ชาวไทลื้อในจังหวัดอุบลราชธานี





การแผ่อิทธิพลการเมืองของจีนฮั่นต่อชาวยูนนานและ
การครอบงำอาณาจักรเชียงรุ่ง
การเมืองเป็นเรื่องของการแข่งขันและแสวงหาให้ได้มาซึ่งอำนาจและใช้อำนาจไป มีผลกระทบต่อสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รูปแบบการได้มาซึ่งอำนาจแตกต่างกันมาโดยลำดับ แต่ในท้ายที่สุดผู้มีอำนาจก็จะใช้อำนาจไปมีผลกระทบต่อสังคม คนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ที่ไม่สามารถปรับตัวหรือรับสภาพการกดขี่ก็จะแยกตัวออกมา
ในปี พ.ศ. ๑๗๓๒ กลุ่มไทลื้อ ได้แยกตัวออกจากจากอาณาจักรตาลีฟู โดยสถาปนาอาณาจักรหอคำเชียงรุ่งขึ้นบริเวณสิบสองปันนา การปกครองตนเองของไทลื้อได้ถูกบ่อนเซาะแทรกแซงจากจีนเรื่อยมา ในขณะเดียวกันพวกฮั่นในมณฑลต่าง ๆ ก็ถูกคุกคามจากผู้ปกครอง ผู้มีอำนาจด้วยเช่นกัน ตัวอย่าง ในระหว่าง พ.ศ. ๒๑๗๑ – ๒๔๕๓ ชาวแมนจูเรียได้สถาปนา “ราชวงศ์ชิง” ขึ้นครองอำนาจในแผ่นดินจีน และได้เข้าปราบปรามชาวจีนฮั่นตามมณฑลต่างๆที่แข็งข้อไม่ยอมจำนน ซึ่งในจำนวนนี้ชาวจีนในมณฑลยูนนาน สถาปนาอาณาจักร ไท่ผิงเทียนกั๋ว ก็เป็นกลุ่มหนึ่งที่ถูกคุกคามจากชาวยูนนานเหล่านี้ ที่เรียกตัวเองว่า "ยูนนานเย่อ" แต่คนไทลื้อเรียกคนเหล่านี้ว่า “ฮ่อ” ไม่ยอมจำนนแต่ไม่สามารถต่อกรกับจีนได้ จึงต้องละทิ้งแผ่นดินและแสวงหาถิ่นใหม่ที่ตนจะเข้าไปครอบครองแทน โดยวิธีการของ ฮ่อ จะใช้กำลังอาวุธและกำลังคนที่มีจำนวนมากเข้าแย่งชิง เมืองหนึ่งที่พวกฮ่อหมายมั่นปั้นมือที่จะเข้ายึดครองคือเมืองเชียงรุ่ง ส่วนราชวงศ์ชิงก็ใช้วิธีการทางการเมืองเข้าครอบงำอาณาจักรหอคำเชียงรุ่ง โดยวิธีการทำให้เกิดการแตกแยกในเจ้านายเมืองเชียงรุ่ง เพื่อจะให้เจ้านายไทลื้อที่ฝักใฝ่ในราชวงศ์จีน เข้าปกครองอาณาจักรและอยู่ภายใต้การปกครองของจีนโดยปริยาย ตัวอย่าง ในปี พ.ศ. ๑๘๓๕ จีนได้อยู่เบื้องหลังการแต่งตั้งเจ้าแสนหวีฟ้า ขึ้นเป็นกษัตริย์เชียงรุ่ง ซึ่งคำว่า “แสนหวี” มาจากภาษาจีนว่า ชวนเหว่ ซึ่งหมายถึง การเกลี้ยกล่อมปลอบโยนประชาราษฎร ดังนั้นตำแหน่งของเจ้าแสนหวีจึงหมายถึงผู้ที่ทำหน้าที่เกลี้ยกล่อมปลอบโยนราษฎรในปกครองให้อยู่ในอำนาจของจักรพรรดิจีน เพราะเมืองเชียงรุ่งที่ตั้งอยู่ในสิบสองปันนาอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางอำนาจจากเมืองหลวงมาก จึงการยากที่จะคงกองกำลังทหารไว้ตลอดเวลา อาณาจักรหอคำ เชียงรุ่งจึงถูกคุกคามจากอาณาจักรข้างเคียงอยู่ตลอดเวลา ด้วยกำลังที่น้อยกว่าจึงต้องรักษาดุลยภาพให้ได้ทั้งจาก จีนฮั่น จีนฮ่อ รวมทั้งอาณาจักรพุกามที่อยู่ใกล้กันด้วย จึงเป็นการยากมากที่จะรักษาความสงบและความเป็นไท การแสวงหาที่สงบร่มเย็นจึงเกิดขึ้นปรากฏตามผังภาพ
การเกิดนครเขื่อนขันธ์ กาบแก้ว บัวบาน
ปี พ.ศ. ๒๒๒๘ จากความวุ่นวายไม่สงบทั้งทางการเมืองที่ถูกครอบงำโดยจีน และการใช้กำลังเข้าทำลายของพวกฮ่อทำให้เจ้านายในเมืองเชียงรุ่งจำนวนหนึ่ง ประกอบด้วย เจ้าอินทกุมาร เจ้านางจันทกุมารี และเจ้าปางคำ ตัดสินใจอพยพไพร่พลจำนวนมากมาขอพึ่งพระบารมีของ เจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช แห่งเวียงจันท์ ซึ่งเป็นพระประยูรญาติฝ่ายมารดา พระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช ได้โปรดให้นำไพร่พลจำนวนมากเหล่านั้น