อยากได้แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับเงินที่ใช้สร้างบัณฑิตแพทย์ กับบัณฑิตสาขาวิชาอื่นๆค่ะ ว่าแต่ละหัวที่จบไป รัฐต้องอุดหนุนกี่บาท
ทำไมหมอถึงเป็นอาชีพต้นๆ (แทบจะบอกได้ว่าอันดับหนึ่ง) ที่ถูกไล่เบี้ย โดยเฉพาะการกดดันจากสังคม ว่าใช้ภาษีประชาชนมาเรียน
หมอที่ลาออกไปทำเอกชน ไปทำคลินิกเสริมความงาม หรือแม้แต่ลาออกไปทำอาชีพอื่น เพราะทนไม่ไหวจริงๆกับการกดดันทุกรูปแบบ ทั้งกายและใจ ทั้งด้านเนื้อหาการแพทย์และนอกเหนือตำรา โดยเฉพาะเกี่ยวกับกฎหมาย
หมอพวกนี้กินภาษีประชาชนหมด
หนูยังเรียนไม่จบ ยังไม่เจอสภาพการทำงานจริงๆ ไม่ได้ถูกฟ้องจริงๆ แต่ก็เห็นมากพอ ทั้งสภาพการทำงานรอบตัว เพื่อน รุ่นพี่ อาจารย์ หรือแม้แต่ครอบครัวหนูเอง ก็เป็นหมอ
ภาระของหมอมันเปลี่ยนไปแล้ว เป็นไปตามยุคสมัย
จริงอยู่ที่มีการผลิตหมอมากขึ้น จบมาปีละ 2,000 คน ตอนที่ออกไปใช้ทุนตามที่ต่างๆ ก็จะอยู่ รพ.นึง คนเยอะขึ้น เวรหารน้อยลง ชั่วโมงการทำงานคงเทียบไม่ได้กับรุ่นพี่ รุ่นพ่อ
แต่มันก็เปลี่ยนไปในลักษณะที่กดดันมากขึ้น บรรยากาศการร้องเรียนและฟ้องร้อง เข้มข้นมากขึ้น จากเดิมที่รักษาโดยมีความสัมพันธ์ที่ระหว่างหมอกับคนไข้ดี กลายเป็นว่าผิดต้องฟ้อง ต้องร้องเรียน โดยไม่ได้ดูว่าผลไม่ดีที่เกิดขึ้นเป็นจากการกระทำผิดจริงรึเปล่า
หมอประมาท หมอไม่สนใจ หมอเลว
พออย่างนี้ทำอะไรมันก็เกร็งไปหมด รัดตัวไปหมด เป็นบรรยากาศแห่งการจ้องจับผิด ด้วยเชื่อว่าเป็นการปกป้องสิทธิของตนอย่างเต็มที่ หมอเป็นผู้ให้บริการ ผู้รับบริการพึงมีสิทธิพึงได้เต็มที่
ในบางครั้งเป็นความผิดของหมอจริงๆ เกิดจากความไม่รู้ ความประมาท ไม่เป็นไปตามความรู้ที่เรียนมากันจริงๆ จนทำให้เกิดอันตราย แม้จะมีส่วนของความจริงที่ว่าหมอคนนั้นอาจได้เรียนมาแล้ว แต่ก็มีลืมเลือนเนื้อหาไปบ้าง ไม่ได้ตั้งใจทำผิด แบบนี้ก็ปัดความรับผิดชอบไม่ได้ สมเหตุสมผลที่จะฟ้อง
แต่บางครั้งมันไม่ใช่ค่ะ หมอรักษาอย่างดี ทำตามที่เรียน การเลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไรมีเหตุผลมาประกอบหมด เพราะการรักษาแม้เพียงไม่ได้เอามีดกรีดอย่างให้ยา ยาพาราบ้านๆถ้าใช้ผิดขนาดก็เป็นโทษแล้ว ในการแพทย์ทุกอย่างมีความเสี่ยงหมด ทั้งตัวโรค และวิธีที่จะกำจัดโรค