คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ทำไมต้องคลุมฮิญาบและสวมนิก๊อบ (คลุมศรีษะและปกปิดใบหน้า ) ?
อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า อิสลามเป็นศาสนาที่ยกย่องสถานะของสตรี ดังนั้นกฎระเบียบว่าด้วยการแต่งกายนั้นก็เป็นบทบัญญัติที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งรู้ธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างดีและหวังดีต่อมนุษย์ โดยธรรมชาติแล้วทั้งร่างกายของสตรีถือเป็นส่วนเย้ายวนต่อเพศตรงข้าม ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงได้บัญญัติให้ทั้งร่ายกายของสตรีถือเป็นส่วนพึงสงวน(เอาเราะฮฺ) ที่ต้องปกปิด ยกเว้นหากจะเปิดก็อนุญาตให้เปิดได้เฉพาะใบหน้าและฝ่ามือ ส่วนสำหรับผู้ชายนั้น ส่วนพึงสงวนที่ต้องปกปิดก็คือบริเวณตั้งแต่สะดือลงไปถึงหัวเข่า โดยไม่มีการจำกัดว่าเครื่องแต่งกายนั้นจะเป็นชุดของวัฒนธรรมใดหรือชาติใด แต่หากต้องการจะได้รับผลบุญมากขึ้นก็ให้แต่งกายซึ่งเป็นรูปแบบที่นบีมุฮัมมัดเคยสวมใส่ไว้เพื่อเป็นการแสดงความรักที่มีต่อท่านนบี และเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชาวมุสลิม ซึ่งกฎระเบียบเรื่องการแต่งกายทั้งหญิงและชายก็ล้วนมาจากบทบัญญัติของอัลกุรอานและหะดีษทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ใช่ว่าการที่มุสลิมแต่งกายมิดชิดนั้นเป็นเพราะวัฒนธรรมหรือประเพณีของชาติใดหรือท้องถิ่นใด แต่มันเป็นการแต่งกายตามบัญญัติศาสนา
แต่สำหรับสตรีส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และบรูไนนั้นมีการแต่งกายที่ผิดหลักการศาสนา เช่น คลุมศีรษะแต่สวมเสื้อผ้ารัดรูป หรือคลุมศีรษะไม่มิดชิดเปิดผมและคอ หรือบ้างก็คลุมศีรษะแต่สวมเสื้อผ้าบางๆ และยิ่งในยุคปัจจุบันมีการคลุมศีรษะแต่สวมเสื้อเอวลอย..! ทำนองนี้เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นการแต่งกายที่ผิดหลักศาสนา และทำให้คนต่างศาสนิกมีความเข้าใจเรื่องการแต่งกายของมุสลิมแบบผิดๆไปด้วย
ในสังคมปัจจุบันได้มีมุมมองที่แสนจะไร้เหตุผลว่า การที่ให้สตรีคลุมผมคลุมหน้าและแต่งกายมิดชิดนั้นเป็นการกดขี่สตรี! หรือเป็นการปิดกั้นสิทธิของสตรี! ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ขัดกับความเป็นจริงและสามัญสำนึกของมนุษย์ เพราะมนุษย์เราทุกคนก็รู้ดีว่าสตรีที่มีเกียรติคือคนที่รักนวลสงวนตัว มีกิริยาที่สุภาพและมีการแต่งกายที่เรียบร้อย ดังนั้นการปกปิดเรือนร่างของสตรีก็เป็นการบ่งบอกให้รู้ว่าร่างกายของสตรีนั้นมีเกียรติ เป็นสิ่งพึงสงวนปกป้องปกปิดแม้จะเป็นแค่สายตาก็ตาม ส่วนผู้ชายคนไหนก็ตามที่บอกว่าการแต่งกายมิดชิดเป็นการกดขี่สตรีนั้นถือว่าเขาพูดโกหก! เพราะจริงๆแล้วมันเป็นการปิดกั้นโอกาสในการมองของเขามากกว่า! และสตรีคนไหนก็ตามที่บอกว่าการแต่งกายมิดชิดเป็นการปิดกั้นสิทธิสตรี จริงๆแล้วมันเป็นการปิดกั้นสิทธิในการทำชั่วนะครับ เพราะการที่เราเปิดส่วนพึงสงวนนั้นก็เท่ากับว่าเราไปเย้ายวนให้ผู้ชายนั้นเกิดตัณหา และสิ่งเหล่านี้ตามตรรกะเหตุผลแล้วไม่ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลนะครับ เพราะตราบใดที่มันไปกระทบสายตาผู้อื่นนั่นก็ถือว่ามันเป็นสิทธิของผู้รับภาพนั้นด้วย ก็เหมือนกับคุณเปิดเพลงฟัง ตราบใดที่เพลงนั้นมันเสียงดังหนวกหูไปถึงข้างบ้าน นั่นหมายความว่ามันเป็นสิทธิของผู้ที่ได้ยินเสียงนั้นด้วย
