น คุณครูก็ยังสาว ท่าทางใจดี แต่เริ่มไม่ใจดีตอนที่เรียนอ่านหนังสือ
เพราะตอนที่เจ้าของบลอคได้เข้าเรียนป.1 นั่นอยู่อ.2 เลยไม่ได้เรียนอ่านเขียนแบบคนอื่นเค้า
ทั้งที่เพื่อนทั้งห้องเค้าก็อ่านกันได้หมดแล้ว เอาละสิ คราวนี้ "งานเข้า"
คุณครู "รุ้งตะวัน" อาจารย์ประจำชั้นต้องทั้งดุ ทั้งตี ทั้งเรียกมาพบที่ห้องทุกวันหลังเลิกเรียน
ทำแบบนี้หลายเดือน ไอ้เราก็ท้อแต่ไม่เคยบอกแม่ อยากร้องไห้ว่าทำไมคุณครูแกล้งหนูที่โรงเรียน
แต่ก็รู้ว่าเพราะตัวเองอ่านไม่ได้ คุณครูเลยเรียนอ่านบ่อยมาก แล้วก็ให้อายเพื่อนๆตลอด
โดนตีตลอด ไม่มีว่าเรียนภาษาไทยคราวไหนที่อาจารย์เรียกแล้วจะไม่มีชื่อของเรา
ต้องมีชื่อตลอด แล้วก็ต้องออกไปยืนหน้าห้อง ให้ครูตีตลอด แต่ไม่เคยคิดเกลียด "ครู" คนนี้เลย
ในขณะที่ครูเรียนเข้าไปพบ เราทั้งคู่ก็ได้ใกล้ชิดกัน ได้รู้ว่าอาจารย์รักเรามาก เอ็นดูตลอด
หากไม่มีคุณครู "รุ้งตะวัน" คนนี้ก็อาจจะไม่อ่านออกเขียนได้คล่องเหมือนๆคนอื่นเค้า
ผลของการที่อาจารย์หมั่นเพียรสอนทำให้สอบเทอมที่ 1 สอบได้ติด 1-10 ของห้อง ตอนเห็นผลประกาศก็งง!
ความฝันอย่างที่ 2 เลยอยากเป็น "ครู" ช่างเป็นความฝันที่เบสิคมาก หาได้ทั่วไปตามเด็กประถมที่เจอครูน่ารักก็จะหลงรักแต่สำหรับเรา ไม่ได้เจอครูที่น่ารักแต่เจอครูที่เข้มงวดเพื่อให้เราได้ดีต่างหาก มันเลยแตกต่างกัน
อยากเป็นครูเพราะ...
- อยากสอนคนที่ไม่รู้ให้ได้รู้เหมือนคนอื่นๆ
- อยากเป็นครูที่ใจดี
- อยากให้ทุกคนอ่านออกเขียนได้ ไม่มีใครเก่งแต่กำเนิดทุกคนต้องได้รับการฝึกฝนเอาใจใส่ทั้งนั่น
- อยากเป็นแบบคุณครู "รุ้งตะวัน" ที่มีลูกศิษย์ที่รักและเคารพครูคนนี้ตลอด แม้ว่าเวลาจะล่วงผ่านมาเป็น30 ปีแล้ว แต่ก็ยังจำชื่อคุณครูได้ไม่เคยลืมแม้สักวินาทีเดียว หากใครถามก็ต้องมีเรื่องนี้ตลอด เล่าให้แม่ฟังตลอด
- อยากส่งเด็กๆทุกคนให้ถึงที่หมาย (ดูมันซับซ้อนแต่ความหมายแบบนั่นจริงๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไง)
รวมๆของการอยากเป็นครูก็มีประมาณนี้
แต่พอเริ่มโต เริ่มรู้แล้ว เป็นครูไม่ใช่อาชีพที่เหมาะกับตัวเอง มันเริ่มไม่ใช่อาชีพที่ฉันจะทำได้
โตแล้วก็เริ่มอยากที่จะสนุกกับการทำงาน เริ่มมองใกล้ขึ้น เลยอยากที่จะเป็น "วิศวกร"
เอ่อ ... อาชีพนี้แปลกดี ผู้หญิงไม่ค่อยมีทำ ถ้าทำคงเท่ห์มาก พ่อเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้าง
ได้คลุกคลีกับอาชีพนี้นิดหน่อย เลยว่ามันดูน่าสนุกกับการทำงาน เงินดีด้วย อันนี้สำคัญมาก!!