แล้วถ้าหมอที่รักษาแล้วคนไข้ตาย แม้ว่าจะทำถูกต้องตามหลักวิชาหมด ก็'ผิด' ด้วยหรอคะ จริงๆไม่ควรจะผิดเลย แต่สังคมก็บอกไปแล้วว่าผิด บอกแล้วว่าประมาท มีใครจะเข้าใจจริงๆว่า คำตอบของการรักษามันออกมาดีหมดไม่ได้ 100% ความรู้ของมนุษย์ตอนนี้ไม่สามารถช่วยชีวิตทุกคนได้หรอกค่ะ ต่อให้เดินเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่รวมกระบวนการรักษาที่ถูกต้องตามฉบับอเมริกัน ยังไงก็ออกมาไม่ครบแน่ค่ะ มันก็มีตั้งแต่โรคเป็นสิบตายหนึ่ง ร้อยตายหนึ่ง จนถึงเป็นหมื่นแสน นี่คือต่อให้ไม่มี human error ก็ต้องมีเจ็บมีตายจากการรักษา
แล้วคนจริงๆที่เป็นหมอ ที่สังคมยังไม่ยอมรับกระทั่ง human error ต่อให้เก่งเท่าเครื่องจักรก็ต้องมีเจ็บ มีตาย คือไม่ใช่พลาด เป็นไปตามธรรมชาติ แต่คนก็แยกแยะไม่ออก มากขึ้นและมากขึ้นไปทุกที
นี่ยังไม่รวมไปถึงการร้องเรียนหรือฟ้องร้องบางอย่าง ที่มีจุดประสงค์เพื่อมุ่งทำลายชีวิตหรือทรัพย์สินของหมอโดยตรง มากกว่าที่จะเป็นการร้องเรีนนเพื่อให้วงการแพทย์ตระหนักถึงความไม่สมบูรณ์หรือคุณภาพในการผลิตแพทย์ ซึ่งนับวัน hidden agenda พวกนี้ก็เยอะขึ้นทุกที
มันเป็นไปตามยุคสมัยแล้วจริงๆค่ะ ที่ใครทำพลาด ต้องทำให้ใหญ่ ถ่ายรูป ประจาน แชร์ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก
ถึงชั่วโมงการทำงานจะลดลงกว่าสมัยพ่อและรุ่นพี่มา แต่เทียบกับอาชีพอื่นก็ยังถือว่ามาก และเทียบว่าต้องทำงานในยุคสมัยที่แค่คนไม่ลุกให้คนอื่นบนรถไฟฟ้านั่ง ถูกถ่ายรูปประจานแล้ว ไม่สนว่าคนที่ถูกถ่ายจะรู้สึกยังไง ไม่สิ ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องจิตใจที่ละเอียดอ่อน แค่เรื่องหยาบๆอย่างการละเมิดสิทธิยังทำได้ไม่สนใจ บ่อยครั้งที่เป็นความผิดเพียงเล็กน้อย แต่สังคมก็ขยายให้เป็นความผิดใหญ่ เหยียบให้จมดิน
หมอต้องทำงาน contact โดยตรงกับคนแบบนี้จำนวนมาก ต่างพื้นฐานต่างพ่อแม่ ที่พร้อมจะเรียกร้องทุกอย่าง ที่อาจอยู่ในมาตรฐาน และนอกเหนือจากมาตรฐาน
ก็น่าคิดค่ะว่าเวลาทำงานลดลงแต่ workload และบรรยากาศในการทำงานมันดีเหมือนเดิมรึเปล่า
ถ้าเป็นอาชีพอื่น ไม่โอเคกับที่ทำงาน ก็ลาออกเปลี่ยนงาน ไม่มีใครว่าอะไร
แต่ถ้าเป็นหมอลาออก ไม่เป็นหมอ หรือเป็น แต่ไปอยู่เอกชน หมอเลว เอาภาษีคนจนๆไปใช้
