เพิ่งมีโอกาสได้ไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านมา แล้วรู้สึกประทับใจกับประเทศนี้ เลยอยากมาเล่าสู่กันฟัง^^
เริ่มเลยนะ...
Day1 25/7/14
ออกตัวจากสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 10.30 น. โดยใช้บริการสายการบิน Maynmar Airways
เดินทางใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ถึงสนามบินย่างกุ้งประเทศเมียนมาร์ประมาณ 11.30 น.
เราได้ทำการติดต่อไกค์ท้องถิ่นไว้ซึ่งสามารถพูดไทยแบบชัดเปี้ยะเลย มีหลุดนิดๆหน่อยๆ พอให้อภัยได้

เซ เซ ออง ไกค์สุดหล่อของเรา

บรรยากาศตามสี่แยกของพม่า ขายหนังสือกันเล่มๆเลยทีเดียว บ้านเราว่าเหนือแล้วนะ พม่ารู้สึกเหนือกว่าและแลดูมีสาระ ^^

แท็กซี่มิเตอร์ ให้อารมณ์นิวยอร์กมาก
เรานั่งรถกันไปสักพักสถานที่แรกที่พี่เซพาไปคือ ร้านอาหาร 555 เพราะจะเที่ยงแล้ว หิวกันมาแน่นอน
พี่เซบอกว่าอาหารมื้อเป็นต้อนรับแบบเล็กๆน้อยๆก่อน

โอ้วบร้ะ!! ต้อนรับด้วยกุ้งมังกรเลยจร้า อร่อยมาก อยู่ไทยยังไม่เคยได้กินเลย - -"
หลังจากมีความสุขไปกับเจ้ากุ้งน้อยของเรา พี่เซก็พาเราไปยังสถานที่แรกของทริปนี้
นั่นคือตลาดสก็อต

ตลาดสก็อต อารมณ์ตลาดขายของฝากแบบบ้านเรา ส่วนใหญ่ขายเหมือนกันทุกร้านแบบบ้านเราเลย

ด้านในของตลาดสก็อต เดินยังไงก็เหมือนวนอยู่ที่เดิม เพราะขายเหมือนกันทุกร้านจริงๆ
และด้วยความที่ยังไม่มีอารมณ์ซื้อของฝาก นี่เพิ่งจะเองนะซื้อของฝากแล้วหรา???
เลยได้แต่เดินเบื่อๆรอคนอื่นเค้าช้อปปิ้งกัน แต่ก็เก็บภาพบรรยากาศไปเรื่อย

ขนมหลักๆในตลาดเลย เห็นเยอะมากหลายร้านเป็นแนวของทอดเผือกทอดมันทอด ซื้อมากินนิดหน่อยรู้สึกไม่ถูกปาก
แต่ชอบแนวคิดนี้ของเค้ามากๆ คือการที่นำตะกร้ารองสะเด็ดน้ำมันวางไว้ด้านบนเพื่อให้หยดน้ำมันไหลกลับมาลงกะทะใหม่อีกรอบ แลดูฉลาดเนอะ
เดินไปสักพักเริ่มไม่ไหวแหละ เลยหันไปถามพี่เซว่าแถวนี้มีเบียร์ขายมั้ย แกบอกมีแต่ต้องข้ามสะพานลอยไปฝั่งนู้นมีห้างอยู่
มองไปเหมือนอยู่ใกล้นะ แต่ประเด้นอยู่ที่กว่าจะเดินไปถึงสะพานอย่างเหนื่อย แต่เพื่อเบียร์แล้ว เราต้องสู้!!!

สถานที่เดียวในย่านนี้ที่มีเบียร์ขาย
หลังจากที่ซื้อเบียร์แล้วเปิดกินเป็นที่น่าพอใจแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังสถานที่ถัดไปพอดี
คราวนี้เราเดินทางออกไปนอกเมืองย่างกุ้งไปยังเมืองสิเรียม เพื่อที่จะไปสักการะพระเจดีย์กลางน้ำ

สถานที่ที่คนพม่าเชื่อว่าไม่มีวันน้ำท่วม
บรรยากาศรอบๆวัด
การเดินทางไปวัดเจดีย์กลางน้ำนั้นต้องนั่งเรือข้ามฟาก มันมีความสนุกตื่นเต้นตอนจังหวะจะขึ้นเรือนี่แหละ
เพราะเราต้องฝ่าดงเด็กขอขอทานซึ่งให้อารมณ์ The walking dead มากๆ วิธีการไล่เด็กพวกนี้ไปมีทั้ง 4ขั้นตอน
1. ห้ามสบตา
2. ทำสีหน้าดุดัน
3. พูดว่า No
4. แล้วเดินจากไป
เพียงเท่านี้ คุณก็จะรอดตาย
กลับมาเดินทางกันต่อ เรามุ่งหน้าเข้าสู่เมืองย่างกุ้งอีกครั้ง และสถานที่ถัดไปที่เราจะไปนั้น คือ
วัดพระนอนตาหวาน

ใบหน้าของพระนอนที่ดูงดงามอ่อนหวาน

พระนอนองค์เดียวในโลกที่มีขนตา

คุณย่าชาวพม่าที่เข้ามานั่งสวดมนต์พร้อมด้วยเจ้าเหมียวน้อยเป็นบอดี้การ์ด
สิ่งหนึ่งที่รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากคือ คนพม่าจะมาวัดกันทุกเย็นหลังเลิกงานหรือหลังจากเรียนหนังสือ
เค้าจะใช้วัดเป็นสถานที่พบปะพูดคุย และที่น่าตกใจยิ่งกว่า สถานบันเทิง อาทิเช่น ผับ บารื์หรือร้านนั่งชิว จะมีน้อยมากจนแทบจะรู้สึกเหมือนว่าไม่มีเลยและคนพม่าจะไม่นิยมเข้าสถานที่แบบนี้ส่วนใหญ่จะมีแต่นักท่องเที่ยวเท่านั้นที่เข้าไปใช้บริการ ผิดกับบ้านเราโดยสิ้นเชิง - -"
เอาล่ะ Next Station ของเราเรียกได้เป็นไคลแม็กส์ของเราในวันนี้เลยก็ว่าได้นั่นคือ
เจดีย์ชเวดากอง
ก้าวแรกที่เดินไปเห็น สตั้นไปสามวิ สวยมากจริงๆ อลังการงานสร้างสุดๆและยิ่งได้รู้ว่าใช้ทองทั้งหมด 60ตัน ยิ่งอึ้งไปกันใหญ่

ได้รูปมาแบบว่าดีใจสุดๆ เพราะไปหน้าฝนตก ทำให้บรรยากาศครื้มฟ้าครื้มฝนตลอดเวแล้วจังหวะนี้เมฆกำลังลอยมาตรงยอดเจดีย์คว้ากล้องออกมาแทบไม่ทัน ให้อารมณ์อย่างกะอยู่บนสวรรค์ชัดๆ
Day2
เช้านี้เราตื่นมากลางเมืองย่างกุ้ง พี่เซนัดเวลาเรา 567 ตามสเตปของทัวร์ แต่ด้วยความที่ตื่นเต้นและแปลกที่ทำให้ตื่นเร็วมาเกินที่นัดหมายไว้เลยเวลาไปเดินเล่นรอบๆโรงแรมเลยบังเอิญไปตลาดเช้าของชาวพม่า ซึ่งได้ฟิวบรรยากาศเที่ยวบ้านเมืองจริงๆ ผิดกับตลาดสก็อดเมื่อวานที่ทุกร้านจะตะดกนเรียกเราให้ไปซื้อสินค้าที่ร้าน แต่ตลาดที่นี่ต่างคนต่างทำมาหากิน สนใจแต่ลูกค้าที่เดินเข้ามาซื้อของตรงหน้าร้าน ไม่มีใครมองว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว (เอ้ะ!!! หรือว่าเราหน้าเหมือนคนพม่า - -a )