เหตุผลของอยากทำอาชีพนี้ดูมันไม่ค่อยเยอะ เพราะเริ่มเรียนมัธยมที่การเรียนมีผลมากกว่าความฝัน
ไม่รู้หลายๆคนเป็นแบบเราหรือป่าว?
ที่แบกความหวังของครอบครัว ความหวังที่ว่าคือ ความคาดหวัง จากพ่อแม่ ว่าลูกฉันต้องเรียนเก่งไม่แพ้ใคร
หากเวลาเจอะเจอญาติพี่น้อง ลูกของฉันต้องไม่น้อยหน้าใคร การที่ลูกของฉันเรียนดี ย่อมคาดการณ์ในอนาคตแน่นอนว่าลูกของฉันคงมีอนาคตที่ดีแน่นอน มีงานที่ดี มีเงินเดือนที่สูงมาก สามารถพบเจอแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต มีโอกาสทางเลือกที่ดีในชีวิต รวมถือคู่ครองด้วย!!
เราเลยตั้งหน้าตั้งตาเรียน เรียนมันต่อไปเรียน เลือกเรียนในแผนการเรียนที่พ่อแม่จะภูมิใจ โดยมีความฝันเล็กๆว่าอยากเป็น "วิศวกร" แหละมั่ง?? เริ่มไม่แน่ใจ
แต่ระหว่างการเรียนก็มีอ้อนพ่อแม่อยากเรียนดนตรี อยากเรียนคอมพิวเตอร์ อยากเรียนสิ่งที่บันเทิงใจบ้าง แต่ดีที่พ่อกับแม่เข้าใจ อยากเรียนก็เรียน ชอบก็ให้เรียน จะรำไทย ดนตรีไทย อยากได้อะไรก็ไปเอาใบสมัครมา พร้อมจะจ่ายเงินให้ ตามแต่สมควรที่เวลาจะเอื้อให้
ผลการเรียนก็กลางๆ ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดขนาดที่อวดใครไม่ได้ พ่อกับแม่ก็ภูมิใจ
มีเรียนพิเศษเสริมวิชาต่างๆบ้าง ตามที่โอกาสที่ไม่เข้าใจ
เช่น ฟิสิกส์ เคมี เลข ก่อนเอ็นท์ ไม่มาก เพราะก็ยังติดเล่นอยู่บ้าง
จบมัธยม เอ็นท์ติดมหาลัย ได้คณะวิศวตามที่ต้องการ สาขาก็ธรรมดา ไม่ได้วือหวา ประกอบกับเรียนก็ชอบด้วย ท้าทายดี เป็นสิ่งที่เราสนใจ ไม่ได้เชิงวิศวกรมาก ขนาดต้องไปแบกห่าม ตรากตรำ (ยังห่วงสวยอยู่)
รู้สึกแฮปปี้กับสาขาที่จบ แต่พอถึงชีวิตจริง เริ่มไม่แฮปปี้แล้ว ....
การทำงานจริง ตอนนี้เพิ่งได้รู้ ไม่มีการหยุดพัก ไม่มีการเข้าเช้า ไม่เข้าบ่าย ไม่มี
ทุกวันต้องนั่งอยู่กับที่ จำเจ เจอคนที่เราไม่ชอบ ก็ต้องทนอยู่ ใครทนไม่ได้ก็ต้องออกไป
สุดท้ายเราก็ทนไม่ได้แล้วคิดเลยว่า อาชีพวิศวกรตามโรงงาน มันช่างไม่เหมาะกับเราอย่างแรง
สุดท้ายขวยขวายงานที่อยากทำ มันช่างยาก จบมาอีกอย่าง แต่อยากทำงานอีกอย่าง
อยากจะบอกว่าหลายๆคนที่มีโอกาสเข้ามาหา ควรจะรีบคว้าไว้
กว่าจะได้งานที่อยากทำ เราสามารถทำมันได้ทุกๆวัน ไม่ใช่ว่ารักมันมากขนาดว่าไม่เบื่อเลย แต่เราสามารถทนอยู่กับมันได้ตลอด เด็กๆหลายๆคนอาจไม่เข้าใจว่าการทำงานมันน่าเบื่อขนาดนั่นเลยหรอ?