หนูไม่รู้ว่าคณะอื่นใช้เงินภาษีในการผลิตบัณฑิตรึเปล่า
หนูต้องขอโทษด้วยที่จะลาออก เอาภาษีคุณมาใช้ สุดท้ายไม่เกิดประโยชน์อะไรกับคนที่เสียภาษีเลย
นี่คือสิ่งที่เด็กอายุ 18 ปี (ขอใช้คำว่าเด็ก เพราะคนไทยอายุ 18 ส่วนใหญ่ไม่ mature) ต้องยอมรับตั้งแต่ก่อนเข้าเรียกคณะแพทย์ว่า ทางนี้เป็น point of no return
ต้องยอมรับกลไกทางสังคมและการลงโทษที่จะเกิดขึ้นหากว่ามีปัญหากับการเป็นหมอในอนาคต
อายุแค่นั้นใคระไปรู้ ใครจะไปรับไหว? แค่ชอบอะไรถนัดอะไร คนส่วนใหญ่ ถึงไม่ได้อยู่คณะแพทย์ ก็ไม่รู้เหมือนกันนั่นล่ะค่ะ
ทำไมบัณฑิตที่จบวิศวกรรม นิติศาสตร์ หรือแม้แต่ครุศาสตร์ มีสถานะที่เปิดกว้างกว่าเมื่อเรียนจบ คุณจะไปทำอะไร ไม่มีใครว่า
ตอนนี้เราไม่ได้สร้างระบบที่รับรองคนเต็มใจให้ด้วยความสมัครใจ แต่เป็นระบบที่บังคับว่าต้องให้ แล้วบอกว่าถ้าไม่ให้จะเป็นยังไง
เป็นระบบที่น่าทำงานมากเลยค่ะ
มีคนบอกว่าจะแก้ปัญหาเรื่องแพทย์ขาดแคลนในระบบด้วยการเพิ่มเงินเดือน ความคิดส่วนตัวถึงจะเพิ่มอีกเท่าก็คงไม่ช่วยอะไร เพราะปัญหาไม่ใช่ว่าเงินไม่พอ แต่เป็นเพราะว่าสภาพการทำงาน 'มันเกินกว่าที่มนุษย์ปัจจุบันจะรับได้' ต่างหากค่ะ ชีวิตแบบนี้ เอาเงินเท่าไหร่มาแลก ก็ไม่คุ้ม
อาชีพหมอไม่ใช่อาชีพที่น่าเป็นอีกแล้วค่ะ ใครที่อยากเป็นหรืออยากให้ลูกเป็น ขอให้คิดดีๆ สังคมเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก
ต้องการ'การบริการแบบ perfect' ใช้ระบบคิดแบบกำไร-ขาดทุน จ่ายเท่านี้ต้องได้มากกว่า ห้ามพลาด ไม่มีขอบคุณ ไม่มีเห็นใจหมอ
แต่บอกให้หมอเห็นใจ ใช้ความเมตตา
บอกให้มีจรรยาบรรณ เจอแบบนี้จุกค่ะ ไปต่อไม่ถูก ถ้าอยาก'ใช้'หมอแบบ capitalism ก็เอาแบบแฟร์ๆสิคะ อย่าลืมจำกัดชั่วโมงการทำงานของแพทย์ในระบบด้วย
แต่ถ้าอยากให้แพทย์บริการด้วยใจ ทำไมไม่มารับบริการด้วยใจบ้าง ทำตามคำแนะนำ ดูแลสุขภาพตัวเอง เห็นเรื่องสุขภาพเป็นธุระของตัวเอง ไม่ตั้งป้อมด่า ตั้งป้อมฟ้อง
คนเราน่ะอยากทำอะไรดีๆให้คนอื่นเป็นพื้นฐานทุกคนอยู่แล้ว แต่ถ้ามันมีความกดดัน คนเราก็คงต้องคิดถึงอย่างอื่นมากขึ้นเหมือนกันตามระดับความกดดันนั้นๆ
เวลาคนจมน้ำ บางคนอาจลงไปช่วยจนตัวเองเจ็บ จนตาย หรือกระทั่งถูกคนด่าว่า หาว่าไม่ช่วยทั้งที่ช่วย หาว่าประมาททั้งที่ทำอย่างถูกต้อง