พ่อค้าขายหมูหน้าโหด โปรดสังเกตตาชั่ง

ชุดทอดปาท่องโก๋ อย่างเท่ห์

ชิ้นล่ะ 4บาท อร่อยดีเหมือนกันนะ^^
และจากเดินตลาดไปพอสมควรก้ถึงเวลาที่พี่เซนัดหมาย และที่แรกที่เราจะไปในวันนี้คงหนีไม่พ้นสถานที่ที่สร้างชื่อเสียงให้กับคนพม่าให้คนไทยได้รู้จักมากขึ้น นั่นคือ เทพทันใจ นั่นเอง

บรรยากาศด้านหน้าของวัด

เทพทันใจ ขอเพียงได้เพียงข้อเดียวแล้วจะสำริดผลในเร็ววัน
มีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของวัดนี้(ไปขอเค้าใช้ห้องน้ำเพราะขี้เกียจเดินไกล)
เราพูดคุยกับเค้าเยอะมาก (จังหวะรอเข้าห้องน้ำ) แต่มีประโยคหนึ่งที่เค้าย้ำกับเราบ่อยๆ
"ถ้าคุณเชื่อในตัวขององค์เทพ100% องค์เทพก็จะช่วยเหลือคุณ100%เช่นกัน"
หลังจากสักการะและขอเทพทันใจกันเรียบร้อย การเดินทางไปยังหงสาวดีคือเป้าหมายต่อไป
พระราชวังบุเรงนองคือสถานที่ที่แรกที่เราเที่ยวในหงสาวดี (หงสาวดีแท้จริงแล้วคือเมืองมอญ พี่เซเลยบอกเป็นนัยยะว่า พระเจ้าบุเรงนอง คือคนมอญ เพราะประเทศจะแตกต่างจากประเทศอยู่หนึ่งข้อ เวลาที่ชาวต่างเทศเรียกเราคนไทยแบบรวมๆไม่ได้ภาคเหนือภาคใต้ แต่เราก้ยังภูมิใจในคำว่าคนไทย ผิดกับคนพม่าถ้าเค้าไม่ใช่คนพม่าแต่เป็นมอญหรือกะเหรี่ยงหรือชนพื้นเมืองอื่นในพม่า ว่าเป็นคนพม่า พวกเค้าจะโกรธคุณมาก)

แบบจำลองของพระราชวังเพราะของเดิมถูกเผาทำลายไปจนเหลือแต่ตอไม้

เสาทุกต้นในพระราชวังเดิมนั้นเป็นของบรรณาการมาจากเมืองอื่น เลยทำให้ทุกเสามีการสลักจารึกว่ามาจากเมืองใด
เดินทางกันต่อเพื่อมุ่งหน้าขึ้นเขาไปสักการะพระธาตุอินทร์แขวน
การเดินทางสะดวกสบายมากๆ แค่ต้องนั่งรถหกล้อขับไต่ระดับไปถึงยอด รถวิ่งสวนไม่ได้จะขึ้นจะลงก็ต้องแจ้งกันตลอด เมองไปตามไหล่ทางก็ได้เห็นบรรยากาศด้านล่างแบบเต็มตาไม่มีอะไรมาบดบัง ขับก้ไม่เร็วมากเพราะทางลาดชันตลอดเส้น โค้งไม่ใช่หักศอกแต่มันพับศอกไปเลย ชิวมากๆ
แต่เมื่อถึงยอดเขาแล้วนึกได้อย่างเดียวเลยว่า นี่เราขึ้นมาสวรรค์ใช่มั้ย อากาศดีมากกกกกกกกกกก หนาวแบบพอดีๆ มีเมฆมาปะทะหน้าเราตลอดเว

บรรยากาศแถวรีสอร์ท

วิวจากห้องพัก
การไปสักการะพระธาตุ ต้องเดินเท้าขึ้นเขาไปอีกหน่อย ไม่รู้สึกเหนื่อยเพราะอาจเป้นอากาศเย็นสบายๆเดินได้ชิวๆ

เนื่องจากมีเมฆมากและฝนกตกทำท่าจะตกประกอบด้วยแบทกล้องหมด เลยทำได้แค่คว้ามือถือมาถ่าย
Day3
หลังจากที่ต้องหวาดเสียวกับการลงเขาอีกครั้ง เราก็ถึงพื้นราบอย่างปลอดภัยแล้วมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองย่างกุ้งอีกครั้ง
เราไปต่อกันที่วัดพระนอน (จำชื่อวัดไม่ได้อ่า^^)

