คือว่าช่วงนี้เรามักจะมีคำถามเกิดขึ้นในใจเราบ่อยๆค่ะ ว่าเวลาเกิดเหตุการณ์ต่างๆระหว่างเรากับแฟน เรามักจะเกิดคำถามขึ้นมาว่า “เราผิดหรอ?” ยกตัวอย่างกรณีเหตุการณ์ต่างๆนะคะ เช่น
Case 1.) ปัจจุบันเราแทบไม่คุยกับแฟนใน line หรือ messenger chat ใน facebook แล้วค่ะ เนื่องจากก่อนหน้านี้เราเคยถามแฟนว่าทำไมเวลาเราพิมพ์อะไรไป คือขึ้นว่า read แล้วแต่ไม่ตอบกลับ ? แฟนเราก็บอกว่าไม่ค่อยได้เล่น เราก็เลยตัดปัญหาไม่ทัก ไม่ส่งอะไรใน line เลย เพราะเราอยากตัดเรื่องนี้ออกไปไม่ให้ตัวเองหงุดหงิดใจไปเองซะเปล่าๆ แต่พอเวลาเจอกัน นั่งทานข้าวกัน เราก็เห็นเขาหยิบ line ขึ้นมาอ่าน หรือพิมพ์ตอบ chat ใน face กับคนอื่นบ่อยๆ เราก็สงสัย ก็ถามไปอีกว่า “ไหนบอกว่าไม่ค่อยเล่นไง ทีคนอื่นแชตได้แต่กับแฟนตัวเองไม่ตอบเนี่ยนะ” แฟนเราก็เริ่มตอบแบบไม่ค่อยสบอารมณ์มาว่า “ก็กับเทอเราคุยโทรศัพท์กันทุกวันอยู่แล้ว แล้วจะคุยใน line อีกทำไม ที่แชตคุยกับคนอื่นก็เพราะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ แล้วก็ไม่ได้โทรศัพท์คุยกัน ก็เลยคุยกันผ่านทาง line ไง” แต่พอเอาเข้าจริงๆ วันนึงเราแทบไม่ได้คุยโทรศัพท์กับแฟนเราเลย (เราทำงาน ส่วนแฟนเราตอนนี้ว่างอยู่เพราะรอเรียนต่อป.โท) วันๆนึง เขาก็ไม่เห็นโทรหาเรา เราก็ไม่เห็นรู้สึกว่าเราจะได้รู้เรื่องราวในชีวิตประจำวันเขาเหมือนอย่างที่เขาบอกเลย จริงๆมันเหมือนต่างคนต่างใช้ชีวิต ไม่เห็นจะรู้เลยว่าวันนี้เราทำอะไร เขาทำอะไรมาบ้าง
เรา : คุยใน line เราก็ไม่คุยแล้ว ทักในเฟซเราก็ไม่ทัก เพราะเทอเป็นคนบอกเราเองว่าเราก็คุยกันทุกวันอยู่แล้ว เราไม่เห็นรู้สึกเลยว่าเราคุยอะไรกัน วันๆนึงเราแทบจะไม่มีปฎิสัมพันธ์อะไรกันเลยสักอย่าง เทียบกับที่เทอคุย line กับคนอื่นทั้งวัน (เราสงสัยมากว่ากะอีแค่การสละเวลาสัก 1 นาที โทรมาคุยนิดๆหน่อยก็ได้ อย่างน้อยก็แค่ให้เรารู้ว่าแฟนยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มันมากเกินไปหรอคะ เราว่ามันยังเร็วกว่าที่แฟนเดินขึ้นบันไดบ้านไปเข้าห้องน้ำ หรือเล่นเกมเศรษฐีกับอดีตแฟนเก่าด้วยซ้ำ)
แฟน : แล้วถ้าวันไหนเราโทร เราจำเป็นต้องโทรหาเทอเหมือนเดิมทุกๆวัน เลยหรือไง ? จะไม่ให้เราเปลี่ยน ทำนู่นทำนี่บ้างรึไง
เรา : . . . ก็รู้ แต่ทำไมทีกับคนอื่นเทอคุยได้ แต่กับเราถึงแค่โทรหาแค่นี้ เนี่ยนะ
แฟน : โอ้ยยย คิดอย่างงี้ ก็ไม่มีอะไรจะพูดด้วยล้ะ ง้องแง้งเกิน
คำถาม เราผิดหรอคะ ?