อือ ... เมื่อโลกแห่งความเป็นจริง มันน่าเบื่อมากขนาดนั่นเลย!
เข้าใจผู้ใหญ่ที่เค้าบอกว่า อยากจะลาออกทุก 2 นาที อารมณ์มันเป็นแบบนั่นเลย หากงานไหนที่เราไม่ชอบ
ชีวิตก็ผ่านมาหลายงาน หายไปเฉยๆ เพราะไม่ชอบงานนี้ หนักเกินไป หรือคนในองค์กร
กลั่นแกล้ง ต่างๆนานา หลายอย่างในความฝันช่างไม่เหมือนที่เราเผชิญเลยสักนิด
หลังจากที่ไขว้คว้ามานานก็ได้ทำงานในสายอาชีพที่อยากทำสักที แต่ก็ไม่ตรงกับความต้องการสะทีเดียว
แต่ก็ต้องเรียนรู้ไปทีหละขั้นตอนเพราะไม่ได้จบมาสายนี้ มีหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้
ชีวิตเลือกไม่ได้ขนาดที่ไปเรียนใหม่แบบเพื่อนคนอื่นที่เค้าไปต่อโท เรียนปริญญาอีกใบ
เราต้องเก็บประสบการณ์จากการทำงาน แต่ก็ไม่ได้โทษชะตาอะไรเพราะคนที่เค้าไม่มีงานทำ หรือไม่มีอะไรเลย มีมากกว่าเราอีกมากมาย นี้เราดีเท่าไหนที่ยังมีงานทำไปได้เรื่อย
สุดท้ายไม่รู้การที่คนผ่านมาอ่านได้อะไรบ้างหรือป่าว?
บางคนอาจจะนึกถึงความฝันตัวเองสมัยเด็กๆ??
บางคนอาจกำลังนึกถึงการทำงานของตัวเองตอนนี้??
บางคนอาจจะเริ่มคิดที่ต้องมองไปถึงความชอบของตัวเอง ค้นหาความชอบของตัวเอง?
บางคนอาจจะกำลังมองลูกตัวเองและจินตนาการอยู่?
หลายคนอาจสงสัยว่างานที่เราอยากทำคืออะไร ตอบว่าเป็นสายงานของ การตลาด ค่า
ความฝัน กับ ความจริง
เลยคิดเรื่องความฝันตัวเอง ตอนอนุบาล 2 ฝันอยากเป็น "แคชเชียร์" ตามห้าง .....
ความฝันเด็ก หลายอาจมองว่าแปลก แต่หากได้ใกล้ชิดกับเด็กๆ คุณจะรู้ว่ามันไม่แปลกเลย
ความฝันของเด็กแต่หละคนช่างง่ายดาย มองอะไรง่ายๆ มองเห็นจากสิ่งที่ตัวเองชอบ อยากทำแบบนี้
อยากลองทำแบบนี้สักครั้ง อะไรทำนองนี้
อยากให้ลองมองย้อนกลับไปหาอดีตของตัวคุณเอง ตอนเด็กอยากทำอะไรมากที่สุด
อยากเป็นแคชเชียร์เพราะ
- แต่งตัวสวย!! ใส่รองเท้าส้นสูง
- ได้กดไอ้ที่ดีดๆนั่นทั้งวันเลย
- ได้เงินด้วย จับเงินตลอดเวลา คุมอำนาจทางการเงิน เข้าใจว่าคนต้องมาซื้อของตลอด จ่ายตังค์ให้ ดูรวย
- สมัยนั่นดูไฮมาก เพราะเครื่องอิเล็กทรอนิกต่างๆไม่ค่อยมี งานอื่นไม่เห็นได้ใช้พวกเครื่องทันสมัยเลย ไอ้นี้แหละทันสมัยสุดแล้ว
เหตุผลง่ายๆของการอยากทำแคชเชียร์ตามห้าง ช่างง่ายดายเหลือเกิน
