รับปากกับคุณ PIK-DIK-DEE ซึ่งขอเมนูนี้ไว้ตั้งแต่หน่อเริ่มออกวางตลาดใหม่ ๆ แต่ที่เพิ่งจะได้ทำ
เพราะเป็นความตั้งใจอย่างยิ่งว่าต้องรอหน่อเผาให้ได้เสียก่อน เพราะหน่อเผาจะให้กลิ่นที่หอมกว่า
หน่อต้มธรรมดา เวลาเอามายำจะให้ความอร่อยเพิ่มขี้น
เมื่อวานไปเดินกาดคนเดิน เพิ่งจะได้เห็นหน่อเผาห่อแรกแห่งปี แม่ค้าขายห่อละ 10 บาท ดูแล้วมีไม่น้อย
ห่อเดียวน่าจะพอ
จัดการเอามาต้มล้างน้ำอีกครั้ง บีบน้ำออกให้มากที่สุดแล้วมาหั่นเป็นท่อน ๆ ให้สั้นลงเวลากินจะกินง่ายขึ้น
จะยำเฉพาะหน่อเผาอย่างเดียวก็ได้ แต่เป็นความชอบส่วนตัวที่เวลาคั่วหน่อหรือยำหน่อ สล่าจะใส่บะลิดไม้
ช่วยปรุงรสให้ได้ขม ๆ หวาน ๆ ทุกครั้ง (อันนี้แล้วแต่สะดวกและความชอบนะครับ)
พอดีไปได้บะข่วงจากกาดเสาร์ มามัดหนึ่งเข้าล๊อคพอดี ของถูกคู่ยำหน่อ สล่าเพิ่งรู้จักเพราะที่ท้องถิ่นสล่าปู่
เขาเรียก ตะไคร้ต้น เป็นของป่ามีอยู่บนดอย ที่ได้ก็เพราะพี่น้องบนดอยเอาลงมาขาย
เตรียมเครื่องปรุง มีกระเทียม พริกขี้หนูสด บะข่วง
น้ำปลาร้าต้มสุก
โขลกเครื่องปรุงแค่พอแหลก กะให้ได้รสสัมผัสตอนเคี้ยวด้วย แล้วนำไปใส่รวมกันกับน้ำปลาร้า
หัวใจยำหน่อ สีดำ ๆ ที่เห็นคือน้ำปู๋ กะปิคนเมือง ใส่ลงไปแล้วคนให้เข้ากัน
เอาหน่อเผากับบะลิดไม้เทลงไปคลุกผสมให้เข้ากัน งานนี้แทนที่กลิ่นน้ำปูจะนำโด่งกลับกลายเป็น
บะข่วงเสียอีก โดยมีกลิ่นปลาร้ากับน้ำปูตามมาติด ๆ
ใบขิงซอย ใส่ลงไป
ชิม ปรุงรสได้ที่แล้ว ใส่แคบหมูสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงคลุกด้วย
ฟินเลยครับ ทีเด็ดวันนี้อยู่ที่ทั้งรสและกลิ่น บะข่วงจะออกปร่าลิ้นเล็กน้อย ความขมผสมหวานของหน่อกับบะลิดไม้
กลมกลืนกันอย่างลงตัว กลิ่นน้ำปูให้ความรู้สึกถึงความเป็นลูกทุ่งคนเมืองเหนือขนานแท้ แบบนี้ต้องเจอกับข้าวนึ่งละครับ
จัดแบบเต็ม ๆ อย่างนี้ก็คงต้องรอตรวจการบ้านอดีตละอ่อนอ่างแก้วตีนดอยสุเทพเมื่อ 30 ปีก่อน คุณ PIK-DIK-DEE
ว่าจะทำได้เหมือนที่เคยกินมาก่อนในอดีตก่อ
สวัสดีครับ
จัดไปตามคำขอ "ยำหน่อไม้ใส่น้ำปู๋" กับข้าวคนเมืองที่ชวนเปลืองข้าวนึ่ง
เพราะเป็นความตั้งใจอย่างยิ่งว่าต้องรอหน่อเผาให้ได้เสียก่อน เพราะหน่อเผาจะให้กลิ่นที่หอมกว่า
หน่อต้มธรรมดา เวลาเอามายำจะให้ความอร่อยเพิ่มขี้น
เมื่อวานไปเดินกาดคนเดิน เพิ่งจะได้เห็นหน่อเผาห่อแรกแห่งปี แม่ค้าขายห่อละ 10 บาท ดูแล้วมีไม่น้อย
ห่อเดียวน่าจะพอ
จัดการเอามาต้มล้างน้ำอีกครั้ง บีบน้ำออกให้มากที่สุดแล้วมาหั่นเป็นท่อน ๆ ให้สั้นลงเวลากินจะกินง่ายขึ้น
จะยำเฉพาะหน่อเผาอย่างเดียวก็ได้ แต่เป็นความชอบส่วนตัวที่เวลาคั่วหน่อหรือยำหน่อ สล่าจะใส่บะลิดไม้
ช่วยปรุงรสให้ได้ขม ๆ หวาน ๆ ทุกครั้ง (อันนี้แล้วแต่สะดวกและความชอบนะครับ)
พอดีไปได้บะข่วงจากกาดเสาร์ มามัดหนึ่งเข้าล๊อคพอดี ของถูกคู่ยำหน่อ สล่าเพิ่งรู้จักเพราะที่ท้องถิ่นสล่าปู่
เขาเรียก ตะไคร้ต้น เป็นของป่ามีอยู่บนดอย ที่ได้ก็เพราะพี่น้องบนดอยเอาลงมาขาย
เตรียมเครื่องปรุง มีกระเทียม พริกขี้หนูสด บะข่วง
น้ำปลาร้าต้มสุก
โขลกเครื่องปรุงแค่พอแหลก กะให้ได้รสสัมผัสตอนเคี้ยวด้วย แล้วนำไปใส่รวมกันกับน้ำปลาร้า
หัวใจยำหน่อ สีดำ ๆ ที่เห็นคือน้ำปู๋ กะปิคนเมือง ใส่ลงไปแล้วคนให้เข้ากัน
เอาหน่อเผากับบะลิดไม้เทลงไปคลุกผสมให้เข้ากัน งานนี้แทนที่กลิ่นน้ำปูจะนำโด่งกลับกลายเป็น
บะข่วงเสียอีก โดยมีกลิ่นปลาร้ากับน้ำปูตามมาติด ๆ
ใบขิงซอย ใส่ลงไป
ชิม ปรุงรสได้ที่แล้ว ใส่แคบหมูสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงคลุกด้วย
ฟินเลยครับ ทีเด็ดวันนี้อยู่ที่ทั้งรสและกลิ่น บะข่วงจะออกปร่าลิ้นเล็กน้อย ความขมผสมหวานของหน่อกับบะลิดไม้
กลมกลืนกันอย่างลงตัว กลิ่นน้ำปูให้ความรู้สึกถึงความเป็นลูกทุ่งคนเมืองเหนือขนานแท้ แบบนี้ต้องเจอกับข้าวนึ่งละครับ
จัดแบบเต็ม ๆ อย่างนี้ก็คงต้องรอตรวจการบ้านอดีตละอ่อนอ่างแก้วตีนดอยสุเทพเมื่อ 30 ปีก่อน คุณ PIK-DIK-DEE
ว่าจะทำได้เหมือนที่เคยกินมาก่อนในอดีตก่อ
สวัสดีครับ