ไปตั้งที่บริเวณแห่งหนึ่งที่มีความอุดมสมบูรณ์มากและตั้งชื่อว่า "นครเขื่อนขันธ์ กาบแก้วบัวบาน" ต่อมาพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช ให้เจ้าปางคำเสกสมรสกับพระราชนัดดา ได้เกิดโอรส คือ พระตา สำหรับเจ้าปางคำนั้นเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในวรรณกรรมมากเชื่อกันว่าเป็นผู้แต่งนิทานเรื่อง สังข์สินไชย ซึ่งเป็นวรรณกรรมที่มีผู้นิยมมากในประเทศลาว และประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นครเขื่อนขันธ์กาบแก้ว บัวบาน เจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยรวดเร็ว จนเจ้าสิริบุญสาร ผู้ครองเวียงจันทน์องค์ต่อมาเริ่มไม่ไว้วางพระทัย เกรงว่าจะแข่งบารมีกับเวียงจันทน์ ส่วนพระตาเมื่อเจริญวัยเติบโตต่อมาภายหลังก็มี บุตรชายหญิงรวม ๘ คน คือ นางอุสา นางสีดา พระวอ นางแสนสีชาด นางแพงแสน เจ้าคำผง เจ้าทิตพรหม และนางเหมือนตา
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๑๔ พระเจ้าสิริบุญสารให้ส่งพระธิดาของพระตาเข้าไปเป็นสนมในลักษณะเพื่อเป็นตัวประกัน ด้วยเกรงว่า นครเขื่อนขันธ์กาบแก้ว บัวบาน จะแข่งบารมี พระตาพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่ไม่ดีนัก จึงขอไม่ส่งพระธิดาให้ตามสั่ง เป็นชนวนเหตุให้เกิดข้อพิพาทและเกิดการสู้รบกันในเวลาต่อมา แต่สงครามไม่เสร็จสิ้น มีความยืดเยื้อเป็นเวลา ๓ ปี เวียงจันทน์จึงขอรับการสนับสนุนกองกำลังจากพม่าที่เข้าปกครองเชียงใหม่อยู่ในขณะนั้น พระตาเห็นว่าการที่มีกองกำลังพม่าเข้าร่วมกับเวียงจันทน์ในครั้งนี้อาจนำความพ่ายแพ้มาให้ จึงมอบหมายให้บุตรชายคือ “พระวอ” นำผู้คนหลบจากนครเขื่อนขันธ์ กาบแก้ว บัวบาน ไปปักหลักรอที่ เมืองสิงห์โคกและสิงห์ท่า ซึ่งเป็นพื้นที่ในจังหวัดยโสธรในปัจจุบันนี้ แต่พระตาต้านทานกำลังไม่ไหวและเสียชีวิตในสนามรบ พระวอบุตรคนโตของพระตา จึงต้องอพยพผู้คนที่ปักหลักอยู่ที่เมืองสิงห์โคกและสิงห์ท่า ไปอยู่พื้นที่ดอนมดแดง ปัจจุบันคือพื้นที่ในจังหวัดอุบลราชธานี พระวอประเมินกำลังแล้วสู้ไม่ได้จึงขอพึ่งเจ้าผู้ครองนครจำปาสัก แต่ในท้ายที่สุดพระวอก็เสียชีวิตในสนามรบอีกคน
เจ้าคำผง ผู้น้อง จึงได้เป็นหัวหน้ากลุ่มแทนและพิจารณาแล้วเห็นว่าสู้ทัพของเวียงจันทน์ที่ตามมาไม่ได้แน่ จึงขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดให้เจ้าพระยาจักรี(ทองด้วง) ซึ่งต่อมาภายหลังคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกยกกองทัพมาช่วย และได้ตามไปตีเวียงจันทน์จนแตก
การเกิดเมืองอุบลราชธานี
ปีพ.ศ. 2322 พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาราชสุภาวดี เชิญท้องตราขึ้นมาตั้งให้บริเวณที่เจ้าคำผงตั้งอยู่ขึ้นเป็นเมืองอุบลราชธานี ให้เจ้าคำผงเป็นเจ้าเมืองที่พระประทุมราชวงศา ให้เจ้าทิตพรหมเป็นพระอุปฮาด ให้เจ้าก่ำเป็นราชวงศ์ ให้เจ้าสุดตาเป็นราชบุตร เป็นคณะอาชญาสี่ชุดแรกของเมืองอุบล สำหรับตำแหน่งอาชญาสี่นี้เป็นตำแหน่งทางการปกครองแบบลาวซึ่งใช้อยู่ในเมืองต่างๆดัง

เท่าที่สังเกตหน้าตาผิวพรรณชาวอุบลราชธานีจะขาวกว่าชาวอีสานทั่วไป น่าจะเพราะมีเชื้อสายไทลื้อจากเชียงรุ่งมา

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ฟ้อนวาดอุบล ของลูกหลานชาวอุบล
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่