เรื่องเล่า โรงพยาบาลย่านรังสิต-นครนายก (คลองสอง)

สวัสดีครับ ก่อนอื่นผมออกตัวก่อนนะครับ ว่า"เรื่องเล่า"น่ะครับ เล่าสู่กันฟังเฉยๆ แต่ก็อยากฟังเพื่อนๆพี่ๆแชร์ประสบการณ์ให้ฟังบ้างครับ (งงอ่ะดิ 555+)

     ผมเป็นพนักงานเงินเดือนของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งครับ ย่านรังสิต-นครนายกนี่แหล่ะครับ สืบเนื่องมาจากว่าผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเข้าโรงพยาบาลเพื่อที่จะรักษาตัวเองจากอาการป่วยสักเท่าไหร่ พูดง่ายๆคือมีสถานพยาบาลสิทธิ์ประกันสังคมไว้เพื่อขอใบรับรองแพทย์เวลาที่เราจะลางาน และขอยาในยามที่ผมป่วย เป็นไข้ธรรมดาๆ และ/หรือเกิดอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆเท่านั้น  

     เข้าเรื่องเลยครับ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 57 ที่ผ่านมา ผมครั่นเนื้อ ครั่นตัว เหมือนจะเป็นไข้ และตามมาด้วยอาการปวดเนื้อ ปวดตัว แข้งขา เข่า ปวดมันหมดซะทุกอย่าง ทรมานมากมาย พอรุ่งเช้าวันที่ 10 สิงหาคม ผมได้ควบมอไซค์บึ่งไปยังโรงพยาบาลประกันสังคมย่านรังสิตคลองสองในบัดดล ยื่นบัตรรับรองสิทธิ์เรียบร้อย รอคิวพบแพทย์อายุรกรรมของโรงพยาบาลในเวลาประมาณ 9.00 น.ของวันที่ 10 สิงหาคม พอได้พบแพทย์ก็ได้สอบถามอาการเบื้องต้นดังที่แจ้งไปแล้ว ผลคือให้ยามาทานที่บ้านครับ พร้อมกับคำวินิจฉัยโรคเบื้องต้นว่า อาจจะเป็นไข้หวัดใหญ่ ผมก็โอเคกับคำตัดสิน เอ้ยยย คำวินิจฉัยของแพทย์หญิงท่านนี้ ผมก็กลับมาที่บ้านพร้อมกับยา 1 ถุง ก็มียาแก้แพ้ ลดน้ำมูก คลายกล้ามเนื้อ แก้อักเสบ อะไรประมาณนี้ครับ ผมก็ทานข้าว ทานยา แล้วก็พักผ่อนไปตามเรื่องตามราวของคนป่วยเนอะ >> ผ่านไป 2 วัน

     วันที่ 11 สิงหาคม เป็นวันทำงาน ผมก็ไปทำงานปกติด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่ สุดท้ายผมก็ไม่ไหว ขอตัวกลับไปโรงพยาบาลที่ว่าอีกครั้ง ครั้งนี้ผมเล่าอาการอีกแบบเดิม ซึ่งไม่ได้ดีขึ้นเลยจาก 2 วันที่ผ่านมา โอยยย คุณหมอ ผมปวดกระบอกตามากเลยครับ (บอกหมอไป) คราวนี้เป็นนายแพทย์ท่านหนึ่งซึ่งหาใช่คนเดิมไม่ คุณหมอก็บอกผมว่า ทอนซิลคุณอักเสบนะเอายาไปทานเพิ่มอีก 1 ตัวก็แล้วกัน คราวนี้เป็นยาบรูเฟ่นเม็ดสีเหลืองๆ คล้ายกับยาแก้ปวดประจำเดือน ผมไม่ได้เอะใจอะไรมาก แต่คิดว่า ทอนซิลอักเสบ ให้ยาบรูเฟ่นตรูมาจะช่วยได้มั๊ยน้อ จะถามหมอก็ไม่กล้า ก็เลยกลับบ้านมาทานยาแล้วนอนพักผ่อนตามที่หมอท่านบอกไว้ >> ผ่านไปอีก 1 วัน

     วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่ (หยุดคร้าบพี่น้อง) ด้วยความคิดเดิมที่จะเดินทางไปหาแม่ที่พัทยาตามที่ได้หมายมั่นปั้นมือไว้ (นี่ไปหาแม่หรือว่าไปออกรบฟะเนี่ย) แต่ไปไม่ได้เนื่องจากร่างกายไม่พร้อมเป็นอย่างมาก คิดว่าหากกลับไปแจ้งอาการกับคุณหมอที่โรงพยาบาลแล้วไซร้ คงมิพ้นให้ยากลับมาทานเป็นแน่แท้ เลยถือวิสาสะ ไปคลีนิกใกล้บ้าน (ในคลองสาม รังสิต) ละแวกหมู่บ้านที่น้ำไม่ท่วมในปี 2554 แจ้งอาการกับแพทย์หญิงท่านหนึ่ง เฉกเช่นเดียวกับที่แจ้งหมอในโรงพยาบาลมีชื่อด้านบน หมอบอกว่า ฮ๊าาาาาา ขอเจาะเลือดเลยนะคะ แล้วรอฟังผลเลือดตอนเย็น เนื่องด้วยอาการที่คล้ายๆกับเป็นไข้เลือดออก และหมอที่คลีนิกบอกผมทันทีว่า ยาบรูเฟ่นเนี่ย ให้งดไว้ก่อนนะคะ เพราะหากเป็นไข้เลือดออกจริงๆแล้ว การทานยาตัวนี้เข้าไปจะทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหารก็เป็นได้ ผมทำตามคำแนะนำของหมอที่ผมได้เสียเงินที่คลีนิกเป็นอย่างดี กลับมาบ้านพร้อมกับยาอีก 1 ชุด ในนี้มียาพาราเซตามอลมาด้วย ในขณะที่จากโรงพยาบาลไม่มีให้ ทานอาหาร พร้อมยาที่ได้มาจากคลีนิก และพักผ่อน รอเวลาฟังผลเลือดตอนเย็น

     และแล้ว เวลา 18:00 น. ของวันที่ 12 สิงหาคม ไม่นานเกินรอ ผมได้ควบมอไซค์ไปที่คลีนิกด้วยใจจดใจจ่อ หวังไว้ว่าอย่าใช่ไข้เลือดออกเลยเด้ออ ส๊าาธุ แต่แล้ว คุณพยาบาลรีเซปชั่นนิสของคลีนิกได้แจ้งผมอย่างกระวนกระวาย ราวกับญาติของเธอไม่อยู่กับเธออีกต่อไปแล้วว่า "คุณเป็นไข้เลือดออกค่ะ" ผมคิดในใจทันที ซวยแว้วววววว พอผมไปพบหมอที่คลีนิก ท่านแจ้งผมว่า ให้เอาผลเลือดไปที่โรงพยาบาล แล้วขอแอดมิดนอนโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือกันช๊อค เพราะเกล็ดเลือดผมในขณะนั้น เหลือเพียงแค่ 117000 (หน่วยอะไรไม่ทราบ) เท่านั้น ต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่ (ใคร) กำหนดไว้ที่ 140000 ผมตกใจ เลยกลับบ้านไปแพ็คกระเป๋า เปลี่ยนยานพาหนะ ไปโรงพยาบาลพร้อมกับแฟนสาวในทันใด พร้อมยื่นผลตรวจเลือดให้ทางรีเซปชั่นนิสของโรงพยาบาลและแพทย์อายุรกรรมดู นายแพทย์ท่านนั้น (คนละคนอีกแล้ว) บอกผมว่า ไข้เลือดออกเช่นเดียวกันจากผลตรวจเกร็ดเลือดที่ผมนำไปด้วย และสั่งให้ผมนอนที่โรงพยาบาลไม่มีกำหนด จนกว่าเกร็ดเลือดจะขึ้น แพทย์หนุ่มท่านนั้นได้สั่งให้พยาบาลเจาะเลือดผมเพื่อทำการตรวจว่าจริงหรือไม่ ที่เกร็ดเลือดผมเหลือน้อยขนาดนั้น ผลออกมา เหลือ 88000 เท่านั้น (โอ้ว พระเจ้า แม่บักจ๊อด) ทำไมถึงได้เหลือน้อยขนาดนี้ จบวันที่ 12 สิงหาคม วันแม่แห่งชาติ ด้วยการนอนโรงพยาบาล คิดแล้วเศร้าเนอะ ว่ามะ T_T

     สรุปที่ผมร่ายยาวมานี่คือ ทำไมทางโรงพยาบาลไม่ตรวจเลือดผมตั้งแต่แรกหว่า แล้วทำไมเวลาผมบอกอาการ คุณหมอที่โรงพยาบาลไม่ค่อยจะสนใจผมเลย หรือว่าเป็นที่ผมใช้สิทธิประกันสังคมกันน๊า ผมเลยคิดว่ารอบต่อไป (ถ้ามี แต่ก็ไม่อยากมีแล้วล่ะ) ผมจะทำประกันสุขภาพของบริษัทประกันชีวิตให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เห็นทางโรงพยาบาลบอกผมว่า ได้นอนห้องเดี่ยวด้วยน๊า ไม่ต้องวุ่นวายกับใครเขา  

     ผมขอจบเรื่องเล่าแต่เพียงเท่านี้ครับ ขอขอบคุณที่อุตสาห์อ่านมาตั้งยาวครับผม

ปล. หากผมเขียนศัพท์เทคนิคอะไรไม่ถูกก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้นะครับ
ปล.2 สำนวนที่ผมเล่าอาจติดตลกไปบ้าง ต้องเรียนว่าผมไม่ได้ซีเรียสอะไร แค่อยากนำมาเล่าสู่กันฟังครับ เอาฮาด้วย 555+

^^BOY^^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่