ดังนั้นเป็นที่พิสูจน์ได้แน่นอนแล้วไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยว่า เรือนร่างของสตรีนั้นก่อความวุ่นวายให้แก่สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราเห็นได้ในข่าวทุกๆวันว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมก็คือตัวสตรีเอง ซึ่งความจริงมันได้ปรากฏให้เห็นว่าประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามอย่างสะอุดีย์อาระเบียนั้นในรอบปีไม่มีข่าวอาชญากรรมทางเพศเลย (รวมทั้งอาชญากรรมอื่นๆด้วย) เพราะกฎหมาย อิสลามมีบทลงโทษที่เด็ดขาด แต่หากมีข่าวเกี่ยวกับการข่มขืนกระทำชำเราเมื่อไหร่ นั่นจะเป็นข่าวดังในรอบ 2-3 ปีของประเทศเขาเลยทีเดียว ซึ่งต่างจากประเทศไทยเราที่มีข่าวเหล่านี้ปรากฏแทบทุกวัน นั่นก็เพราะการแต่งกายที่แตกต่างกันนั่นเอง และสาเหตุอื่นๆที่ทำให้ประเทศซาอุดิอาระเบียมีความสงบสุขกว่าไทยหลายเท่า ก็เพราะกฎระเบียบในการปกครองและความเชื่อทางศาสนา
อิสลามจึงได้จำกัดในเรื่องสิทธิของทั้งหญิงและชายก็เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุขและความสันติ(ตามชื่อศาสนา) ซึ่งทั้งผู้หญิงและผู้ชายไม่มีสิทธิในการทำชั่ว มันแตกต่างจากสังคมไทยและสังคมของคนในอดีตที่จำกัดสิทธิไว้เฉพาะผู้หญิง ส่วนสำหรับผู้ชายนั้นจะทำชั่วอย่างไรก็ได้ แต่สำหรับอิสลามแล้วถือว่าทำชั่วไม่ได้ทั้งสองเพศ แม้แต่การมอง ผู้ชายจะจ้องมองผู้หญิงในลักษณะชู้สาวก็ไม่ได้ ซึ่งกรณีอย่างนี้ในอัลกุรอาน (บทอันนูรฺ โองการที่ 30)ได้สั่งให้ผู้ชายลดสายตาลงว่า “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดาผู้ศรัทธาชาย ให้พวกเขาลดสายตาพวกเขาลงต่ำ และให้สงวนอวัยวะเพศของพวกเขาไว้” ส่วนสำหรับสตรีนั้น อัลกุรอานได้บัญญัติว่า “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดาผู้ศรัทธาหญิง ให้พวกเธอลดสายตาลงต่ำ และให้สงวนอวัยวะเพศของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับเว้นแต่ส่วนที่เปิดเผยได้ และให้เธอปิดผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอก” (คำแปลบทอันนูรฺ โองการที่ 31)
อนึ่ง เรื่องข้อบทบัญญัติเกี่ยวกับการคลุมผมและการแต่งกายที่มิดชิดของสตรีนั้นไม่ใช่ถูกระบุไว้เฉพาะในคัมภีร์อัลกุรอานเท่านั้น แต่ยังมีระบุไว้ในคัมภีร์ของศาสนาอื่นด้วยทั้งคัมภีร์ของชาวฮินดู, คัมภีร์ของชาวยิวและคริสต์ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าสตรีชาวคริสต์ในอดีตกาลนั้นจะมีการคลุมศีรษะเช่นกัน แต่ในปัจจุบันพวกเขาก็เลิกยึดถือบทบัญญัตินั้นซะแล้วที่เหลืออยู่ก็มีแต่เฉพาะซิสเตอร์เท่านั้นที่คลุม
ทำไมมุสลิมไม่กินหมู ?
ใครที่ถามแบบนี้ถือว่าเป็นการตั้งคำถามที่ถูกต้องครับ เพราะมุสลิมไม่กินหมู แต่ถ้าใครถามว่า “ทำไมมุสลิมกลัวหมู?” แบบนี้ถือว่าตั้งคำถามผิดนะครับ เพราะมุสลิมไม่ได้กลัวหมู แต่คนไทยเรามักเข้าใจผิดๆโดยไปจดจำมาจากหนังตลกว่ามุสลิมกลัวหมู และต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเมื่อเห็นหมู!
