สวัสดีค่ะทุกคน ใกล้วันแม่แล้ว มาเขียนกระทู้แชร์ชีวิตตัวเอง
ชีวิตของเด็กบ้านแตก ที่กว่าจะเข้าใจหัวใจของคุณแม่ ก็กินเวลาไปนานเหลือเกิน
กระทู้ที่จะเขียนต่อไปนี้ เพียงหวังว่าจะเป็นกำลังใจให้คนอื่นๆ ที่รู้สึกว่า คำว่า “ครอบครัว” มันไม่ครบสมบูรณ์ ผ่านอะไรมาบ้าง
กว่าจะเข้าใจหัวใจของคุณแม่ หวังว่าจะเป็นกำลังใจให้ใครได้บ้างนะคะ(?) จะเป็นกระทู้ระบายไปหรือเปล่าเนี่ย?
เริ่มเลยแล้วกัน เราเกิดมาในครอบครัวที่คิดว่า อบอุ่น พอสมควร ไม่เคยรู้สึกขาดหรืออะไร คุณแม่ทำงานที่ต้องไปต่างประเทศเป็นประจำ อยู่บ้างไม่อยู่บ้าง ดังนั้นเราเลยติดคุณพ่อ ซึ่งเป็นนักดนตรีทำงานกลางคืน กลางคืนเราก็นอน เด็กอนามัย 2 ทุ่มก็หลับแล้วค่ะ ในวันที่คุณแม่ไม่อยู่ เราก็จะอยู่กับเจ๊ ซึ่งก็คือพี่เลี้ยงชาวพม่า ฐานะครอบครัวปานกลาง งานคุณแม่ดูจะได้เงินเยอะ แต่จริงๆ ก็ไม่เท่าไหร่ค่ะ เพราะจำได้ว่าตอนเด็กๆ พวกของเล่นอะไรก็ไม่ได้มีเยอะ เน้นที่ขนมมากกว่าที่คุณจะซื้อกลับมาฝากเสมอๆ ครอบครัวเราก็มีความสุขดี เราเชื่อแบบนั้น
เรารักคุณพ่อมากกว่าคุณแม่ เพราะคุณพ่ออยู่กับเรามากกว่า ไปรับส่งเราไปโรงเรียนทุกวัน พาไปเที่ยว หาอะไรทาน นู่นนี่นั่น และสิ่งที่คุณพ่อทำกับเราคือ .. สอนให้เราเป็น
เด็กขี้โกหกค่ะ โดยที่เราไม่รู้อะไร เราทำตามที่คุณพ่อพูดเสมอ เพราะค่าตอบแทนจากสิ่งเหล่านั้น คือการได้ไปเล่นสนุกตามต้องการ ได้ของอย่างที่ต้องการเสมอ
และคนที่เราโกหกคือ คุณแม่ ค่ะ
ที่เราจำได้คือ คุณพ่อชอบไปเซียร์ค่ะ ชอบไปดองอยู่ตามร้านขายพวกมือถือ หามือถือให้เราเล่น โดยมีเงื่อนไขว่า “ห้ามบอกคุณแม่นะ เพราะถ้าคุณแม่รู้ เราจะโดนริบมือถือ” ตอนนั้นเราเป็นเด็กประถม ด้วยความที่ไม่อยากให้ของเล่นตัวเองโดนริบไป เราจึงซ่อนโทรศัพท์ไม่ให้คุณแม่เห็น และแม่ก็ไม่เคยรู้เลย จนเราโตแล้วเล่าเอง แล้วก็มารู้ทีหลังด้วยว่าคุณพ่อเนี่ย จีบแม่ค้าค่ะ ถึงได้มีโทรศัพท์หมุนเวียนเปลี่ยนรุ่นไปเรื่อยๆ -__-
พอเราขึ้นประถมคุณแม่ก็ท้อง ได้น้องชายมาคนนึง ตอนนั้นแอบเห่อน้องนิดหน่อย เพราะไม่เคยเห็นเด็กทารกมาก่อน แต่ก็ไม่นานค่ะ เรากลายเป็นเด็กขี้อิจฉา ทุกคนสนใจน้องมากกว่าเรา เล่นกับน้อง ไม่เล่นกับเรา พอน้องร้องไห้งอแง ทุกคนก็จะเข้าไปโอ๋ เราเริ่มเกลียดน้องตัวเอง แล้วคิดว่า “เกิดมาทำไม” กลังจากนั้นเราก็ไม่เข้าใกล้น้องอีกเลย น้องแตะตัวไม่ได้ เหมือนโดนน้ำร้อนลวกเลยค่ะ ดิ้นพราดๆ จะเป็นจะตาย ๕๕๕๕ นิสัยไม่ดีเลยตอนนั้น
