สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 56
เราลองเอารูปที่คุณ จขกท. ไปเสริชข้อมูลมาแล้วค่ะ คำอธิบายอยู่ใต้ภาพแต่ละภาพนะคะ

1. เป็นรูปภาพ Post mortem เหมือนที่ คห. อื่นๆบอกค่ะ น่าจะถูกถ่ายในสมัยวิคทอเรียนเพราะเป็นที่นิยมมากในสมัยนั้น ส่วนมากจะถ่ายให้ศพดูธรรมชาติมากที่สุด เหมือนนอนหลับอยู่หรือไม่ก็เหมือนกำลังทำอิริยาบทเหมือนตอนมีชิวิตอยู่ ส่วนมากจะเป็นรูปเด็กๆซะส่วนใหญ่ บางรูปก็ถ่ายคนเดียว บางรูปก็มีผู้เป็นแม่อุ้มอยู่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

2. รูปนี้มีชื่อว่า Séance 1930's Berlin เป็นรูปการทำพิธีกรรมเก่าแก่ที่เรียกว่า Séance เป็นพิธีกรรมที่มีความเชื่อกันว่าทำให้สื่อสารกับวิญญาณได้ น่าจะมีเชื่อเสียงและมีคนสนใจพอสมควร ขนาด Abraham Lincoln และภรรยา Mary Todd Lincoln ก็เคยทำพิธีกรรมนี้ใน white house เนื่องจากทั้งสองเสียลูกชายไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

3. รูปนี้ไม่แน่ใจว่าผ่านการ Photoshop มาหรือเปล่า แต่สังเกตุดีๆผู้ชายด้านหลังหน้าเหมือน Freddy Krueger เลย แต่จริงๆแล้วก็มีรูปภาพหลอนๆแบบนี้เยอะมากในอินเตอร์เน็ต รูปนี้แค่หนึ่งในนั้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

4. เป็นการแต่งรูปในสมัยวิคทอเรียนเหมือนที่ คห. บนๆอธิบายไว้

5. เป็นรูปของ Ectoplasm อันนี้เราไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ใครแปลได้แปลให้หน่อยนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

6. ภาพนี้เราคิดว่าทำขึ้นเพื่อเป็นปกอัลบั้มเพลงแนว Witch house

7. เป็นรูปปั้นน้ำพุรูปเด็ก 6 คน เต้นรำรอบตัวจระเข้ชื่อ Barmaley Fountain ในเมือง Stalingrad (ปัจจุบัน Volgrograd) ประเทศรัสเซีย ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1930 สมัยที่รัสเซียยังเป็นสหะภาพโซเวียต รูปปั้นถูกทำลายในช่วงสงคราม battle of stalingrad และถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง รูปปั้นตัวเดิมได้ถูกยกออกไปในช่วงปี 1950 และถูกแทนที่ด้วยตัวที่ทำเหมือนอีกครั้งในปี 2013 ปัจจุบันมีน้ำพุรูปแบบเดียวกันถึง 2 ที่อยู่ในเมือง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

8. รุปภาพของนายแพทย์ Josef Mengele ในค่ายกักกัน Auschwitz ของนาซีเยอรมัน หลายๆคนเรียกเค้าว่า "Angel of death" หรือเทวดาแห่งความตาย รายละเอียดอ่านได้ใน คห.12 ค่ะ
9. รูปนี้ข้ามนะคะเพราะเป็นรูปเดียวกันกับรูปที่ 1

10. รูปมีชื่อว่า Dressing a Wound in Toul, France น่าจะเป็นรูปการทำแผลปกติของหมอสมัยนั้น สาเหตุที่เอาผ้าห่อตัวคนไข้ไว้อาจจะเป็นเพราะเพื่อไม่ให้เสื้อผ้าเปื้อนเลือด (หรือเปล่า??)

11. ไม่แน่ใจว่ารูปนี้คือรูปอะไร มันคือตัวอะไรกันแน่ สังเกตุดีๆหลังของเด็ก(ผี)มีรูปถ่ายของ Dorian Gray ติดอยู่ที่ผนังด้วย

12. รูปผู้ป่วยโรค Utrechtse Krop (Utrecht goitre) จาก University Medical Center Utrecht ในช่วงปี 1890 โรคนี้เกิดจากต่อมไทรอยด์มีปัญหาเนื่องจากดื่มน้ำที่มีไอโอดีนผสมอยู่ไปเป็นจำนวนมาก สมัยก่อนพบผู้ป่วยโรคนี้ได้บ่อยในเมือง Utrecht ประเทศเนเธอร์แลนด์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