Case 2.) เรามีภารกิจต้องไปดูงานที่ต่างจังหวัดค่ะ นานทีปีหนถึงจะไปที พอตอนกลางคืนอยู่โรงแรมต่างจังหวัด ต่างที่ต่างถิ่นเราก็นอนไม่หลับ เลยตัดสินใจโทรหาแฟน
เรา : เทอเรานอนไม่หลับบบบบ ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิๆ
แฟน : ไม่อ่ะ
เรา : นะนะนะ
แฟน : ไม่ ไม่มีอารมณ์
เรา : งั้นเล่านิทานก็ได้งั้น
แฟน : ถ้าเรานอนไม่หลับตอนตี 3 แล้วโทรหาให้เทอร้องเพลงให้เราฟังบ้างมั้ยหล่ะ ? (เสียงดุ)
เรา : . . . (แต่เหตุการณ์คือ มันพึ่ง 5 ทุ่มนิดๆ แล้วแฟนก็ยังไม่นอน คือช่วงนี้แฟนนอนดึกค่ะราวๆ ตี 2 ขึ้นไปได้ แล้วก็นั่งเล่นเกมส์อยู่)
เรา : โอเค งั้นเราไม่รบกวนเทอแล้วก็ได้ (เสียงอ่อย)
แฟน : โอ้ยย ง้องแง้งเกิน ไม่มีอะไรจะพูดด้วยล้ะ รับไม่ได้
คำถาม เราผิดหรอคะ ?
Case 3.) เป็นเหตุการณ์ต่อจาก case 2 เลยค่ะ คือว่าวันถัดมาเราต้องนั่งเครื่องกลับถึงกรุงเทพ ลงที่ดอนเมืองราวๆ 2 ทุ่มค่ะ โดยที่แฟนก็บอกไว้แต่แรกแล้วว่าติดเรียนตั้งแต่ 6 โมงถึง 2ทุ่มครึ่ง คงไปรับไม่ได้น้ะ เราก็เข้าใจอยู่แล้วค่ะว่าแฟนไม่ว่าง ด้วยความที่เราเองก็เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างช่วยเหลือตัวเองได้ดีอยู่แล้ว จนบางทีเขาก็อาจจะละเลยไปบ้างก็ตาม สรุปทั้งวันเราก็แค่คาดหวังว่าอย่างน้อยก่อนเราบินก็โทรมาบอกหน่อยก็ได้ว่าเดินทางปลอดภัยน้ะ ถึงกรุงเทพแล้วโทรหาบ้าง หรือไม่ก็โทรมาเช็คบ้างว่าถึงบ้านเรียบร้อยมั้ย นั่ง taxi ทะเบียนอะไรยังไงบอกด้วย (คือว่าเราเคยโดน taxi มอมยามาค่ะ เราก็เลยค่อนข้างขยาดกับการนั่ง taxi นิดนึง ยกเว้นหากเป็นกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ) ปรากฎว่าแฟนไม่มีโทรมาถามไถ่อะไรใดๆเลยยยยย อันนี้เราก็พอรับได้นะคะ กับความคาดหวังลมๆแล้งๆของเรา จนกระทั่งมีเหตุการณ์นึงเข้ามา จนทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างจัง นั่นก็คือ “คุณพ่อค่ะ” ใช่แล้วค่ะ คุณพ่อคนที่เราบอกไปตอนก่อนเดินทางสั้นๆห้วนๆ ตอนคุณพ่อถามว่าเครื่องออกกี่โมง เครื่องลงกี่โมง ตอนนั้นเรารีบๆ เราก็ตอบไปว่า “เกือบๆ ทุ่มห้าสิบ” ปรากฎว่าถึงเวลาล้อเครื่องบินแตะลงสนามบิน โทรศัพท์ดังเลยค่ะ นั่นก็คือคุณพ่อโทรมาถามค่ะว่าเครื่องลงรึยัง สรุปกับแท็กซี่ใช่มั้ย ก่อนขึ้นแท็กซี่ให้จำทะเบียนรถ ถ่ายรูปส่งมาให้ด้วย แล้วตอนขึ้นรถก็โทรมารายงานพ่อเป็นระยะๆน้ะ คนขับจะได้รู้ แล้วก็กล้าทำอะไรเรา (คือตอนนั้น surprise มากไม่คิดว่าคุณพ่อจะจำได้ พร้อมกับคอยเตือนนั่นเตือนนี่ตลอด ขณะอยู่บนแท็กซี่ก็โทรมาเช็คกับเราประมาณ 2-3 ครั้งตลอดเส้นทาง ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้เรารับรู้ได้ถึงความห่วงใยของผู้ชายคนนี้จริงๆ ว่าเขาคือคนที่เป็นห่วงเรา คิดถึงเราตลอดเวลาจริงๆ ไม่เหมือนกับผู้ชายอีกคนนึง ที่เราไปคิดว่าเขาคงจะโทรหาเราน้ะ เขาคงจะห่วงเราบ้างน้ะ แต่ที่จริงแล้วกลับว่างเปล่า
คำถาม เราผิดหรอคะ ที่เราคาดหวังว่าจะมีคนๆนึงที่จะเป็นห่วงเราแบบนี้บ้าง
ขอบคุณทุกๆคนนะคะ ที่รับฟัง ตอนนี้เราแค่สับสนมากจริงๆ ว่าสรุปแล้วเราผิดที่ง้องแง้งไปเองจริงๆ หรือเปล่า เรายินดีรับฟังพร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงค่ะ คือเราแค่รู้สึกว่าการที่อยู่ๆเราเกิดความคิดเหล่านี้เข้ามาในหัว มันไม่มีทางหรอกค่ะที่อยู่ๆเราจะนิมิตความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้เอง คือเราเชื่อค่ะว่ายังไงมันก็ต้องมีเรื่องของเหตุ ที่เกิดขึ้นมาก่อน ทำให้เกิดผล คือความรู้สึกของเรา ที่จู่ๆก็รู้สึกแบบนี้ขึ้นมา
##** เราผิดมากหรอคะ? : ((
Case 1.) ปัจจุบันเราแทบไม่คุยกับแฟนใน line หรือ messenger chat ใน facebook แล้วค่ะ เนื่องจากก่อนหน้านี้เราเคยถามแฟนว่าทำไมเวลาเราพิมพ์อะไรไป คือขึ้นว่า read แล้วแต่ไม่ตอบกลับ ? แฟนเราก็บอกว่าไม่ค่อยได้เล่น เราก็เลยตัดปัญหาไม่ทัก ไม่ส่งอะไรใน line เลย เพราะเราอยากตัดเรื่องนี้ออกไปไม่ให้ตัวเองหงุดหงิดใจไปเองซะเปล่าๆ แต่พอเวลาเจอกัน นั่งทานข้าวกัน เราก็เห็นเขาหยิบ line ขึ้นมาอ่าน หรือพิมพ์ตอบ chat ใน face กับคนอื่นบ่อยๆ เราก็สงสัย ก็ถามไปอีกว่า “ไหนบอกว่าไม่ค่อยเล่นไง ทีคนอื่นแชตได้แต่กับแฟนตัวเองไม่ตอบเนี่ยนะ” แฟนเราก็เริ่มตอบแบบไม่ค่อยสบอารมณ์มาว่า “ก็กับเทอเราคุยโทรศัพท์กันทุกวันอยู่แล้ว แล้วจะคุยใน line อีกทำไม ที่แชตคุยกับคนอื่นก็เพราะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ แล้วก็ไม่ได้โทรศัพท์คุยกัน ก็เลยคุยกันผ่านทาง line ไง” แต่พอเอาเข้าจริงๆ วันนึงเราแทบไม่ได้คุยโทรศัพท์กับแฟนเราเลย (เราทำงาน ส่วนแฟนเราตอนนี้ว่างอยู่เพราะรอเรียนต่อป.