เป็นพระนอนที่มีหมอนเป็นหีบสมบัติ

เจดีย์ที่ถือว่าหนึ่งใน5ของพุทธบุชาในพม่า

วัดไต้จุ่น วัดพระหันหลังชนกัน (พี่เซแนะนำว่าถ้าอยากได้ทานาคาที่ดีต้องซื้อที่หน้าวัดนี้)

ฝนตกน้ำท่วม ชาวพม่าเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสเอารถออกมาล้างซะเลย55

สามล้อพม่า นั่งได้ทั้งหมด 3 คน

จำไม่ได้ว่าคลอดลูกทิ้งไว้นี่ แต่เด็กคนนี้เดินมาแล้วเรียกว่า แม่ แม่ คืองงมาก???

ขนมมันฝรั่งทอดให้อารมณ์เหมือนเลย์บ้านเราเลย ไม่ใช่เรื่องรสชาติ แต่อัดมาแต่อากาศเต็มถุง เปิดมาทีพุ่งใส่หน้าเต็มๆ

และสุดท้ายก็ถึงเวลาบ้ายบายเมียนมาร์ มนตร์เสน่ห์แห่งเมืองทางพุทธศาสนา
การไปเที่ยวพม่าได้แง่คิดอะไรดีๆหลายอย่างในชีวิต เช่นการมโนไปเองว่าเมืองนั้นเมืองนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างงี้จากคำบอกเล่าจากปากผู้คน มันไม่ดีเท่าการไปสัมผัสและเรียนรู้ด้วยด้วยเองหรอก
ใครที่ยังไม่เคยมาสัมผัสประเทศเมียนมาร์นี้พูดได้คำเดียวเลยว่า เมื่อคุณมาถึงและกลับไป ความคิดที่คุณมีอยู่นั้นจะเปลี่ยนไป ^^
ขอบคุณที่รับชมนะคะ
มุมมองที่เปลี่ยนไปเมื่อไปพม่า
เริ่มเลยนะ...
Day1 25/7/14
ออกตัวจากสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 10.30 น. โดยใช้บริการสายการบิน Maynmar Airways
เดินทางใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ถึงสนามบินย่างกุ้งประเทศเมียนมาร์ประมาณ 11.30 น.
เราได้ทำการติดต่อไกค์ท้องถิ่นไว้ซึ่งสามารถพูดไทยแบบชัดเปี้ยะเลย มีหลุดนิดๆหน่อยๆ พอให้อภัยได้
เซ เซ ออง ไกค์สุดหล่อของเรา
บรรยากาศตามสี่แยกของพม่า ขายหนังสือกันเล่มๆเลยทีเดียว บ้านเราว่าเหนือแล้วนะ พม่ารู้สึกเหนือกว่าและแลดูมีสาระ ^^
แท็กซี่มิเตอร์ ให้อารมณ์นิวยอร์กมาก
เรานั่งรถกันไปสักพักสถานที่แรกที่พี่เซพาไปคือ ร้านอาหาร 555 เพราะจะเที่ยงแล้ว หิวกันมาแน่นอน
พี่เซบอกว่าอาหารมื้อเป็นต้อนรับแบบเล็กๆน้อยๆก่อน
โอ้วบร้ะ!! ต้อนรับด้วยกุ้งมังกรเลยจร้า อร่อยมาก อยู่ไทยยังไม่เคยได้กินเลย - -"
หลังจากมีความสุขไปกับเจ้ากุ้งน้อยของเรา พี่เซก็พาเราไปยังสถานที่แรกของทริปนี้
นั่นคือตลาดสก็อต
ตลาดสก็อต อารมณ์ตลาดขายของฝากแบบบ้านเรา ส่วนใหญ่ขายเหมือนกันทุกร้านแบบบ้านเราเลย
ด้านในของตลาดสก็อต เดินยังไงก็เหมือนวนอยู่ที่เดิม เพราะขายเหมือนกันทุกร้านจริงๆ