ส่วนคำตอบที่ว่าทำไมมุสลิมไม่กินหมูก็คือพระเจ้าสั่งห้ามนั่นเองครับ และสิ่งที่พระเจ้าสั่งห้ามก็ย่อมเป็นประโยชน์แก่มนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งในบางเรื่องนั้นมนุษย์ก็ไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำ หรือในบางเรื่องมนุษย์ก็สามารถค้นพบหาเหตุผลได้ด้วยกระบวนการศึกษาธรรมชาติหรือที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์
ยุคปัจจุบันมีการใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูเนื้อสัตว์ก็พบว่าเนื้อสัตว์ทุกชนิดมีพยาธิตัวเล็กๆที่ตามนุษย์มองไม่เห็นอยู่มากน้อยต่างกันไป แต่ในเนื้อหมูมีพยาธิบางชนิดซึ่งมีเกราะที่เกิดจากไขมันในเนื้อหมูห่อหุ้มมันอยู่ ซึ่งความร้อนจากการหุงต้มไม่สามารถทำลายมันได้ พยาธิเหล่านี้จะเข้าไปฝังอยู่ในร่างกายมนุษย์หลังจากที่กินเนื้อหมูเข้าไป และรอฟักตัวออกมาทำอันตรายร่างกายมนุษย์ เช่น ประสาทตาและประสาทสมอง เป็นต้น
มุสลิมในยุคก่อนเขาไม่ทราบถึงเหตุผลเหล่านี้ แต่เขาน้อมรับและปฏิบัติตามข้อบัญญัติที่มาจากพระเจ้า และหมูเป็นสัตว์ที่น่ารังเกียจ(กินขี้และนอนคลุกอยู่กับขี้ของมัน)ซึ่งพระเจ้าระบุไว้ว่าเป็นสัตว์สกปรก(นะญิส) ก็เท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่ามุสลิมไม่กินหมูเพราะเหตุผลที่ว่าหมูมีพยาธิ ดังนั้นถึงแม้ในอนาคตจะสามารถทำให้เนื้อหมูปลอดจากพยาธิชนิดนี้ได้ หรือจะเลี้ยงหมูอย่างดีไม่ต้องให้กินขี้และนอนคลุกอยู่กับขี้ แต่มุสลิมก็จะยังคงไม่กินหมูอยู่ดีเนื่องจากเป็นสิ่งที่พระเจ้าบัญญัติห้าม
แล้วถามว่าทำไมต้องห้ามน่ะหรือครับ? ก็เนื่องจากเป็นการพิสูจน์ความศรัทธาครับ มนุษย์ที่ศรัทธาในพระเจ้าเขาก็จะน้อมรับกฎระเบียบที่พระเจ้าบัญญัติไว้ เขาจะไม่กินตามปากอยาก แต่เขาจะเลือกกินโดยพิจารณาว่าพระเจ้าอนุญาตให้กินหรือไม่
และอาจมีบางคนตั้งคำถามว่า ในเมื่อไม่ให้กินหมูแล้วพระเจ้าจะสร้างหมูมาทำไม? คืออย่างนี้ครับ พระเจ้าสร้างสิ่งมีชีวิตมาหลากหลายชนิด แต่ไม่ใช่ว่าสัตว์ทุกชนิด จะถูกสร้างมาเพื่อเป็นอาหารสำหรับมนุษย์นะครับ สัตว์บางชนิดเกิดมาเพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศน์ สัตว์บางชนิดถูกสร้างมาเพื่อกินสัตว์กินพืช ไม่เช่นนั้นแล้วสัตว์กินพืชก็จะกินใบไม้หมดป่า ซึ่งป่าไม้และพืชนั้นก็ทำหน้าที่ซับน้ำ, ผลิตออกซิเจน, รักษาชั้นบรรยากาศของโลก และยังเป็นอาหารให้มนุษย์ด้วย ทำนองนี้เป็นต้นครับ ดังนั้นเราจึงต้องเลือกครับว่าสิ่งใดพระเจ้าอนุญาตให้กิน สิ่งใดพระเจ้าไม่อนุญาตให้กิน ซึ่งในเรื่องของอาหารแล้ว สิ่งใดที่พระเจ้าไม่ได้บัญญัติห้ามสิ่งนั้นถือว่าอนุญาตให้กินได้โดยปริยายครับ
ส่วนสิ่งอื่นที่พระเจ้าบัญญัติห้ามกิน ได้แก่ 1.)สิ่งมึนเมาทุกชนิด 2.)เลือด 3.)สัตว์บกที่ตายโดยไม่ได้ถูกเชือด 4.)สัตว์บกที่ไม่ได้กล่าวนามพระเจ้าขณะเชือด 5.)สัตว์บกที่ใช้กรงเล็บหรือเขี้ยวล่าสัตว์กินเป็นอาหาร 6.)เนื้อลา 7.)สัตว์ที่พระเจ้าระบุว่าเป็นสิ่งสกปรกน่ารังเกียจ(นะญิส) เช่น หมา 8.)อาหารใดก็ตามที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม เช่นขโมยมา หรือซื้อมาด้วยทรัพย์สินที่ได้มาโดยผิดหลักการศาสนา (เช่นเงินดอกเบี้ย เป็นต้น) ซึ่งทั้งหมดถูกบัญญัติในอัล-กุรอานและหะดีษทั้งสิ้น ..และนอกจากสิ่งที่กล่าวมาแล้วนี้รวมทั้งสัตว์น้ำทั้งหมดก็เป็นที่อนุญาตให้กินได้