โท) วันๆนึง เขาก็ไม่เห็นโทรหาเรา เราก็ไม่เห็นรู้สึกว่าเราจะได้รู้เรื่องราวในชีวิตประจำวันเขาเหมือนอย่างที่เขาบอกเลย จริงๆมันเหมือนต่างคนต่างใช้ชีวิต ไม่เห็นจะรู้เลยว่าวันนี้เราทำอะไร เขาทำอะไรมาบ้าง
เรา : คุยใน line เราก็ไม่คุยแล้ว ทักในเฟซเราก็ไม่ทัก เพราะเทอเป็นคนบอกเราเองว่าเราก็คุยกันทุกวันอยู่แล้ว เราไม่เห็นรู้สึกเลยว่าเราคุยอะไรกัน วันๆนึงเราแทบจะไม่มีปฎิสัมพันธ์อะไรกันเลยสักอย่าง เทียบกับที่เทอคุย line กับคนอื่นทั้งวัน (เราสงสัยมากว่ากะอีแค่การสละเวลาสัก 1 นาที โทรมาคุยนิดๆหน่อยก็ได้ อย่างน้อยก็แค่ให้เรารู้ว่าแฟนยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มันมากเกินไปหรอคะ เราว่ามันยังเร็วกว่าที่แฟนเดินขึ้นบันไดบ้านไปเข้าห้องน้ำ หรือเล่นเกมเศรษฐีกับอดีตแฟนเก่าด้วยซ้ำ)
แฟน : แล้วถ้าวันไหนเราโทร เราจำเป็นต้องโทรหาเทอเหมือนเดิมทุกๆวัน เลยหรือไง ? จะไม่ให้เราเปลี่ยน ทำนู่นทำนี่บ้างรึไง
เรา : . . . ก็รู้ แต่ทำไมทีกับคนอื่นเทอคุยได้ แต่กับเราถึงแค่โทรหาแค่นี้ เนี่ยนะ
แฟน : โอ้ยยย คิดอย่างงี้ ก็ไม่มีอะไรจะพูดด้วยล้ะ ง้องแง้งเกิน
คำถาม เราผิดหรอคะ ?
Case 2.) เรามีภารกิจต้องไปดูงานที่ต่างจังหวัดค่ะ นานทีปีหนถึงจะไปที พอตอนกลางคืนอยู่โรงแรมต่างจังหวัด ต่างที่ต่างถิ่นเราก็นอนไม่หลับ เลยตัดสินใจโทรหาแฟน
เรา : เทอเรานอนไม่หลับบบบบ ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิๆ
แฟน : ไม่อ่ะ
เรา : นะนะนะ
แฟน : ไม่ ไม่มีอารมณ์
เรา : งั้นเล่านิทานก็ได้งั้น
แฟน : ถ้าเรานอนไม่หลับตอนตี 3 แล้วโทรหาให้เทอร้องเพลงให้เราฟังบ้างมั้ยหล่ะ ? (เสียงดุ)
เรา : . . . (แต่เหตุการณ์คือ มันพึ่ง 5 ทุ่มนิดๆ แล้วแฟนก็ยังไม่นอน คือช่วงนี้แฟนนอนดึกค่ะราวๆ ตี 2 ขึ้นไปได้ แล้วก็นั่งเล่นเกมส์อยู่)
เรา : โอเค งั้นเราไม่รบกวนเทอแล้วก็ได้ (เสียงอ่อย)
แฟน : โอ้ยย ง้องแง้งเกิน ไม่มีอะไรจะพูดด้วยล้ะ รับไม่ได้
คำถาม เราผิดหรอคะ ?