13. Dissection room at a medical school of a Bordeaux, France medical school c. 1890 รูปภาพห้องผ่าตัดหนึ่งที่โรงเรียนแพทย์ในเมือง Bordeaux ประเทศฝรั่งเศสในช่วงปี 1890

14. ภาพจากเหตุการณ์ 2010 Moscow metro bombing สาวรัสเซียในรูปโพสต์ท่าถ่ายรูปหน้าตาแฮปปี้และไม่มีทีท่าตกใจบนรถไฟท่ามกลางศพนับสิบที่ถูกลากไปไว้ที่ท้ายของขบวนรถไฟ เห็นแล้วสยองแทน

15. เป็นรูปที่หาคำอธิบายได้ยากจริงๆ คงจะเป็นพิธีกรรมอะไรซักอย่าง No one knows...

16. pina bausch blaubart performance 1977 เป็นละครเวทีที่เป็นต้นแบบซีรีย์เรื่อง American Horror Story รายละเอียดใน คห.38 ค่ะ ขอเพิ่มนิดนึงนะคะ วิธีที่ขุนนางแขวนภรรยาของเขาก็คือการตอกตะปูลงไปบนตัวพวกเธอ

17. รูปของ The watcher ในซีรีย์ Doctor Who
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

1. เป็นรูปภาพ Post mortem เหมือนที่ คห. อื่นๆบอกค่ะ น่าจะถูกถ่ายในสมัยวิคทอเรียนเพราะเป็นที่นิยมมากในสมัยนั้น ส่วนมากจะถ่ายให้ศพดูธรรมชาติมากที่สุด เหมือนนอนหลับอยู่หรือไม่ก็เหมือนกำลังทำอิริยาบทเหมือนตอนมีชิวิตอยู่ ส่วนมากจะเป็นรูปเด็กๆซะส่วนใหญ่ บางรูปก็ถ่ายคนเดียว บางรูปก็มีผู้เป็นแม่อุ้มอยู่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

2. รูปนี้มีชื่อว่า Séance 1930's Berlin เป็นรูปการทำพิธีกรรมเก่าแก่ที่เรียกว่า Séance เป็นพิธีกรรมที่มีความเชื่อกันว่าทำให้สื่อสารกับวิญญาณได้ น่าจะมีเชื่อเสียงและมีคนสนใจพอสมควร ขนาด Abraham Lincoln และภรรยา Mary Todd Lincoln ก็เคยทำพิธีกรรมนี้ใน white house เนื่องจากทั้งสองเสียลูกชายไป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

3. รูปนี้ไม่แน่ใจว่าผ่านการ Photoshop มาหรือเปล่า แต่สังเกตุดีๆผู้ชายด้านหลังหน้าเหมือน Freddy Krueger เลย แต่จริงๆแล้วก็มีรูปภาพหลอนๆแบบนี้เยอะมากในอินเตอร์เน็ต รูปนี้แค่หนึ่งในนั้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

4. เป็นการแต่งรูปในสมัยวิคทอเรียนเหมือนที่ คห. บนๆอธิบายไว้

5. เป็นรูปของ Ectoplasm อันนี้เราไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ใครแปลได้แปลให้หน่อยนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

6. ภาพนี้เราคิดว่าทำขึ้นเพื่อเป็นปกอัลบั้มเพลงแนว Witch house

7. เป็นรูปปั้นน้ำพุรูปเด็ก 6 คน เต้นรำรอบตัวจระเข้ชื่อ Barmaley Fountain ในเมือง Stalingrad (ปัจจุบัน Volgrograd) ประเทศรัสเซีย ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1930 สมัยที่รัสเซียยังเป็นสหะภาพโซเวียต รูปปั้นถูกทำลายในช่วงสงคราม battle of stalingrad และถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง รูปปั้นตัวเดิมได้ถูกยกออกไปในช่วงปี 1950 และถูกแทนที่ด้วยตัวที่ทำเหมือนอีกครั้งในปี 2013 ปัจจุบันมีน้ำพุรูปแบบเดียวกันถึง 2 ที่อยู่ในเมือง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

8. รุปภาพของนายแพทย์ Josef Mengele ในค่ายกักกัน Auschwitz ของนาซีเยอรมัน หลายๆคนเรียกเค้าว่า "Angel of death" หรือเทวดาแห่งความตาย รายละเอียดอ่านได้ใน คห.12 ค่ะ
9. รูปนี้ข้ามนะคะเพราะเป็นรูปเดียวกันกับรูปที่ 1

10. รูปมีชื่อว่า Dressing a Wound in Toul, France น่าจะเป็นรูปการทำแผลปกติของหมอสมัยนั้น สาเหตุที่เอาผ้าห่อตัวคนไข้ไว้อาจจะเป็นเพราะเพื่อไม่ให้เสื้อผ้าเปื้อนเลือด (หรือเปล่า??)