เห็นไหมครับว่าที่ว่ากันว่ามุสลิมไม่กินหมูนั้น ไปๆมาๆไม่ใช่แค่หมูนะครับที่มุสลิมไม่กิน ดังนั้นคงหายสงสัยแล้วสินะครับว่าทำไมมุสลิมจึงมักจะหาแต่ร้านที่เป็นร้านอาหารอิสลาม แต่เห็นกฎระเบียบเยอะอย่างนี้คุณคงว่าสิ่งที่ศาสนาอิสลามบัญญัติห้ามนั้นมีเยอะเหลือเกิน แต่ที่จริงหากคุณนับถือศาสนาพุทธน่าจะลองเปิดพระไตรปิฎกดูมั่งนะครับว่า จริงๆแล้วศาสนาพุทธห้ามกินอะไรบ้าง? ซึ่งหากจะให้ผมนำมากล่าวในหนังสือเล่มนี้ก็คงจะไม่ไหวแน่ เพราะมีเยอะมาก! หรือคนที่นับถือศาสนายิวหรือคริสต์ก็เช่นกันหากเขาจะปฏิบัติตามคัมภีร์ล่ะก็มีสัตว์หลายชนิดครับที่คัมภีร์ระบุว่าห้ามกิน และที่สำคัญไม่เคยมีใครถามเลยว่าทำไมชาวยิวและชาวคริสต์ ปัจจุบันกินหมูกันซะแล้ว? ทั้งๆที่ในไบเบิล พันธสัญญาเก่าได้ระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามกินหมู! (ในบทเลวีนิติ)
ทำไมต้องละหมาด?
การละหมาดเป็นบัญญัติที่พระเจ้าได้สั่งให้ผู้ศรัทธาทุกๆยุค กระทำ(ไม่ว่าจะศาสดาท่านไหนๆก็ตาม) เพื่อแสดงความเคารพรักภักดีต่อพระองค์ โดยที่ผู้ศรัทธาห้ามไปแสดงความเคารพรักภักดีต่อวัตถุ หรือมนุษย์หน้าไหน เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้สร้างมนุษย์ ไม่ได้เป็นผู้ให้ชีวิตและปัจจัยยังชีพแก่มนุษย์ หากแต่มนุษย์เราต่างก็นำสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างมาใช้ประโยชน์ทั้งสิ้น แม้กระทั่งพ่อแม่ของเราเองก็ไม่ได้เป็นผู้สร้างอสุจิ ไม่ได้เป็นผู้สร้างมดลูก ไม่ได้เป็นผู้สร้างกระบวนการตกไข่ ไม่ได้เป็นผู้สร้างกลไกการปฏิสนธิ หากแต่กลไกทางธรรมชาติเหล่านี้ถูกสร้างมาโดยพระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งอภิบาลสรรพสิ่งทั้งปวง
การละหมาดเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อพระผู้เป็นเจ้า เป็นการเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง โดยไม่ต้องมีสื่อกลางหรือนักบวชมาคอยทำพิธีให้ นอกจากนั้นแล้วผลดีที่เกิดขึ้นนอกจากได้รับผลบุญแล้วก็คือ การละหมาดเป็นอาหารทางด้านจิตวิญญาณด้วย มนุษย์เรากินอาหารสำหรับร่างกายวันละ 3 เวลา แต่สำหรับอาหารของจิตวิญญาณบางคนไม่มีเลย เขาจึงเป็นคนที่จิตใจไม่สะอาด หรือมีจิตใจที่อ่อนแอ(เป็นลักษณะหนึ่งของผู้ที่ไม่ศรัทธา) ซึ่งสำหรับมุสลิมแล้วถูกกำหนดให้ละหมาด เป็นข้อบังคับวันละ 5 เวลา ส่วนนอกจากนี้แล้วก็สามารถละหมาดได้เนื่องในสถานการณ์ต่างๆ(ตามที่ท่านนบีได้ทิ้งแบบฉบับไว้) แต่ไม่เป็นที่บังคับ
การละหมาดยังเป็นการขัดเกลาจิตใจและพัฒนาศีลธรรมตนเอง ให้พ้นจากความชั่วทั้งหลาย ดังที่อัล-กุรอานได้กล่าวว่า “แท้จริงการละหมาดนั้นจะยับยั้งการทำสิ่งลามกและความชั่ว” (บทอัลอังกะบูต โองการที่ 45) ดังนั้นใครที่ละหมาดด้วยความศรัทธา และความรักต่อพระเจ้า(ไม่ใช่สักแต่ละหมาดไปตามประเพณี) เขาก็จะได้รับการขัดเกลาทางศีลธรรมให้พ้นจากการมีจิตใจที่ชั่วช้า
อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า อิสลามเป็นศาสนาที่ยกย่องสถานะของสตรี ดังนั้นกฎระเบียบว่าด้วยการแต่งกายนั้นก็เป็นบทบัญญัติที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งรู้ธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างดีและหวังดีต่อมนุษย์ โดยธรรมชาติแล้วทั้งร่างกายของสตรีถือเป็นส่วนเย้ายวนต่อเพศตรงข้าม ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงได้บัญญัติให้ทั้งร่ายกายของสตรีถือเป็นส่วนพึงสงวน(เอาเราะฮฺ) ที่ต้องปกปิด ยกเว้นหากจะเปิดก็อนุญาตให้เปิดได้เฉพาะใบหน้าและฝ่ามือ ส่วนสำหรับผู้ชายนั้น ส่วนพึงสงวนที่ต้องปกปิดก็คือบริเวณตั้งแต่สะดือลงไปถึงหัวเข่า โดยไม่มีการจำกัดว่าเครื่องแต่งกายนั้นจะเป็นชุดของวัฒนธรรมใดหรือชาติใด แต่หากต้องการจะได้รับผลบุญมากขึ้นก็ให้แต่งกายซึ่งเป็นรูปแบบที่นบีมุฮัมมัดเคยสวมใส่ไว้เพื่อเป็นการแสดงความรักที่มีต่อท่านนบี และเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชาวมุสลิม ซึ่งกฎระเบียบเรื่องการแต่งกายทั้งหญิงและชายก็ล้วนมาจากบทบัญญัติของอัลกุรอานและหะดีษทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ใช่ว่าการที่มุสลิมแต่งกายมิดชิดนั้นเป็นเพราะวัฒนธรรมหรือประเพณีของชาติใดหรือท้องถิ่นใด แต่มันเป็นการแต่งกายตามบัญญัติศาสนา
แต่สำหรับสตรีส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และบรูไนนั้นมีการแต่งกายที่ผิดหลักการศาสนา เช่น คลุมศีรษะแต่สวมเสื้อผ้ารัดรูป หรือคลุมศีรษะไม่มิดชิดเปิดผมและคอ หรือบ้างก็คลุมศีรษะแต่สวมเสื้อผ้าบางๆ และยิ่งในยุคปัจจุบันมีการคลุมศีรษะแต่สวมเสื้อเอวลอย..! ทำนองนี้เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นการแต่งกายที่ผิดหลักศาสนา และทำให้คนต่างศาสนิกมีความเข้าใจเรื่องการแต่งกายของมุสลิมแบบผิดๆไปด้วย
ในสังคมปัจจุบันได้มีมุมมองที่แสนจะไร้เหตุผลว่า การที่ให้สตรีคลุมผมคลุมหน้าและแต่งกายมิดชิดนั้นเป็นการกดขี่สตรี! หรือเป็นการปิดกั้นสิทธิของสตรี! ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ขัดกับความเป็นจริงและสามัญสำนึกของมนุษย์ เพราะมนุษย์เราทุกคนก็รู้ดีว่าสตรีที่มีเกียรติคือคนที่รักนวลสงวนตัว มีกิริยาที่สุภาพและมีการแต่งกายที่เรียบร้อย ดังนั้นการปกปิดเรือนร่างของสตรีก็เป็นการบ่งบอกให้รู้ว่าร่างกายของสตรีนั้นมีเกียรติ เป็นสิ่งพึงสงวนปกป้องปกปิดแม้จะเป็นแค่สายตาก็ตาม ส่วนผู้ชายคนไหนก็ตามที่บอกว่าการแต่งกายมิดชิดเป็นการกดขี่สตรีนั้นถือว่าเขาพูดโกหก! เพราะจริงๆแล้วมันเป็นการปิดกั้นโอกาสในการมองของเขามากกว่า! และสตรีคนไหนก็ตามที่บอกว่าการแต่งกายมิดชิดเป็นการปิดกั้นสิทธิสตรี จริงๆแล้วมันเป็นการปิดกั้นสิทธิในการทำชั่วนะครับ เพราะการที่เราเปิดส่วนพึงสงวนนั้นก็เท่ากับว่าเราไปเย้ายวนให้ผู้ชายนั้นเกิดตัณหา และสิ่งเหล่านี้ตามตรรกะเหตุผลแล้วไม่ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลนะครับ เพราะตราบใดที่มันไปกระทบสายตาผู้อื่นนั่นก็ถือว่ามันเป็นสิทธิของผู้รับภาพนั้นด้วย ก็เหมือนกับคุณเปิดเพลงฟัง ตราบใดที่เพลงนั้นมันเสียงดังหนวกหูไปถึงข้างบ้าน นั่นหมายความว่ามันเป็นสิทธิของผู้ที่ได้ยินเสียงนั้นด้วย