คุณจะบอกว่าคนที่เหน็ดหน่ายกับเรื่องพวกนี้ เลว งั้นหรือคะ มองตามจิตวิทยาจริงๆไม่ต้องคิดถึงอาชีพ
หรือคุณคิดว่าจะใช้หลักจิตวิทยาแบบนี้ไม่ได้ เพราะหมอไม่ใช่คน หมอเป็นเทวดาซาตานหรืออะไรก็ตามที่คุณคิด
ทำไมไม่มองหมอเป็นคนบ้างคะ
ความดีของหมอ ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากวิศวกรที่สร้างตึก สถาปนิกที่สร้างบ้าน ครูที่สร้างคนหรอกค่ะ
หมอเจ็บปวด หมอซึมเศร้า หมออยากเปลี่ยนงาน เหมือนกับพนักงานบริษัทนั่นแหละค่ะ
เลือกได้ ใครก็อยากทำงานที่ตัวเองมีความสุข จริงมั้ยคะ
อยากรู้ว่าโซ่ที่คล้องนักเรียนแพทย์ ตีกรอบว่าต้องเป็นทาสสังคม มันต่างจากคณะอื่น มากขนาดไหน
ต้องขอโทษด้วยค่ะที่หนูพิมพ์มาอาจทำให้ดูว่าพวกนักเรียนแพทย์ พวกหมอเอาแต่บ่น เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว จรรยาบรรณ หนูออกตัวว่าเป็นหนึ่งในคนที่เรียนหมอแล้ว suffer ตอนนี้เรียนใกล้จบแล้ว ยิ่งทุกข์มาก อยากบอกว่ายังมีเพื่อนหนู รุ่นพี่ และอาจารย์อีกมากที่ยินดีและเต็มใจที่จะทำงานในสภาพที่หนูบรรยายมาอีกมาก ถ้าอ่านแล้วไม่พอใจให้ว่าหนูคนเดียวเถอะค่ะ
เงินภาษีที่เอามาอุดหนุนนักเรียนแพทย์ กับนักเรียนคณะอื่น มันต่างกันขนาดนั้นเหรอคะ
ทำไมหมอถึงเป็นอาชีพต้นๆ (แทบจะบอกได้ว่าอันดับหนึ่ง) ที่ถูกไล่เบี้ย โดยเฉพาะการกดดันจากสังคม ว่าใช้ภาษีประชาชนมาเรียน
หมอที่ลาออกไปทำเอกชน ไปทำคลินิกเสริมความงาม หรือแม้แต่ลาออกไปทำอาชีพอื่น เพราะทนไม่ไหวจริงๆกับการกดดันทุกรูปแบบ ทั้งกายและใจ ทั้งด้านเนื้อหาการแพทย์และนอกเหนือตำรา โดยเฉพาะเกี่ยวกับกฎหมาย
หมอพวกนี้กินภาษีประชาชนหมด
หนูยังเรียนไม่จบ ยังไม่เจอสภาพการทำงานจริงๆ ไม่ได้ถูกฟ้องจริงๆ แต่ก็เห็นมากพอ ทั้งสภาพการทำงานรอบตัว เพื่อน รุ่นพี่ อาจารย์ หรือแม้แต่ครอบครัวหนูเอง ก็เป็นหมอ
ภาระของหมอมันเปลี่ยนไปแล้ว เป็นไปตามยุคสมัย
จริงอยู่ที่มีการผลิตหมอมากขึ้น จบมาปีละ 2,000 คน ตอนที่ออกไปใช้ทุนตามที่ต่างๆ ก็จะอยู่ รพ.นึง คนเยอะขึ้น เวรหารน้อยลง ชั่วโมงการทำงานคงเทียบไม่ได้กับรุ่นพี่ รุ่นพ่อ