ชีวิตเราก็ดำเนินอยู่แบบนั้นไปจนถึงประถมห้า ช่วงนั้นคุณพ่อทำงานอยู่อนุเสาวรีย์ค่ะ victory point (ไม่รู้ตอนนี้ยังอยู่หรือเปล่า ไม่ได้ผ่านไปแถวนั้นแล้ว) วันไหนที่คุณแม่อยู่โดยเฉพาะวันศุกร์ มักจะพาเราไปที่ทำงานคุณพ่อค่ะ ไปนั่งดูโน่นนี่นั่น คุณแม่ก็ไปนั่งดื่มกับเพื่อนบ้าง ทั้งเพื่อนคุณแม่เอง แล้วก็เพื่อนคุณพ่อ ที่นั่นเรามีเพื่อนเล่นด้วยค่ะ คือพี่สาวร้านขายค็อกเทล เรามักจะไปนั่งเล่นอยู่ในร้านด้วย ไปช่วยหยิบจับของ คั้นน้ำมะนาวบ้าว คั้นน้ำส้มบ้าง แอบชิมค็อกเทลบ้าง พี่สาวคนนั้นตอนนั้นน่าจะเรียนมหาลัยถ้าจำไม่ผิด แต่เขาบอกว่า
“เราเป็นเพื่อนกัน” ดังนั้นพี่เขาจึงเป็นเพื่อนเราค่ะ พี่เขาชื่อ เจด (นามสมมุติ)
แล้วเรื่องราวก็เริ่มขึ้น เราจำได้วันนึงน้ามาที่บ้าน มานั่งคุยกับคุณแม่ แม่ให้เราไปดูการ์ตูนบนห้องนอนกับเจ๊ ไปๆ มาๆ แม่ก็บอกเราว่า วันนี้จะไปนอนบ้านน้ากันนะ เราก็ดีใจ เพราะมีพี่อีกสองคนอยู่ มีเพื่อนเล่นด้วย แล้วพวกเราก็เก็บเสื้อผ้ากัน หลายชุดเลย ชุดนักเรียน ชุดนอน ชุดอยู่บ้าน แต่ตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกนะว่าเก็บหลายชุด แปลว่าไปอยู่หลายวัน คือไม่ได้สังเกตแหละมัวแต่ดีใจจะได้ไปนอนบ้านน้า
พอไปถึงเราก็เล่นๆ คิดได้อีกทีก็คือ .. แล้วคุณพ่อล่ะ? คุณพ่อไปทำงาน แล้วคุณแม่บอกหรือยังนะ?
เราก็เลยถามคุณแม่ค่ะ ว่าบอกคุณพ่อหรือยัง .. ตอนนั้นเองที่คุณแม่ยิ้มแล้วบอกเราว่า แม่มีเรื่องจะคุยด้วย
คุณแม่พูดเรื่องที่คิดว่าเราน่าจะทำความเข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ต้องมีรายละเอียดเยอะ เอาแค่เท่าที่จำเป็นพอ คือ
“แม่ไล่พ่อออกจากบ้าน แม่จะไม่ให้พ่ออยู่แล้ว
พ่อมีคนอื่น”
แม่พูดแค่นั้น เราได้ยินแล้วรู้สึกเหมือนเวลาหยุดเดิน หัวใจเราแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หัวสมองเราเหมือนหยุดทำงาน มีเพียงประโยคเดียวที่ดังอยู่ในหูคือ แม่ไล่พ่อออกจากบ้าน วินาทีนั้นเราเชื่อคุณพ่อสุดชีวิตค่ะ เราเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ คุณแม่ใส่ร้ายคุณพ่อทำไม อย่างที่เขาว่าไว้ ความรักทำให้คนตาบอด เราตาบอดหูหนวกไปสนิท
คืนนั้นเรานอนลืมตาอยู่แบบนั้น น้ำตาไหลออกมามากมาย โดยไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น
คุณแม่ก็นอนไม่หลับหันมาเห็นเรานอนน้ำตาไหล คุณแม่ลูบหัวเรา แล้วคุณแม่ก็ร้องไห้เงียบๆ เหมือนกัน
เดี๋ยวมาต่อค่ะ พาคุณหมาไปเดินเล่นก่อน
[แชร์ชีวิตเด็กบ้านแตก] กว่าจะเข้าใจคุณแม่
ชีวิตของเด็กบ้านแตก ที่กว่าจะเข้าใจหัวใจของคุณแม่ ก็กินเวลาไปนานเหลือเกิน
กระทู้ที่จะเขียนต่อไปนี้ เพียงหวังว่าจะเป็นกำลังใจให้คนอื่นๆ ที่รู้สึกว่า คำว่า “ครอบครัว” มันไม่ครบสมบูรณ์ ผ่านอะไรมาบ้าง
กว่าจะเข้าใจหัวใจของคุณแม่ หวังว่าจะเป็นกำลังใจให้ใครได้บ้างนะคะ(?) จะเป็นกระทู้ระบายไปหรือเปล่าเนี่ย?