11. ไม่แน่ใจว่ารูปนี้คือรูปอะไร มันคือตัวอะไรกันแน่ สังเกตุดีๆหลังของเด็ก(ผี)มีรูปถ่ายของ Dorian Gray ติดอยู่ที่ผนังด้วย

12. รูปผู้ป่วยโรค Utrechtse Krop (Utrecht goitre) จาก University Medical Center Utrecht ในช่วงปี 1890 โรคนี้เกิดจากต่อมไทรอยด์มีปัญหาเนื่องจากดื่มน้ำที่มีไอโอดีนผสมอยู่ไปเป็นจำนวนมาก สมัยก่อนพบผู้ป่วยโรคนี้ได้บ่อยในเมือง Utrecht ประเทศเนเธอร์แลนด์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

13. Dissection room at a medical school of a Bordeaux, France medical school c. 1890 รูปภาพห้องผ่าตัดหนึ่งที่โรงเรียนแพทย์ในเมือง Bordeaux ประเทศฝรั่งเศสในช่วงปี 1890

14. ภาพจากเหตุการณ์ 2010 Moscow metro bombing สาวรัสเซียในรูปโพสต์ท่าถ่ายรูปหน้าตาแฮปปี้และไม่มีทีท่าตกใจบนรถไฟท่ามกลางศพนับสิบที่ถูกลากไปไว้ที่ท้ายของขบวนรถไฟ เห็นแล้วสยองแทน

15. เป็นรูปที่หาคำอธิบายได้ยากจริงๆ คงจะเป็นพิธีกรรมอะไรซักอย่าง No one knows...


16. pina bausch blaubart performance 1977 เป็นละครเวทีที่เป็นต้นแบบซีรีย์เรื่อง American Horror Story รายละเอียดใน คห.38 ค่ะ ขอเพิ่มนิดนึงนะคะ วิธีที่ขุนนางแขวนภรรยาของเขาก็คือการตอกตะปูลงไปบนตัวพวกเธอ