แต่มันก็เปลี่ยนไปในลักษณะที่กดดันมากขึ้น บรรยากาศการร้องเรียนและฟ้องร้อง เข้มข้นมากขึ้น จากเดิมที่รักษาโดยมีความสัมพันธ์ที่ระหว่างหมอกับคนไข้ดี กลายเป็นว่าผิดต้องฟ้อง ต้องร้องเรียน โดยไม่ได้ดูว่าผลไม่ดีที่เกิดขึ้นเป็นจากการกระทำผิดจริงรึเปล่า
หมอประมาท หมอไม่สนใจ หมอเลว
พออย่างนี้ทำอะไรมันก็เกร็งไปหมด รัดตัวไปหมด เป็นบรรยากาศแห่งการจ้องจับผิด ด้วยเชื่อว่าเป็นการปกป้องสิทธิของตนอย่างเต็มที่ หมอเป็นผู้ให้บริการ ผู้รับบริการพึงมีสิทธิพึงได้เต็มที่
ในบางครั้งเป็นความผิดของหมอจริงๆ เกิดจากความไม่รู้ ความประมาท ไม่เป็นไปตามความรู้ที่เรียนมากันจริงๆ จนทำให้เกิดอันตราย แม้จะมีส่วนของความจริงที่ว่าหมอคนนั้นอาจได้เรียนมาแล้ว แต่ก็มีลืมเลือนเนื้อหาไปบ้าง ไม่ได้ตั้งใจทำผิด แบบนี้ก็ปัดความรับผิดชอบไม่ได้ สมเหตุสมผลที่จะฟ้อง
แต่บางครั้งมันไม่ใช่ค่ะ หมอรักษาอย่างดี ทำตามที่เรียน การเลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไรมีเหตุผลมาประกอบหมด เพราะการรักษาแม้เพียงไม่ได้เอามีดกรีดอย่างให้ยา ยาพาราบ้านๆถ้าใช้ผิดขนาดก็เป็นโทษแล้ว ในการแพทย์ทุกอย่างมีความเสี่ยงหมด ทั้งตัวโรค และวิธีที่จะกำจัดโรค แล้วถ้าหมอที่รักษาแล้วคนไข้ตาย แม้ว่าจะทำถูกต้องตามหลักวิชาหมด ก็'ผิด' ด้วยหรอคะ จริงๆไม่ควรจะผิดเลย แต่สังคมก็บอกไปแล้วว่าผิด บอกแล้วว่าประมาท มีใครจะเข้าใจจริงๆว่า คำตอบของการรักษามันออกมาดีหมดไม่ได้ 100% ความรู้ของมนุษย์ตอนนี้ไม่สามารถช่วยชีวิตทุกคนได้หรอกค่ะ ต่อให้เดินเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่รวมกระบวนการรักษาที่ถูกต้องตามฉบับอเมริกัน ยังไงก็ออกมาไม่ครบแน่ค่ะ มันก็มีตั้งแต่โรคเป็นสิบตายหนึ่ง ร้อยตายหนึ่ง จนถึงเป็นหมื่นแสน นี่คือต่อให้ไม่มี human error ก็ต้องมีเจ็บมีตายจากการรักษา
แล้วคนจริงๆที่เป็นหมอ ที่สังคมยังไม่ยอมรับกระทั่ง human error ต่อให้เก่งเท่าเครื่องจักรก็ต้องมีเจ็บ มีตาย คือไม่ใช่พลาด เป็นไปตามธรรมชาติ แต่คนก็แยกแยะไม่ออก มากขึ้นและมากขึ้นไปทุกที
นี่ยังไม่รวมไปถึงการร้องเรียนหรือฟ้องร้องบางอย่าง ที่มีจุดประสงค์เพื่อมุ่งทำลายชีวิตหรือทรัพย์สินของหมอโดยตรง มากกว่าที่จะเป็นการร้องเรีนนเพื่อให้วงการแพทย์ตระหนักถึงความไม่สมบูรณ์หรือคุณภาพในการผลิตแพทย์ ซึ่งนับวัน hidden agenda พวกนี้ก็เยอะขึ้นทุกที