ดังนั้นเป็นที่พิสูจน์ได้แน่นอนแล้วไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัยว่า เรือนร่างของสตรีนั้นก่อความวุ่นวายให้แก่สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราเห็นได้ในข่าวทุกๆวันว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมก็คือตัวสตรีเอง ซึ่งความจริงมันได้ปรากฏให้เห็นว่าประเทศที่ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามอย่างสะอุดีย์อาระเบียนั้นในรอบปีไม่มีข่าวอาชญากรรมทางเพศเลย (รวมทั้งอาชญากรรมอื่นๆด้วย) เพราะกฎหมาย อิสลามมีบทลงโทษที่เด็ดขาด แต่หากมีข่าวเกี่ยวกับการข่มขืนกระทำชำเราเมื่อไหร่ นั่นจะเป็นข่าวดังในรอบ 2-3 ปีของประเทศเขาเลยทีเดียว ซึ่งต่างจากประเทศไทยเราที่มีข่าวเหล่านี้ปรากฏแทบทุกวัน นั่นก็เพราะการแต่งกายที่แตกต่างกันนั่นเอง และสาเหตุอื่นๆที่ทำให้ประเทศซาอุดิอาระเบียมีความสงบสุขกว่าไทยหลายเท่า ก็เพราะกฎระเบียบในการปกครองและความเชื่อทางศาสนา
อิสลามจึงได้จำกัดในเรื่องสิทธิของทั้งหญิงและชายก็เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุขและความสันติ(ตามชื่อศาสนา) ซึ่งทั้งผู้หญิงและผู้ชายไม่มีสิทธิในการทำชั่ว มันแตกต่างจากสังคมไทยและสังคมของคนในอดีตที่จำกัดสิทธิไว้เฉพาะผู้หญิง ส่วนสำหรับผู้ชายนั้นจะทำชั่วอย่างไรก็ได้ แต่สำหรับอิสลามแล้วถือว่าทำชั่วไม่ได้ทั้งสองเพศ แม้แต่การมอง ผู้ชายจะจ้องมองผู้หญิงในลักษณะชู้สาวก็ไม่ได้ ซึ่งกรณีอย่างนี้ในอัลกุรอาน (บทอันนูรฺ โองการที่ 30)ได้สั่งให้ผู้ชายลดสายตาลงว่า “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดาผู้ศรัทธาชาย ให้พวกเขาลดสายตาพวกเขาลงต่ำ และให้สงวนอวัยวะเพศของพวกเขาไว้” ส่วนสำหรับสตรีนั้น อัลกุรอานได้บัญญัติว่า “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดาผู้ศรัทธาหญิง ให้พวกเธอลดสายตาลงต่ำ และให้สงวนอวัยวะเพศของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับเว้นแต่ส่วนที่เปิดเผยได้ และให้เธอปิดผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอก” (คำแปลบทอันนูรฺ โองการที่ 31)
อนึ่ง เรื่องข้อบทบัญญัติเกี่ยวกับการคลุมผมและการแต่งกายที่มิดชิดของสตรีนั้นไม่ใช่ถูกระบุไว้เฉพาะในคัมภีร์อัลกุรอานเท่านั้น แต่ยังมีระบุไว้ในคัมภีร์ของศาสนาอื่นด้วยทั้งคัมภีร์ของชาวฮินดู, คัมภีร์ของชาวยิวและคริสต์ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าสตรีชาวคริสต์ในอดีตกาลนั้นจะมีการคลุมศีรษะเช่นกัน แต่ในปัจจุบันพวกเขาก็เลิกยึดถือบทบัญญัตินั้นซะแล้วที่เหลืออยู่ก็มีแต่เฉพาะซิสเตอร์เท่านั้นที่คลุม
ทำไมมุสลิมไม่กินหมู ?
ใครที่ถามแบบนี้ถือว่าเป็นการตั้งคำถามที่ถูกต้องครับ เพราะมุสลิมไม่กินหมู แต่ถ้าใครถามว่า “ทำไมมุสลิมกลัวหมู?” แบบนี้ถือว่าตั้งคำถามผิดนะครับ เพราะมุสลิมไม่ได้กลัวหมู แต่คนไทยเรามักเข้าใจผิดๆโดยไปจดจำมาจากหนังตลกว่ามุสลิมกลัวหมู และต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเมื่อเห็นหมู!