และด้วยความที่ยังไม่มีอารมณ์ซื้อของฝาก นี่เพิ่งจะเองนะซื้อของฝากแล้วหรา???
เลยได้แต่เดินเบื่อๆรอคนอื่นเค้าช้อปปิ้งกัน แต่ก็เก็บภาพบรรยากาศไปเรื่อย
ขนมหลักๆในตลาดเลย เห็นเยอะมากหลายร้านเป็นแนวของทอดเผือกทอดมันทอด ซื้อมากินนิดหน่อยรู้สึกไม่ถูกปาก
แต่ชอบแนวคิดนี้ของเค้ามากๆ คือการที่นำตะกร้ารองสะเด็ดน้ำมันวางไว้ด้านบนเพื่อให้หยดน้ำมันไหลกลับมาลงกะทะใหม่อีกรอบ แลดูฉลาดเนอะ
เดินไปสักพักเริ่มไม่ไหวแหละ เลยหันไปถามพี่เซว่าแถวนี้มีเบียร์ขายมั้ย แกบอกมีแต่ต้องข้ามสะพานลอยไปฝั่งนู้นมีห้างอยู่
มองไปเหมือนอยู่ใกล้นะ แต่ประเด้นอยู่ที่กว่าจะเดินไปถึงสะพานอย่างเหนื่อย แต่เพื่อเบียร์แล้ว เราต้องสู้!!!
สถานที่เดียวในย่านนี้ที่มีเบียร์ขาย
หลังจากที่ซื้อเบียร์แล้วเปิดกินเป็นที่น่าพอใจแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังสถานที่ถัดไปพอดี
คราวนี้เราเดินทางออกไปนอกเมืองย่างกุ้งไปยังเมืองสิเรียม เพื่อที่จะไปสักการะพระเจดีย์กลางน้ำ
สถานที่ที่คนพม่าเชื่อว่าไม่มีวันน้ำท่วม
บรรยากาศรอบๆวัด
การเดินทางไปวัดเจดีย์กลางน้ำนั้นต้องนั่งเรือข้ามฟาก มันมีความสนุกตื่นเต้นตอนจังหวะจะขึ้นเรือนี่แหละ
เพราะเราต้องฝ่าดงเด็กขอขอทานซึ่งให้อารมณ์ The walking dead มากๆ วิธีการไล่เด็กพวกนี้ไปมีทั้ง 4ขั้นตอน
1. ห้ามสบตา
2. ทำสีหน้าดุดัน
3. พูดว่า No
4. แล้วเดินจากไป
เพียงเท่านี้ คุณก็จะรอดตาย
กลับมาเดินทางกันต่อ เรามุ่งหน้าเข้าสู่เมืองย่างกุ้งอีกครั้ง และสถานที่ถัดไปที่เราจะไปนั้น คือ
วัดพระนอนตาหวาน
ใบหน้าของพระนอนที่ดูงดงามอ่อนหวาน
พระนอนองค์เดียวในโลกที่มีขนตา
คุณย่าชาวพม่าที่เข้ามานั่งสวดมนต์พร้อมด้วยเจ้าเหมียวน้อยเป็นบอดี้การ์ด
สิ่งหนึ่งที่รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากคือ คนพม่าจะมาวัดกันทุกเย็นหลังเลิกงานหรือหลังจากเรียนหนังสือ
เค้าจะใช้วัดเป็นสถานที่พบปะพูดคุย และที่น่าตกใจยิ่งกว่า สถานบันเทิง อาทิเช่น ผับ บารื์หรือร้านนั่งชิว จะมีน้อยมากจนแทบจะรู้สึกเหมือนว่าไม่มีเลยและคนพม่าจะไม่นิยมเข้าสถานที่แบบนี้ส่วนใหญ่จะมีแต่นักท่องเที่ยวเท่านั้นที่เข้าไปใช้บริการ ผิดกับบ้านเราโดยสิ้นเชิง - -"
เอาล่ะ Next Station ของเราเรียกได้เป็นไคลแม็กส์ของเราในวันนี้เลยก็ว่าได้นั่นคือ