โตมาป.1 อยากเป็นครู
อันนี้จริงจังมากมาย ถึงขนาดว่ามีต้นแบบคนที่ชอบและอยากจะทำให้ได้แบบนั่นกันเลยทีเดียว
ด้วยความที่เกิดความผิดพลาดทางจังหวัดอยากให้นักเรียนเข้าเรียนในชั้นประถมให้ได้ตามจำนวนที่รัฐบาลกำหนดเลยส่งจดหมายมาให้ที่บ้านว่า ตัวเองถึงเกณฑ์ที่จะเข้าเรียนป. 1 ได้แล้ว ทั้งๆที่ตอนนั่นเรียนแค่อนุบาล 2 เท่านั่น ไม่เข้าใจเลย พ่อกับแม่เลยพาไปสมัครเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน แล้วก็ถูกปฏิเสธมาตามระเบียบเพราะอายุไม่ถึงเกณฑ์ แต่พอยืนจดหมายดังกล่าวให้ โรงเรียนก็ต้องรับเข้าทันที ไม่มีข้อแม้
มาอยู่ห้อง ป.1/3 แหมมม มันช่างดีจริงๆ เพื่อนก็มาจากอนุบาลที่เป็นรุ่นพี่จากโรงเรียนอนุบาลเก่าก็เยอะ
น่ารักๆทั้งนั่น คุณครูก็ยังสาว ท่าทางใจดี แต่เริ่มไม่ใจดีตอนที่เรียนอ่านหนังสือ
เพราะตอนที่เจ้าของบลอคได้เข้าเรียนป.1 นั่นอยู่อ.2 เลยไม่ได้เรียนอ่านเขียนแบบคนอื่นเค้า
ทั้งที่เพื่อนทั้งห้องเค้าก็อ่านกันได้หมดแล้ว เอาละสิ คราวนี้ "งานเข้า"
คุณครู "รุ้งตะวัน" อาจารย์ประจำชั้นต้องทั้งดุ ทั้งตี ทั้งเรียกมาพบที่ห้องทุกวันหลังเลิกเรียน
ทำแบบนี้หลายเดือน ไอ้เราก็ท้อแต่ไม่เคยบอกแม่ อยากร้องไห้ว่าทำไมคุณครูแกล้งหนูที่โรงเรียน
แต่ก็รู้ว่าเพราะตัวเองอ่านไม่ได้ คุณครูเลยเรียนอ่านบ่อยมาก แล้วก็ให้อายเพื่อนๆตลอด
โดนตีตลอด ไม่มีว่าเรียนภาษาไทยคราวไหนที่อาจารย์เรียกแล้วจะไม่มีชื่อของเรา
ต้องมีชื่อตลอด แล้วก็ต้องออกไปยืนหน้าห้อง ให้ครูตีตลอด แต่ไม่เคยคิดเกลียด "ครู" คนนี้เลย
ในขณะที่ครูเรียนเข้าไปพบ เราทั้งคู่ก็ได้ใกล้ชิดกัน ได้รู้ว่าอาจารย์รักเรามาก เอ็นดูตลอด
หากไม่มีคุณครู "รุ้งตะวัน" คนนี้ก็อาจจะไม่อ่านออกเขียนได้คล่องเหมือนๆคนอื่นเค้า
ผลของการที่อาจารย์หมั่นเพียรสอนทำให้สอบเทอมที่ 1 สอบได้ติด 1-10 ของห้อง ตอนเห็นผลประกาศก็งง!
ความฝันอย่างที่ 2 เลยอยากเป็น "ครู" ช่างเป็นความฝันที่เบสิคมาก หาได้ทั่วไปตามเด็กประถมที่เจอครูน่ารักก็จะหลงรักแต่สำหรับเรา ไม่ได้เจอครูที่น่ารักแต่เจอครูที่เข้มงวดเพื่อให้เราได้ดีต่างหาก มันเลยแตกต่างกัน
อยากเป็นครูเพราะ...