มันเป็นไปตามยุคสมัยแล้วจริงๆค่ะ ที่ใครทำพลาด ต้องทำให้ใหญ่ ถ่ายรูป ประจาน แชร์ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก
ถึงชั่วโมงการทำงานจะลดลงกว่าสมัยพ่อและรุ่นพี่มา แต่เทียบกับอาชีพอื่นก็ยังถือว่ามาก และเทียบว่าต้องทำงานในยุคสมัยที่แค่คนไม่ลุกให้คนอื่นบนรถไฟฟ้านั่ง ถูกถ่ายรูปประจานแล้ว ไม่สนว่าคนที่ถูกถ่ายจะรู้สึกยังไง ไม่สิ ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องจิตใจที่ละเอียดอ่อน แค่เรื่องหยาบๆอย่างการละเมิดสิทธิยังทำได้ไม่สนใจ บ่อยครั้งที่เป็นความผิดเพียงเล็กน้อย แต่สังคมก็ขยายให้เป็นความผิดใหญ่ เหยียบให้จมดิน
หมอต้องทำงาน contact โดยตรงกับคนแบบนี้จำนวนมาก ต่างพื้นฐานต่างพ่อแม่ ที่พร้อมจะเรียกร้องทุกอย่าง ที่อาจอยู่ในมาตรฐาน และนอกเหนือจากมาตรฐาน
ก็น่าคิดค่ะว่าเวลาทำงานลดลงแต่ workload และบรรยากาศในการทำงานมันดีเหมือนเดิมรึเปล่า
ถ้าเป็นอาชีพอื่น ไม่โอเคกับที่ทำงาน ก็ลาออกเปลี่ยนงาน ไม่มีใครว่าอะไร
แต่ถ้าเป็นหมอลาออก ไม่เป็นหมอ หรือเป็น แต่ไปอยู่เอกชน หมอเลว เอาภาษีคนจนๆไปใช้
หนูไม่รู้ว่าคณะอื่นใช้เงินภาษีในการผลิตบัณฑิตรึเปล่า
หนูต้องขอโทษด้วยที่จะลาออก เอาภาษีคุณมาใช้ สุดท้ายไม่เกิดประโยชน์อะไรกับคนที่เสียภาษีเลย
นี่คือสิ่งที่เด็กอายุ 18 ปี (ขอใช้คำว่าเด็ก เพราะคนไทยอายุ 18 ส่วนใหญ่ไม่ mature) ต้องยอมรับตั้งแต่ก่อนเข้าเรียกคณะแพทย์ว่า ทางนี้เป็น point of no return
ต้องยอมรับกลไกทางสังคมและการลงโทษที่จะเกิดขึ้นหากว่ามีปัญหากับการเป็นหมอในอนาคต
อายุแค่นั้นใคระไปรู้ ใครจะไปรับไหว? แค่ชอบอะไรถนัดอะไร คนส่วนใหญ่ ถึงไม่ได้อยู่คณะแพทย์ ก็ไม่รู้เหมือนกันนั่นล่ะค่ะ
ทำไมบัณฑิตที่จบวิศวกรรม นิติศาสตร์ หรือแม้แต่ครุศาสตร์ มีสถานะที่เปิดกว้างกว่าเมื่อเรียนจบ คุณจะไปทำอะไร ไม่มีใครว่า
ตอนนี้เราไม่ได้สร้างระบบที่รับรองคนเต็มใจให้ด้วยความสมัครใจ แต่เป็นระบบที่บังคับว่าต้องให้ แล้วบอกว่าถ้าไม่ให้จะเป็นยังไง
เป็นระบบที่น่าทำงานมากเลยค่ะ
มีคนบอกว่าจะแก้ปัญหาเรื่องแพทย์ขาดแคลนในระบบด้วยการเพิ่มเงินเดือน ความคิดส่วนตัวถึงจะเพิ่มอีกเท่าก็คงไม่ช่วยอะไร เพราะปัญหาไม่ใช่ว่าเงินไม่พอ แต่เป็นเพราะว่าสภาพการทำงาน 'มันเกินกว่าที่มนุษย์ปัจจุบันจะรับได้' ต่างหากค่ะ ชีวิตแบบนี้ เอาเงินเท่าไหร่มาแลก ก็ไม่คุ้ม