เจดีย์ชเวดากอง
ก้าวแรกที่เดินไปเห็น สตั้นไปสามวิ สวยมากจริงๆ อลังการงานสร้างสุดๆและยิ่งได้รู้ว่าใช้ทองทั้งหมด 60ตัน ยิ่งอึ้งไปกันใหญ่
ได้รูปมาแบบว่าดีใจสุดๆ เพราะไปหน้าฝนตก ทำให้บรรยากาศครื้มฟ้าครื้มฝนตลอดเวแล้วจังหวะนี้เมฆกำลังลอยมาตรงยอดเจดีย์คว้ากล้องออกมาแทบไม่ทัน ให้อารมณ์อย่างกะอยู่บนสวรรค์ชัดๆ
Day2
เช้านี้เราตื่นมากลางเมืองย่างกุ้ง พี่เซนัดเวลาเรา 567 ตามสเตปของทัวร์ แต่ด้วยความที่ตื่นเต้นและแปลกที่ทำให้ตื่นเร็วมาเกินที่นัดหมายไว้เลยเวลาไปเดินเล่นรอบๆโรงแรมเลยบังเอิญไปตลาดเช้าของชาวพม่า ซึ่งได้ฟิวบรรยากาศเที่ยวบ้านเมืองจริงๆ ผิดกับตลาดสก็อดเมื่อวานที่ทุกร้านจะตะดกนเรียกเราให้ไปซื้อสินค้าที่ร้าน แต่ตลาดที่นี่ต่างคนต่างทำมาหากิน สนใจแต่ลูกค้าที่เดินเข้ามาซื้อของตรงหน้าร้าน ไม่มีใครมองว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว (เอ้ะ!!! หรือว่าเราหน้าเหมือนคนพม่า - -a )
พ่อค้าขายหมูหน้าโหด โปรดสังเกตตาชั่ง
ชุดทอดปาท่องโก๋ อย่างเท่ห์
ชิ้นล่ะ 4บาท อร่อยดีเหมือนกันนะ^^
และจากเดินตลาดไปพอสมควรก้ถึงเวลาที่พี่เซนัดหมาย และที่แรกที่เราจะไปในวันนี้คงหนีไม่พ้นสถานที่ที่สร้างชื่อเสียงให้กับคนพม่าให้คนไทยได้รู้จักมากขึ้น นั่นคือ เทพทันใจ นั่นเอง
บรรยากาศด้านหน้าของวัด
เทพทันใจ ขอเพียงได้เพียงข้อเดียวแล้วจะสำริดผลในเร็ววัน
มีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของวัดนี้(ไปขอเค้าใช้ห้องน้ำเพราะขี้เกียจเดินไกล)
เราพูดคุยกับเค้าเยอะมาก (จังหวะรอเข้าห้องน้ำ) แต่มีประโยคหนึ่งที่เค้าย้ำกับเราบ่อยๆ
"ถ้าคุณเชื่อในตัวขององค์เทพ100% องค์เทพก็จะช่วยเหลือคุณ100%เช่นกัน"
หลังจากสักการะและขอเทพทันใจกันเรียบร้อย การเดินทางไปยังหงสาวดีคือเป้าหมายต่อไป
พระราชวังบุเรงนองคือสถานที่ที่แรกที่เราเที่ยวในหงสาวดี (หงสาวดีแท้จริงแล้วคือเมืองมอญ พี่เซเลยบอกเป็นนัยยะว่า พระเจ้าบุเรงนอง คือคนมอญ เพราะประเทศจะแตกต่างจากประเทศอยู่หนึ่งข้อ เวลาที่ชาวต่างเทศเรียกเราคนไทยแบบรวมๆไม่ได้ภาคเหนือภาคใต้ แต่เราก้ยังภูมิใจในคำว่าคนไทย ผิดกับคนพม่าถ้าเค้าไม่ใช่คนพม่าแต่เป็นมอญหรือกะเหรี่ยงหรือชนพื้นเมืองอื่นในพม่า ว่าเป็นคนพม่า พวกเค้าจะโกรธคุณมาก)