- อยากสอนคนที่ไม่รู้ให้ได้รู้เหมือนคนอื่นๆ
- อยากเป็นครูที่ใจดี
- อยากให้ทุกคนอ่านออกเขียนได้ ไม่มีใครเก่งแต่กำเนิดทุกคนต้องได้รับการฝึกฝนเอาใจใส่ทั้งนั่น
- อยากเป็นแบบคุณครู "รุ้งตะวัน" ที่มีลูกศิษย์ที่รักและเคารพครูคนนี้ตลอด แม้ว่าเวลาจะล่วงผ่านมาเป็น30 ปีแล้ว แต่ก็ยังจำชื่อคุณครูได้ไม่เคยลืมแม้สักวินาทีเดียว หากใครถามก็ต้องมีเรื่องนี้ตลอด เล่าให้แม่ฟังตลอด
- อยากส่งเด็กๆทุกคนให้ถึงที่หมาย (ดูมันซับซ้อนแต่ความหมายแบบนั่นจริงๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไง)
รวมๆของการอยากเป็นครูก็มีประมาณนี้
แต่พอเริ่มโต เริ่มรู้แล้ว เป็นครูไม่ใช่อาชีพที่เหมาะกับตัวเอง มันเริ่มไม่ใช่อาชีพที่ฉันจะทำได้
โตแล้วก็เริ่มอยากที่จะสนุกกับการทำงาน เริ่มมองใกล้ขึ้น เลยอยากที่จะเป็น "วิศวกร"
เอ่อ ... อาชีพนี้แปลกดี ผู้หญิงไม่ค่อยมีทำ ถ้าทำคงเท่ห์มาก พ่อเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้าง
ได้คลุกคลีกับอาชีพนี้นิดหน่อย เลยว่ามันดูน่าสนุกกับการทำงาน เงินดีด้วย อันนี้สำคัญมาก!!
เหตุผลของอยากทำอาชีพนี้ดูมันไม่ค่อยเยอะ เพราะเริ่มเรียนมัธยมที่การเรียนมีผลมากกว่าความฝัน
ไม่รู้หลายๆคนเป็นแบบเราหรือป่าว?
ที่แบกความหวังของครอบครัว ความหวังที่ว่าคือ ความคาดหวัง จากพ่อแม่ ว่าลูกฉันต้องเรียนเก่งไม่แพ้ใคร
หากเวลาเจอะเจอญาติพี่น้อง ลูกของฉันต้องไม่น้อยหน้าใคร การที่ลูกของฉันเรียนดี ย่อมคาดการณ์ในอนาคตแน่นอนว่าลูกของฉันคงมีอนาคตที่ดีแน่นอน มีงานที่ดี มีเงินเดือนที่สูงมาก สามารถพบเจอแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต มีโอกาสทางเลือกที่ดีในชีวิต รวมถือคู่ครองด้วย!!
เราเลยตั้งหน้าตั้งตาเรียน เรียนมันต่อไปเรียน เลือกเรียนในแผนการเรียนที่พ่อแม่จะภูมิใจ โดยมีความฝันเล็กๆว่าอยากเป็น "วิศวกร" แหละมั่ง?? เริ่มไม่แน่ใจ
แต่ระหว่างการเรียนก็มีอ้อนพ่อแม่อยากเรียนดนตรี อยากเรียนคอมพิวเตอร์ อยากเรียนสิ่งที่บันเทิงใจบ้าง แต่ดีที่พ่อกับแม่เข้าใจ อยากเรียนก็เรียน ชอบก็ให้เรียน จะรำไทย ดนตรีไทย อยากได้อะไรก็ไปเอาใบสมัครมา พร้อมจะจ่ายเงินให้ ตามแต่สมควรที่เวลาจะเอื้อให้
ผลการเรียนก็กลางๆ ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดขนาดที่อวดใครไม่ได้ พ่อกับแม่ก็ภูมิใจ
มีเรียนพิเศษเสริมวิชาต่างๆบ้าง ตามที่โอกาสที่ไม่เข้าใจ
เช่น ฟิสิกส์ เคมี เลข ก่อนเอ็นท์ ไม่มาก เพราะก็ยังติดเล่นอยู่บ้าง
จบมัธยม เอ็นท์ติดมหาลัย ได้คณะวิศวตามที่ต้องการ สาขาก็ธรรมดา ไม่ได้วือหวา ประกอบกับเรียนก็ชอบด้วย ท้าทายดี เป็นสิ่งที่เราสนใจ ไม่ได้เชิงวิศวกรมาก ขนาดต้องไปแบกห่าม ตรากตรำ (ยังห่วงสวยอยู่)
รู้สึกแฮปปี้กับสาขาที่จบ แต่พอถึงชีวิตจริง เริ่มไม่แฮปปี้แล้ว ....