Case 3.) เป็นเหตุการณ์ต่อจาก case 2 เลยค่ะ คือว่าวันถัดมาเราต้องนั่งเครื่องกลับถึงกรุงเทพ ลงที่ดอนเมืองราวๆ 2 ทุ่มค่ะ โดยที่แฟนก็บอกไว้แต่แรกแล้วว่าติดเรียนตั้งแต่ 6 โมงถึง 2ทุ่มครึ่ง คงไปรับไม่ได้น้ะ เราก็เข้าใจอยู่แล้วค่ะว่าแฟนไม่ว่าง ด้วยความที่เราเองก็เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างช่วยเหลือตัวเองได้ดีอยู่แล้ว จนบางทีเขาก็อาจจะละเลยไปบ้างก็ตาม สรุปทั้งวันเราก็แค่คาดหวังว่าอย่างน้อยก่อนเราบินก็โทรมาบอกหน่อยก็ได้ว่าเดินทางปลอดภัยน้ะ ถึงกรุงเทพแล้วโทรหาบ้าง หรือไม่ก็โทรมาเช็คบ้างว่าถึงบ้านเรียบร้อยมั้ย นั่ง taxi ทะเบียนอะไรยังไงบอกด้วย (คือว่าเราเคยโดน taxi มอมยามาค่ะ เราก็เลยค่อนข้างขยาดกับการนั่ง taxi นิดนึง ยกเว้นหากเป็นกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ) ปรากฎว่าแฟนไม่มีโทรมาถามไถ่อะไรใดๆเลยยยยย อันนี้เราก็พอรับได้นะคะ กับความคาดหวังลมๆแล้งๆของเรา จนกระทั่งมีเหตุการณ์นึงเข้ามา จนทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างจัง นั่นก็คือ “คุณพ่อค่ะ” ใช่แล้วค่ะ คุณพ่อคนที่เราบอกไปตอนก่อนเดินทางสั้นๆห้วนๆ ตอนคุณพ่อถามว่าเครื่องออกกี่โมง เครื่องลงกี่โมง ตอนนั้นเรารีบๆ เราก็ตอบไปว่า “เกือบๆ ทุ่มห้าสิบ” ปรากฎว่าถึงเวลาล้อเครื่องบินแตะลงสนามบิน โทรศัพท์ดังเลยค่ะ นั่นก็คือคุณพ่อโทรมาถามค่ะว่าเครื่องลงรึยัง สรุปกับแท็กซี่ใช่มั้ย ก่อนขึ้นแท็กซี่ให้จำทะเบียนรถ ถ่ายรูปส่งมาให้ด้วย แล้วตอนขึ้นรถก็โทรมารายงานพ่อเป็นระยะๆน้ะ คนขับจะได้รู้ แล้วก็กล้าทำอะไรเรา (คือตอนนั้น surprise มากไม่คิดว่าคุณพ่อจะจำได้ พร้อมกับคอยเตือนนั่นเตือนนี่ตลอด ขณะอยู่บนแท็กซี่ก็โทรมาเช็คกับเราประมาณ 2-3 ครั้งตลอดเส้นทาง ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้เรารับรู้ได้ถึงความห่วงใยของผู้ชายคนนี้จริงๆ ว่าเขาคือคนที่เป็นห่วงเรา คิดถึงเราตลอดเวลาจริงๆ ไม่เหมือนกับผู้ชายอีกคนนึง ที่เราไปคิดว่าเขาคงจะโทรหาเราน้ะ เขาคงจะห่วงเราบ้างน้ะ แต่ที่จริงแล้วกลับว่างเปล่า
คำถาม เราผิดหรอคะ ที่เราคาดหวังว่าจะมีคนๆนึงที่จะเป็นห่วงเราแบบนี้บ้าง
ขอบคุณทุกๆคนนะคะ ที่รับฟัง ตอนนี้เราแค่สับสนมากจริงๆ ว่าสรุปแล้วเราผิดที่ง้องแง้งไปเองจริงๆ หรือเปล่า เรายินดีรับฟังพร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงค่ะ คือเราแค่รู้สึกว่าการที่อยู่ๆเราเกิดความคิดเหล่านี้เข้ามาในหัว มันไม่มีทางหรอกค่ะที่อยู่ๆเราจะนิมิตความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาได้เอง คือเราเชื่อค่ะว่ายังไงมันก็ต้องมีเรื่องของเหตุ ที่เกิดขึ้นมาก่อน ทำให้เกิดผล คือความรู้สึกของเรา ที่จู่ๆก็รู้สึกแบบนี้ขึ้นมา