17. รูปของ The watcher ในซีรีย์ Doctor Who
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ความคิดเห็นที่ 15
http://board.postjung.com/752401.html
Post-Mortem Photgraphy หรือเรียกกันว่า Memorial Portraiture
หรือ Memento Mori (ภาษาละติน) เป็นการถ่ายภาพบุคคลที่เสียชีวิตแล้วไว้เป็นที่ระลึก
กิจการถ่ายภาพนี้ ได้รับความนิยมหลังจากมีการคิดค้นวิธีถ่ายภาพแบบ ดูแกรีโอไทพ์ (Daguerreotype) ในปี 1839 เนื่องจากบางคนไม่สามารถนั่งเป็นแบบในการเขียนภาพเหมือนบุคคลได้ (Painted Portrait) และการถ่ายภาพดังกล่าวยังมีราคาถูกว่าและรวดเร็วกว่า จึงเป็นที่นิยมสำหรับชนชั้นกลางที่ต้องการถ่ายภาพบุคคลอันเป็นที่รักที่เสียชีวิตไปแล้วเก็บไว้เป็นที่ระลึก
กิจการการถ่ายภาพแบบนี้ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ทางแถบทวีปยุโรป และค่อยๆ สูญหายไป (Die out) หลังจากมีการคิดค้นการถ่ายรูปแบบ Snapshot
ในช่วงยุควิกตอเรียน (Victorian Era) อัตราการตายของเด็กและทารกนั้นสูงมาก ภาพถ่ายส่วนใหญ่จึงเป็นภาพถ่ายของเด็กทารกหรือเด็กเล็กๆ และเมื่อมีการคิดค้นภาพแบบ Carte de Visite (ภาพเล็กๆ ที่อยู่บนการ์ด) ทำให้สามารถทำสำเนาภาพแจกจ่ายให้กับบรรดาญาติทั้งหลายได้อีกด้วย
การถ่ายภาพ Post-Mortem Photgraphy มีทั้งแบบที่ถ่ายใกล้ๆ (Close up) ใบหน้าและแบบถ่ายเต็มตัว ส่วนมากจะไม่นำเอาโลงศพเข้ามาประกอบ ศพที่นำมาถ่ายจะมีลักษณะเหมือนกำลังหลับลึกหรือมีการจัดท่าทางให้ดูเหมือนมีชีวิต ศพผู้ใหญ่ จะถูกจัดท่าให้นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยใช้ไม้หรือวัสดุอื่นๆ มาช่วยค้ำ หรือไม่ก็ผูกติดกับวัสดุที่เอามาค้ำ
บางครั้ง ก็ใช้วัสดุมาช่วยค้ำเปลือกตาเพื่อให้ดูเหมือนกำลังลืมตา หรืออาจจะใช้วิธีเขียนตาลงไปบนภาพ เพื่อให้ดูมีชีวิตมากยิ่งขึ้น สำหรับภาพถ่ายช่วงแรกๆ (โดยเฉพาะแบบ แอมโบรไทพ์ (Ambrotypes) และแบบทินไทพ์ (Tintype) จะมีการนำเอาสีชมพูอ่อนๆ มาแต้มที่แก้มศพด้วย
ในกรณีที่เป็นการถ่ายภาพเด็ก มักจะจัดท่าให้เหมือนนอนอยู่บนที่นอน หรือถ่ายภาพคู่กับของเล่นชิ้นโปรด รวมทั้ง มีการถ่ายคู่กับสมาชิกในครอบครัว (ส่วนใหญ่จะถ่ายคู่กับผู้เป็นมารดา) นอกจากนี้มักจะนำเอาดอกไม้มาประดับตกแต่งด้วย
Post-Mortem Photgraphy หรือเรียกกันว่า Memorial Portraiture
หรือ Memento Mori (ภาษาละติน) เป็นการถ่ายภาพบุคคลที่เสียชีวิตแล้วไว้เป็นที่ระลึก
กิจการถ่ายภาพนี้ ได้รับความนิยมหลังจากมีการคิดค้นวิธีถ่ายภาพแบบ ดูแกรีโอไทพ์ (Daguerreotype) ในปี 1839 เนื่องจากบางคนไม่สามารถนั่งเป็นแบบในการเขียนภาพเหมือนบุคคลได้ (Painted Portrait) และการถ่ายภาพดังกล่าวยังมีราคาถูกว่าและรวดเร็วกว่า จึงเป็นที่นิยมสำหรับชนชั้นกลางที่ต้องการถ่ายภาพบุคคลอันเป็นที่รักที่เสียชีวิตไปแล้วเก็บไว้เป็นที่ระลึก
กิจการการถ่ายภาพแบบนี้ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ทางแถบทวีปยุโรป และค่อยๆ สูญหายไป (Die out) หลังจากมีการคิดค้นการถ่ายรูปแบบ Snapshot
ในช่วงยุควิกตอเรียน (Victorian Era) อัตราการตายของเด็กและทารกนั้นสูงมาก ภาพถ่ายส่วนใหญ่จึงเป็นภาพถ่ายของเด็กทารกหรือเด็กเล็กๆ และเมื่อมีการคิดค้นภาพแบบ Carte de Visite (ภาพเล็กๆ ที่อยู่บนการ์ด) ทำให้สามารถทำสำเนาภาพแจกจ่ายให้กับบรรดาญาติทั้งหลายได้อีกด้วย
การถ่ายภาพ Post-Mortem Photgraphy มีทั้งแบบที่ถ่ายใกล้ๆ (Close up) ใบหน้าและแบบถ่ายเต็มตัว ส่วนมากจะไม่นำเอาโลงศพเข้ามาประกอบ ศพที่นำมาถ่ายจะมีลักษณะเหมือนกำลังหลับลึกหรือมีการจัดท่าทางให้ดูเหมือนมีชีวิต ศพผู้ใหญ่ จะถูกจัดท่าให้นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยใช้ไม้หรือวัสดุอื่นๆ มาช่วยค้ำ หรือไม่ก็ผูกติดกับวัสดุที่เอามาค้ำ
บางครั้ง ก็ใช้วัสดุมาช่วยค้ำเปลือกตาเพื่อให้ดูเหมือนกำลังลืมตา หรืออาจจะใช้วิธีเขียนตาลงไปบนภาพ เพื่อให้ดูมีชีวิตมากยิ่งขึ้น สำหรับภาพถ่ายช่วงแรกๆ (โดยเฉพาะแบบ แอมโบรไทพ์ (Ambrotypes) และแบบทินไทพ์ (Tintype) จะมีการนำเอาสีชมพูอ่อนๆ มาแต้มที่แก้มศพด้วย
ในกรณีที่เป็นการถ่ายภาพเด็ก มักจะจัดท่าให้เหมือนนอนอยู่บนที่นอน หรือถ่ายภาพคู่กับของเล่นชิ้นโปรด รวมทั้ง มีการถ่ายคู่กับสมาชิกในครอบครัว (ส่วนใหญ่จะถ่ายคู่กับผู้เป็นมารดา) นอกจากนี้มักจะนำเอาดอกไม้มาประดับตกแต่งด้วย
ความคิดเห็นที่ 5
ก็ไม่ยากครับ คริกขวาที่รูปภาพเลือก - copy image url - (ในกูเกิลโคม)
กดเข้าไปที่ลิงค์>>> https://images.google.com/
กดคำว่า ค้นด้วยภาพ รูปกล้องสีดำๆ แล้ว กด ctrl+v กดค้นหา
แล้วที่มาของรูปก็จะขึ้นมาตรึมเลย
กดเข้าไปที่ลิงค์>>> https://images.google.com/
กดคำว่า ค้นด้วยภาพ รูปกล้องสีดำๆ แล้ว กด ctrl+v กดค้นหา
แล้วที่มาของรูปก็จะขึ้นมาตรึมเลย