อาชีพหมอไม่ใช่อาชีพที่น่าเป็นอีกแล้วค่ะ ใครที่อยากเป็นหรืออยากให้ลูกเป็น ขอให้คิดดีๆ สังคมเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก
ต้องการ'การบริการแบบ perfect' ใช้ระบบคิดแบบกำไร-ขาดทุน จ่ายเท่านี้ต้องได้มากกว่า ห้ามพลาด ไม่มีขอบคุณ ไม่มีเห็นใจหมอ
แต่บอกให้หมอเห็นใจ ใช้ความเมตตา
บอกให้มีจรรยาบรรณ เจอแบบนี้จุกค่ะ ไปต่อไม่ถูก ถ้าอยาก'ใช้'หมอแบบ capitalism ก็เอาแบบแฟร์ๆสิคะ อย่าลืมจำกัดชั่วโมงการทำงานของแพทย์ในระบบด้วย
แต่ถ้าอยากให้แพทย์บริการด้วยใจ ทำไมไม่มารับบริการด้วยใจบ้าง ทำตามคำแนะนำ ดูแลสุขภาพตัวเอง เห็นเรื่องสุขภาพเป็นธุระของตัวเอง ไม่ตั้งป้อมด่า ตั้งป้อมฟ้อง
คนเราน่ะอยากทำอะไรดีๆให้คนอื่นเป็นพื้นฐานทุกคนอยู่แล้ว แต่ถ้ามันมีความกดดัน คนเราก็คงต้องคิดถึงอย่างอื่นมากขึ้นเหมือนกันตามระดับความกดดันนั้นๆ
เวลาคนจมน้ำ บางคนอาจลงไปช่วยจนตัวเองเจ็บ จนตาย หรือกระทั่งถูกคนด่าว่า หาว่าไม่ช่วยทั้งที่ช่วย หาว่าประมาททั้งที่ทำอย่างถูกต้อง
คุณจะบอกว่าคนที่เหน็ดหน่ายกับเรื่องพวกนี้ เลว งั้นหรือคะ มองตามจิตวิทยาจริงๆไม่ต้องคิดถึงอาชีพ
หรือคุณคิดว่าจะใช้หลักจิตวิทยาแบบนี้ไม่ได้ เพราะหมอไม่ใช่คน หมอเป็นเทวดาซาตานหรืออะไรก็ตามที่คุณคิด
ทำไมไม่มองหมอเป็นคนบ้างคะ
ความดีของหมอ ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากวิศวกรที่สร้างตึก สถาปนิกที่สร้างบ้าน ครูที่สร้างคนหรอกค่ะ
หมอเจ็บปวด หมอซึมเศร้า หมออยากเปลี่ยนงาน เหมือนกับพนักงานบริษัทนั่นแหละค่ะ
เลือกได้ ใครก็อยากทำงานที่ตัวเองมีความสุข จริงมั้ยคะ
อยากรู้ว่าโซ่ที่คล้องนักเรียนแพทย์ ตีกรอบว่าต้องเป็นทาสสังคม มันต่างจากคณะอื่น มากขนาดไหน
ต้องขอโทษด้วยค่ะที่หนูพิมพ์มาอาจทำให้ดูว่าพวกนักเรียนแพทย์ พวกหมอเอาแต่บ่น เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว จรรยาบรรณ หนูออกตัวว่าเป็นหนึ่งในคนที่เรียนหมอแล้ว suffer ตอนนี้เรียนใกล้จบแล้ว ยิ่งทุกข์มาก อยากบอกว่ายังมีเพื่อนหนู รุ่นพี่ และอาจารย์อีกมากที่ยินดีและเต็มใจที่จะทำงานในสภาพที่หนูบรรยายมาอีกมาก ถ้าอ่านแล้วไม่พอใจให้ว่าหนูคนเดียวเถอะค่ะ