การทำงานจริง ตอนนี้เพิ่งได้รู้ ไม่มีการหยุดพัก ไม่มีการเข้าเช้า ไม่เข้าบ่าย ไม่มี
ทุกวันต้องนั่งอยู่กับที่ จำเจ เจอคนที่เราไม่ชอบ ก็ต้องทนอยู่ ใครทนไม่ได้ก็ต้องออกไป
สุดท้ายเราก็ทนไม่ได้แล้วคิดเลยว่า อาชีพวิศวกรตามโรงงาน มันช่างไม่เหมาะกับเราอย่างแรง
สุดท้ายขวยขวายงานที่อยากทำ มันช่างยาก จบมาอีกอย่าง แต่อยากทำงานอีกอย่าง
อยากจะบอกว่าหลายๆคนที่มีโอกาสเข้ามาหา ควรจะรีบคว้าไว้
กว่าจะได้งานที่อยากทำ เราสามารถทำมันได้ทุกๆวัน ไม่ใช่ว่ารักมันมากขนาดว่าไม่เบื่อเลย แต่เราสามารถทนอยู่กับมันได้ตลอด เด็กๆหลายๆคนอาจไม่เข้าใจว่าการทำงานมันน่าเบื่อขนาดนั่นเลยหรอ?
อือ ... เมื่อโลกแห่งความเป็นจริง มันน่าเบื่อมากขนาดนั่นเลย!
เข้าใจผู้ใหญ่ที่เค้าบอกว่า อยากจะลาออกทุก 2 นาที อารมณ์มันเป็นแบบนั่นเลย หากงานไหนที่เราไม่ชอบ
ชีวิตก็ผ่านมาหลายงาน หายไปเฉยๆ เพราะไม่ชอบงานนี้ หนักเกินไป หรือคนในองค์กร
กลั่นแกล้ง ต่างๆนานา หลายอย่างในความฝันช่างไม่เหมือนที่เราเผชิญเลยสักนิด
หลังจากที่ไขว้คว้ามานานก็ได้ทำงานในสายอาชีพที่อยากทำสักที แต่ก็ไม่ตรงกับความต้องการสะทีเดียว
แต่ก็ต้องเรียนรู้ไปทีหละขั้นตอนเพราะไม่ได้จบมาสายนี้ มีหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้
ชีวิตเลือกไม่ได้ขนาดที่ไปเรียนใหม่แบบเพื่อนคนอื่นที่เค้าไปต่อโท เรียนปริญญาอีกใบ
เราต้องเก็บประสบการณ์จากการทำงาน แต่ก็ไม่ได้โทษชะตาอะไรเพราะคนที่เค้าไม่มีงานทำ หรือไม่มีอะไรเลย มีมากกว่าเราอีกมากมาย นี้เราดีเท่าไหนที่ยังมีงานทำไปได้เรื่อย
สุดท้ายไม่รู้การที่คนผ่านมาอ่านได้อะไรบ้างหรือป่าว?
บางคนอาจจะนึกถึงความฝันตัวเองสมัยเด็กๆ??
บางคนอาจกำลังนึกถึงการทำงานของตัวเองตอนนี้??
บางคนอาจจะเริ่มคิดที่ต้องมองไปถึงความชอบของตัวเอง ค้นหาความชอบของตัวเอง?
บางคนอาจจะกำลังมองลูกตัวเองและจินตนาการอยู่?
หลายคนอาจสงสัยว่างานที่เราอยากทำคืออะไร ตอบว่าเป็นสายงานของ การตลาด ค่า