ความคิดเห็นที่ 38

ภาพนี้เป็นฉากหนึ่งในละครเวทีที่สร้างมาจากนิทานพื้นบ้านฝรั่งเศสเรื่อง " La Barbe bleue" (เคราสีคราม) ค่ะ
เนื้อเรื่องประมาณว่ามีขุนนางใหญ่คนหนึ่งที่มีหน้าตาอัปลักษณ์น่ากลัว และมีนิสัยโหดอำมหิต
เขาได้ฆ่าภรรยาของตนคนเเล้วคนเล่าเอาไปเเขวนไว้บนผนังห้องลับใต้ดิน
เเล้วนางเอกซึ่งเป็นภรรยาคนล่าสุดก็บังเอิญได้ไปเจอห้องลับอันน่าสะพรึงกลัวนั้นเข้าเลยพยายามทุกวิถีทางที่จะหนีเอาตัวรอดจากสามีใจโหด
มีคลิปการเเสดงฉากนี้ด้วยค่ะ ทรงพลังเเละหลอนได้ใจ
http://www.youtube.com/watch?v=e9jhlvk3j5w&list=PL8C9D270AE7B150DA&index=5
ส่วนนี่เป็นภาพอ้างอิงจากนิทานค่ะ

ภาพนี้เป็นฉากหนึ่งในละครเวทีที่สร้างมาจากนิทานพื้นบ้านฝรั่งเศสเรื่อง " La Barbe bleue" (เคราสีคราม) ค่ะ
เนื้อเรื่องประมาณว่ามีขุนนางใหญ่คนหนึ่งที่มีหน้าตาอัปลักษณ์น่ากลัว และมีนิสัยโหดอำมหิต
เขาได้ฆ่าภรรยาของตนคนเเล้วคนเล่าเอาไปเเขวนไว้บนผนังห้องลับใต้ดิน
เเล้วนางเอกซึ่งเป็นภรรยาคนล่าสุดก็บังเอิญได้ไปเจอห้องลับอันน่าสะพรึงกลัวนั้นเข้าเลยพยายามทุกวิถีทางที่จะหนีเอาตัวรอดจากสามีใจโหด
มีคลิปการเเสดงฉากนี้ด้วยค่ะ ทรงพลังเเละหลอนได้ใจ
http://www.youtube.com/watch?v=e9jhlvk3j5w&list=PL8C9D270AE7B150DA&index=5
ส่วนนี่เป็นภาพอ้างอิงจากนิทานค่ะ

ความคิดเห็นที่ 3
ภาพที่ 3 มันคือเทคนิครีทัชภาพ นิยมถ่ายภาพถือหัว ในยุควิตอเรีย (ตกแต่ง retouch ฟิล์ม ก่อนที่โลกนี้จะมี photoshop)
http://io9.com/the-creepiest-headless-portraits-from-the-victorian-era-472678985
เหมือนที่ยุคนึงที่นิยมเทคนิคถ่ายภาพซ้อน แล้วภาพที่คนนึงชูมือขึ้นถืออีกคนตัวจิ๋ว ๆ เป็นที่นิยม
http://io9.com/the-creepiest-headless-portraits-from-the-victorian-era-472678985
เหมือนที่ยุคนึงที่นิยมเทคนิคถ่ายภาพซ้อน แล้วภาพที่คนนึงชูมือขึ้นถืออีกคนตัวจิ๋ว ๆ เป็นที่นิยม
แสดงความคิดเห็น
อยากทราบที่มาของภาพน่ากลัวพวกนี้ครับ
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17