แบบจำลองของพระราชวังเพราะของเดิมถูกเผาทำลายไปจนเหลือแต่ตอไม้
เสาทุกต้นในพระราชวังเดิมนั้นเป็นของบรรณาการมาจากเมืองอื่น เลยทำให้ทุกเสามีการสลักจารึกว่ามาจากเมืองใด
เดินทางกันต่อเพื่อมุ่งหน้าขึ้นเขาไปสักการะพระธาตุอินทร์แขวน
การเดินทางสะดวกสบายมากๆ แค่ต้องนั่งรถหกล้อขับไต่ระดับไปถึงยอด รถวิ่งสวนไม่ได้จะขึ้นจะลงก็ต้องแจ้งกันตลอด เมองไปตามไหล่ทางก็ได้เห็นบรรยากาศด้านล่างแบบเต็มตาไม่มีอะไรมาบดบัง ขับก้ไม่เร็วมากเพราะทางลาดชันตลอดเส้น โค้งไม่ใช่หักศอกแต่มันพับศอกไปเลย ชิวมากๆ
แต่เมื่อถึงยอดเขาแล้วนึกได้อย่างเดียวเลยว่า นี่เราขึ้นมาสวรรค์ใช่มั้ย อากาศดีมากกกกกกกกกกก หนาวแบบพอดีๆ มีเมฆมาปะทะหน้าเราตลอดเว
บรรยากาศแถวรีสอร์ท
วิวจากห้องพัก
การไปสักการะพระธาตุ ต้องเดินเท้าขึ้นเขาไปอีกหน่อย ไม่รู้สึกเหนื่อยเพราะอาจเป้นอากาศเย็นสบายๆเดินได้ชิวๆ
เนื่องจากมีเมฆมากและฝนกตกทำท่าจะตกประกอบด้วยแบทกล้องหมด เลยทำได้แค่คว้ามือถือมาถ่าย
Day3
หลังจากที่ต้องหวาดเสียวกับการลงเขาอีกครั้ง เราก็ถึงพื้นราบอย่างปลอดภัยแล้วมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองย่างกุ้งอีกครั้ง
เราไปต่อกันที่วัดพระนอน (จำชื่อวัดไม่ได้อ่า^^)
เป็นพระนอนที่มีหมอนเป็นหีบสมบัติ
เจดีย์ที่ถือว่าหนึ่งใน5ของพุทธบุชาในพม่า
วัดไต้จุ่น วัดพระหันหลังชนกัน (พี่เซแนะนำว่าถ้าอยากได้ทานาคาที่ดีต้องซื้อที่หน้าวัดนี้)
ฝนตกน้ำท่วม ชาวพม่าเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสเอารถออกมาล้างซะเลย55
สามล้อพม่า นั่งได้ทั้งหมด 3 คน
จำไม่ได้ว่าคลอดลูกทิ้งไว้นี่ แต่เด็กคนนี้เดินมาแล้วเรียกว่า แม่ แม่ คืองงมาก???
ขนมมันฝรั่งทอดให้อารมณ์เหมือนเลย์บ้านเราเลย ไม่ใช่เรื่องรสชาติ แต่อัดมาแต่อากาศเต็มถุง เปิดมาทีพุ่งใส่หน้าเต็มๆ
และสุดท้ายก็ถึงเวลาบ้ายบายเมียนมาร์ มนตร์เสน่ห์แห่งเมืองทางพุทธศาสนา
การไปเที่ยวพม่าได้แง่คิดอะไรดีๆหลายอย่างในชีวิต เช่นการมโนไปเองว่าเมืองนั้นเมืองนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างงี้จากคำบอกเล่าจากปากผู้คน มันไม่ดีเท่าการไปสัมผัสและเรียนรู้ด้วยด้วยเองหรอก
ใครที่ยังไม่เคยมาสัมผัสประเทศเมียนมาร์นี้พูดได้คำเดียวเลยว่า เมื่อคุณมาถึงและกลับไป ความคิดที่คุณมีอยู่นั้นจะเปลี่ยนไป ^^
ขอบคุณที่รับชมนะคะ