ส่วนคำตอบที่ว่าทำไมมุสลิมไม่กินหมูก็คือพระเจ้าสั่งห้ามนั่นเองครับ และสิ่งที่พระเจ้าสั่งห้ามก็ย่อมเป็นประโยชน์แก่มนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งในบางเรื่องนั้นมนุษย์ก็ไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำ หรือในบางเรื่องมนุษย์ก็สามารถค้นพบหาเหตุผลได้ด้วยกระบวนการศึกษาธรรมชาติหรือที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์
ยุคปัจจุบันมีการใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูเนื้อสัตว์ก็พบว่าเนื้อสัตว์ทุกชนิดมีพยาธิตัวเล็กๆที่ตามนุษย์มองไม่เห็นอยู่มากน้อยต่างกันไป แต่ในเนื้อหมูมีพยาธิบางชนิดซึ่งมีเกราะที่เกิดจากไขมันในเนื้อหมูห่อหุ้มมันอยู่ ซึ่งความร้อนจากการหุงต้มไม่สามารถทำลายมันได้ พยาธิเหล่านี้จะเข้าไปฝังอยู่ในร่างกายมนุษย์หลังจากที่กินเนื้อหมูเข้าไป และรอฟักตัวออกมาทำอันตรายร่างกายมนุษย์ เช่น ประสาทตาและประสาทสมอง เป็นต้น
มุสลิมในยุคก่อนเขาไม่ทราบถึงเหตุผลเหล่านี้ แต่เขาน้อมรับและปฏิบัติตามข้อบัญญัติที่มาจากพระเจ้า และหมูเป็นสัตว์ที่น่ารังเกียจ(กินขี้และนอนคลุกอยู่กับขี้ของมัน)ซึ่งพระเจ้าระบุไว้ว่าเป็นสัตว์สกปรก(นะญิส) ก็เท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่ามุสลิมไม่กินหมูเพราะเหตุผลที่ว่าหมูมีพยาธิ ดังนั้นถึงแม้ในอนาคตจะสามารถทำให้เนื้อหมูปลอดจากพยาธิชนิดนี้ได้ หรือจะเลี้ยงหมูอย่างดีไม่ต้องให้กินขี้และนอนคลุกอยู่กับขี้ แต่มุสลิมก็จะยังคงไม่กินหมูอยู่ดีเนื่องจากเป็นสิ่งที่พระเจ้าบัญญัติห้าม
แล้วถามว่าทำไมต้องห้ามน่ะหรือครับ? ก็เนื่องจากเป็นการพิสูจน์ความศรัทธาครับ มนุษย์ที่ศรัทธาในพระเจ้าเขาก็จะน้อมรับกฎระเบียบที่พระเจ้าบัญญัติไว้ เขาจะไม่กินตามปากอยาก แต่เขาจะเลือกกินโดยพิจารณาว่าพระเจ้าอนุญาตให้กินหรือไม่
และอาจมีบางคนตั้งคำถามว่า ในเมื่อไม่ให้กินหมูแล้วพระเจ้าจะสร้างหมูมาทำไม? คืออย่างนี้ครับ พระเจ้าสร้างสิ่งมีชีวิตมาหลากหลายชนิด แต่ไม่ใช่ว่าสัตว์ทุกชนิด จะถูกสร้างมาเพื่อเป็นอาหารสำหรับมนุษย์นะครับ สัตว์บางชนิดเกิดมาเพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศน์ สัตว์บางชนิดถูกสร้างมาเพื่อกินสัตว์กินพืช ไม่เช่นนั้นแล้วสัตว์กินพืชก็จะกินใบไม้หมดป่า ซึ่งป่าไม้และพืชนั้นก็ทำหน้าที่ซับน้ำ, ผลิตออกซิเจน, รักษาชั้นบรรยากาศของโลก และยังเป็นอาหารให้มนุษย์ด้วย ทำนองนี้เป็นต้นครับ ดังนั้นเราจึงต้องเลือกครับว่าสิ่งใดพระเจ้าอนุญาตให้กิน สิ่งใดพระเจ้าไม่อนุญาตให้กิน ซึ่งในเรื่องของอาหารแล้ว สิ่งใดที่พระเจ้าไม่ได้บัญญัติห้ามสิ่งนั้นถือว่าอนุญาตให้กินได้โดยปริยายครับ
ส่วนสิ่งอื่นที่พระเจ้าบัญญัติห้ามกิน ได้แก่ 1.)สิ่งมึนเมาทุกชนิด 2.)เลือด 3.)สัตว์บกที่ตายโดยไม่ได้ถูกเชือด 4.)สัตว์บกที่ไม่ได้กล่าวนามพระเจ้าขณะเชือด 5.)สัตว์บกที่ใช้กรงเล็บหรือเขี้ยวล่าสัตว์กินเป็นอาหาร 6.)เนื้อลา 7.)สัตว์ที่พระเจ้าระบุว่าเป็นสิ่งสกปรกน่ารังเกียจ(นะญิส) เช่น หมา 8.)อาหารใดก็ตามที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม เช่นขโมยมา หรือซื้อมาด้วยทรัพย์สินที่ได้มาโดยผิดหลักการศาสนา (เช่นเงินดอกเบี้ย เป็นต้น) ซึ่งทั้งหมดถูกบัญญัติในอัล-กุรอานและหะดีษทั้งสิ้น ..และนอกจากสิ่งที่กล่าวมาแล้วนี้รวมทั้งสัตว์น้ำทั้งหมดก็เป็นที่อนุญาตให้กินได้
เห็นไหมครับว่าที่ว่ากันว่ามุสลิมไม่กินหมูนั้น ไปๆมาๆไม่ใช่แค่หมูนะครับที่มุสลิมไม่กิน ดังนั้นคงหายสงสัยแล้วสินะครับว่าทำไมมุสลิมจึงมักจะหาแต่ร้านที่เป็นร้านอาหารอิสลาม แต่เห็นกฎระเบียบเยอะอย่างนี้คุณคงว่าสิ่งที่ศาสนาอิสลามบัญญัติห้ามนั้นมีเยอะเหลือเกิน แต่ที่จริงหากคุณนับถือศาสนาพุทธน่าจะลองเปิดพระไตรปิฎกดูมั่งนะครับว่า จริงๆแล้วศาสนาพุทธห้ามกินอะไรบ้าง? ซึ่งหากจะให้ผมนำมากล่าวในหนังสือเล่มนี้ก็คงจะไม่ไหวแน่ เพราะมีเยอะมาก! หรือคนที่นับถือศาสนายิวหรือคริสต์ก็เช่นกันหากเขาจะปฏิบัติตามคัมภีร์ล่ะก็มีสัตว์หลายชนิดครับที่คัมภีร์ระบุว่าห้ามกิน และที่สำคัญไม่เคยมีใครถามเลยว่าทำไมชาวยิวและชาวคริสต์ ปัจจุบันกินหมูกันซะแล้ว? ทั้งๆที่ในไบเบิล พันธสัญญาเก่าได้ระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามกินหมู! (ในบทเลวีนิติ)
ทำไมต้องละหมาด?