เริ่มเลยแล้วกัน เราเกิดมาในครอบครัวที่คิดว่า อบอุ่น พอสมควร ไม่เคยรู้สึกขาดหรืออะไร คุณแม่ทำงานที่ต้องไปต่างประเทศเป็นประจำ อยู่บ้างไม่อยู่บ้าง ดังนั้นเราเลยติดคุณพ่อ ซึ่งเป็นนักดนตรีทำงานกลางคืน กลางคืนเราก็นอน เด็กอนามัย 2 ทุ่มก็หลับแล้วค่ะ ในวันที่คุณแม่ไม่อยู่ เราก็จะอยู่กับเจ๊ ซึ่งก็คือพี่เลี้ยงชาวพม่า ฐานะครอบครัวปานกลาง งานคุณแม่ดูจะได้เงินเยอะ แต่จริงๆ ก็ไม่เท่าไหร่ค่ะ เพราะจำได้ว่าตอนเด็กๆ พวกของเล่นอะไรก็ไม่ได้มีเยอะ เน้นที่ขนมมากกว่าที่คุณจะซื้อกลับมาฝากเสมอๆ ครอบครัวเราก็มีความสุขดี เราเชื่อแบบนั้น
เรารักคุณพ่อมากกว่าคุณแม่ เพราะคุณพ่ออยู่กับเรามากกว่า ไปรับส่งเราไปโรงเรียนทุกวัน พาไปเที่ยว หาอะไรทาน นู่นนี่นั่น และสิ่งที่คุณพ่อทำกับเราคือ .. สอนให้เราเป็นเด็กขี้โกหกค่ะ โดยที่เราไม่รู้อะไร เราทำตามที่คุณพ่อพูดเสมอ เพราะค่าตอบแทนจากสิ่งเหล่านั้น คือการได้ไปเล่นสนุกตามต้องการ ได้ของอย่างที่ต้องการเสมอ และคนที่เราโกหกคือ คุณแม่ ค่ะ
ที่เราจำได้คือ คุณพ่อชอบไปเซียร์ค่ะ ชอบไปดองอยู่ตามร้านขายพวกมือถือ หามือถือให้เราเล่น โดยมีเงื่อนไขว่า “ห้ามบอกคุณแม่นะ เพราะถ้าคุณแม่รู้ เราจะโดนริบมือถือ” ตอนนั้นเราเป็นเด็กประถม ด้วยความที่ไม่อยากให้ของเล่นตัวเองโดนริบไป เราจึงซ่อนโทรศัพท์ไม่ให้คุณแม่เห็น และแม่ก็ไม่เคยรู้เลย จนเราโตแล้วเล่าเอง แล้วก็มารู้ทีหลังด้วยว่าคุณพ่อเนี่ย จีบแม่ค้าค่ะ ถึงได้มีโทรศัพท์หมุนเวียนเปลี่ยนรุ่นไปเรื่อยๆ -__-
พอเราขึ้นประถมคุณแม่ก็ท้อง ได้น้องชายมาคนนึง ตอนนั้นแอบเห่อน้องนิดหน่อย เพราะไม่เคยเห็นเด็กทารกมาก่อน แต่ก็ไม่นานค่ะ เรากลายเป็นเด็กขี้อิจฉา ทุกคนสนใจน้องมากกว่าเรา เล่นกับน้อง ไม่เล่นกับเรา พอน้องร้องไห้งอแง ทุกคนก็จะเข้าไปโอ๋ เราเริ่มเกลียดน้องตัวเอง แล้วคิดว่า “เกิดมาทำไม” กลังจากนั้นเราก็ไม่เข้าใกล้น้องอีกเลย น้องแตะตัวไม่ได้ เหมือนโดนน้ำร้อนลวกเลยค่ะ ดิ้นพราดๆ จะเป็นจะตาย ๕๕๕๕ นิสัยไม่ดีเลยตอนนั้น
ชีวิตเราก็ดำเนินอยู่แบบนั้นไปจนถึงประถมห้า ช่วงนั้นคุณพ่อทำงานอยู่อนุเสาวรีย์ค่ะ victory point (ไม่รู้ตอนนี้ยังอยู่หรือเปล่า ไม่ได้ผ่านไปแถวนั้นแล้ว) วันไหนที่คุณแม่อยู่โดยเฉพาะวันศุกร์ มักจะพาเราไปที่ทำงานคุณพ่อค่ะ ไปนั่งดูโน่นนี่นั่น คุณแม่ก็ไปนั่งดื่มกับเพื่อนบ้าง ทั้งเพื่อนคุณแม่เอง แล้วก็เพื่อนคุณพ่อ ที่นั่นเรามีเพื่อนเล่นด้วยค่ะ คือพี่สาวร้านขายค็อกเทล เรามักจะไปนั่งเล่นอยู่ในร้านด้วย ไปช่วยหยิบจับของ คั้นน้ำมะนาวบ้าว คั้นน้ำส้มบ้าง แอบชิมค็อกเทลบ้าง พี่สาวคนนั้นตอนนั้นน่าจะเรียนมหาลัยถ้าจำไม่ผิด แต่เขาบอกว่า “เราเป็นเพื่อนกัน” ดังนั้นพี่เขาจึงเป็นเพื่อนเราค่ะ พี่เขาชื่อ เจด (นามสมมุติ)
แล้วเรื่องราวก็เริ่มขึ้น เราจำได้วันนึงน้ามาที่บ้าน มานั่งคุยกับคุณแม่ แม่ให้เราไปดูการ์ตูนบนห้องนอนกับเจ๊ ไปๆ มาๆ แม่ก็บอกเราว่า วันนี้จะไปนอนบ้านน้ากันนะ เราก็ดีใจ เพราะมีพี่อีกสองคนอยู่ มีเพื่อนเล่นด้วย แล้วพวกเราก็เก็บเสื้อผ้ากัน หลายชุดเลย ชุดนักเรียน ชุดนอน ชุดอยู่บ้าน แต่ตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกนะว่าเก็บหลายชุด แปลว่าไปอยู่หลายวัน คือไม่ได้สังเกตแหละมัวแต่ดีใจจะได้ไปนอนบ้านน้า
พอไปถึงเราก็เล่นๆ คิดได้อีกทีก็คือ .. แล้วคุณพ่อล่ะ? คุณพ่อไปทำงาน แล้วคุณแม่บอกหรือยังนะ?
เราก็เลยถามคุณแม่ค่ะ ว่าบอกคุณพ่อหรือยัง .. ตอนนั้นเองที่คุณแม่ยิ้มแล้วบอกเราว่า แม่มีเรื่องจะคุยด้วย
คุณแม่พูดเรื่องที่คิดว่าเราน่าจะทำความเข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ต้องมีรายละเอียดเยอะ เอาแค่เท่าที่จำเป็นพอ คือ
“แม่ไล่พ่อออกจากบ้าน แม่จะไม่ให้พ่ออยู่แล้ว พ่อมีคนอื่น”
แม่พูดแค่นั้น เราได้ยินแล้วรู้สึกเหมือนเวลาหยุดเดิน หัวใจเราแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หัวสมองเราเหมือนหยุดทำงาน มีเพียงประโยคเดียวที่ดังอยู่ในหูคือ แม่ไล่พ่อออกจากบ้าน วินาทีนั้นเราเชื่อคุณพ่อสุดชีวิตค่ะ เราเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ คุณแม่ใส่ร้ายคุณพ่อทำไม อย่างที่เขาว่าไว้ ความรักทำให้คนตาบอด เราตาบอดหูหนวกไปสนิท
คืนนั้นเรานอนลืมตาอยู่แบบนั้น น้ำตาไหลออกมามากมาย โดยไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น
คุณแม่ก็นอนไม่หลับหันมาเห็นเรานอนน้ำตาไหล คุณแม่ลูบหัวเรา แล้วคุณแม่ก็ร้องไห้เงียบๆ เหมือนกัน
เดี๋ยวมาต่อค่ะ พาคุณหมาไปเดินเล่นก่อน