การละหมาดเป็นบัญญัติที่พระเจ้าได้สั่งให้ผู้ศรัทธาทุกๆยุค กระทำ(ไม่ว่าจะศาสดาท่านไหนๆก็ตาม) เพื่อแสดงความเคารพรักภักดีต่อพระองค์ โดยที่ผู้ศรัทธาห้ามไปแสดงความเคารพรักภักดีต่อวัตถุ หรือมนุษย์หน้าไหน เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้สร้างมนุษย์ ไม่ได้เป็นผู้ให้ชีวิตและปัจจัยยังชีพแก่มนุษย์ หากแต่มนุษย์เราต่างก็นำสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างมาใช้ประโยชน์ทั้งสิ้น แม้กระทั่งพ่อแม่ของเราเองก็ไม่ได้เป็นผู้สร้างอสุจิ ไม่ได้เป็นผู้สร้างมดลูก ไม่ได้เป็นผู้สร้างกระบวนการตกไข่ ไม่ได้เป็นผู้สร้างกลไกการปฏิสนธิ หากแต่กลไกทางธรรมชาติเหล่านี้ถูกสร้างมาโดยพระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งอภิบาลสรรพสิ่งทั้งปวง
การละหมาดเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อพระผู้เป็นเจ้า เป็นการเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าโดยตรง โดยไม่ต้องมีสื่อกลางหรือนักบวชมาคอยทำพิธีให้ นอกจากนั้นแล้วผลดีที่เกิดขึ้นนอกจากได้รับผลบุญแล้วก็คือ การละหมาดเป็นอาหารทางด้านจิตวิญญาณด้วย มนุษย์เรากินอาหารสำหรับร่างกายวันละ 3 เวลา แต่สำหรับอาหารของจิตวิญญาณบางคนไม่มีเลย เขาจึงเป็นคนที่จิตใจไม่สะอาด หรือมีจิตใจที่อ่อนแอ(เป็นลักษณะหนึ่งของผู้ที่ไม่ศรัทธา) ซึ่งสำหรับมุสลิมแล้วถูกกำหนดให้ละหมาด เป็นข้อบังคับวันละ 5 เวลา ส่วนนอกจากนี้แล้วก็สามารถละหมาดได้เนื่องในสถานการณ์ต่างๆ(ตามที่ท่านนบีได้ทิ้งแบบฉบับไว้) แต่ไม่เป็นที่บังคับ
การละหมาดยังเป็นการขัดเกลาจิตใจและพัฒนาศีลธรรมตนเอง ให้พ้นจากความชั่วทั้งหลาย ดังที่อัล-กุรอานได้กล่าวว่า “แท้จริงการละหมาดนั้นจะยับยั้งการทำสิ่งลามกและความชั่ว” (บทอัลอังกะบูต โองการที่ 45) ดังนั้นใครที่ละหมาดด้วยความศรัทธา และความรักต่อพระเจ้า(ไม่ใช่สักแต่ละหมาดไปตามประเพณี) เขาก็จะได้รับการขัดเกลาทางศีลธรรมให้พ้นจากการมีจิตใจที่ชั่วช้า
แสดงความคิดเห็น
ขอถามคนนับถือศาสนาอิสลามหน่อยนะครับ
2. ทำไมอิสลามถึงห้ามรับประทานหมูครับ
3. ทำไมอิสลามถึงต้องบังคับให้คนที่แต่งงานด้วยย้ายมาศาสนาตัวเองครับ
4. ทำไมต้องมีเดือนศีลอด เห็นว่าห้ามกลืนน้ำลายด้วยทรมานแย่เลย
5. ทำไมต้องละหมาดวันละหลายๆครั้งครับ
6. ทำไมประเทศอาหรับส่วนใหญ่กรีดกันเพศหญิงครับ(เรื่องการศึกษา และเรื่อง การเมือง กับเรื่องสามี)