เรื่องที่ผมจะเล่านะครับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยเด็กๆครับ แต่ผมจำได้ดีเลย แปลกนะตอนเด็กๆอายุซัก 7-8 ขวบผมเคยเห็นอะไรแปลกๆ อย่างที่ตอนเป็นเด็กๆเราไม่ได้คิดว่าเขาเป็นอะไรแต่พอโตมาแล้วลองนึกย้อนกลับไป เออ รึว่าสิ่งที่ผมเห็นมันคือวิญญาณหรือผีรึปล่าววะ แต่อายุมากๆแล้วไม่ยักกะเห็นอีก
เรื่องแรกนะครับ คือ ตอนผมเป็นเด็กอายุ 7 ขวบ ผมอยู่บ้านนอกๆ ในอำเภอเล็กๆแถวภาคเหนือตอนล่าง และเป็นเด็กที่ซุกซน ชอบไปไหนมาไหนโดยไม่ค่อยบอกพ่อแม่ อาจจะเป็นเพราะสมัยก่อนรถรามันไม่ได้เยอะขนาดนี้พ่อแม่เลยไม่ค่อยเป็นห่วงเรื่องจะไปไหนมาไหนแล้วจะโดนรถชน ส่วนจะไปตกน้ำตกท่าอะไรก็สบายใจได้ตอนนั้นผมว่ายน้ำเป็นแล้ว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นถ้านับรวมเวลาที่ผ่านมาแล้วก็สามสิบกว่าปีแล้วครับ ช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าหนาวที่อำเภอผมจะมีงานงิ้ว ลิเก ประจำปี แหมเด็กบ้านนอกนี่ครับ สมัยนั้นไม่มีห้าง ไม่มีเฟสบุ๊ค ไม่มีไลน์ ไม่มีร้านเกมส์ มันจะมีไรที่จะทำให้ผมลิงโลดเท่างานงิ้ว ที่จะมีชิงช้าสรรค์ มีม้าหมุน มีร้านขายของมากมาย งานมี 8 วัน 8 คืน ปกติผมจะไปเที่ยวกับพ่อแม่ทุกคืน ส่วนมากก็กลับไม่เกินสามทุ่มเด็กนี่ครับส่วนใหญ่พ่อแม่ก็กลัวจะนอนดึกแล้วตื่นสายไปโรงเรียนไม่ทัน จนงานล่วงเลยมาจนถึงคืนสุดท้าย คืนนี้ผมมาดูลิเกครับเพราะก่อนหน้าจะดูงิ้วแต่คืนนี้ติดใจตัวตลกของลิเกเลยดูสนุกมาก แม่ก็พยายามชวนกลับบ้านเพราะเห็นว่าดึกแล้ว แต่เผอิญจำได้ว่าพรุ่งนี้วันเสาร์ไม่ต้องไปโรงเรียน ก็เลยขอแม่ว่าให้แม่กลับไปก่อนเดี๋ยวตามไป เนื่องจากบ้านผมกับงานมันก็ไม่ไกลมากนักซักสองกิโลเห็นจะได้ พอพ่อแม่กลับหมดกว่าลิเกซึ่งเป็นคืนสุดท้ายก่อนลาโรงจะเลิก แม่เจ้า เที่ยงคืนครับผมจำได้ดี พอลิเกเลิกคนเริ่มทยอยกลับ เราก็นึกขึ้นได้ว่าอ้าว พ่อแม่กลับหมดแล้ว รถก็ไม่มีเพราะตอนมาพ่อแม่เอารถมเตอร์ไซด์มา ก็เลยเดินกลับ เด็ก 7 ขวบเดินกลับบ้านตามลำพังตอนเที่ยงคืนอาจจะดูน่ากัว แต่เด็กตามบ้านๆ ไม่ค่อยคิดไรครับ เนื่องจากเที่ยงคืนกว่าแล้ว คนที่เขาไปดูงานเขาก็กลับไปเกือบหมดงานแล้ว เลยมีเพื่อนเดินกลับบ้านน้อยมาก เนื่องจากยังเด็กก็ไม่ค่อยประสีประสาอะไร ก็เดินตามทางกลับบ้านมาเรื่อยๆ คนที่เดินมาพร้อมๆเราตอนออกจากงานก็ทยอยแยกเข้าซอย เข้าบ้านหมดแล้ว เหลือผมคนเดียวที่ยังต้องเดินต่ออย่างลำพังยังไม่ถึงบ้านซะที สมัยนั้นรถราก็ไม่ค่อยมียิ่งดึกๆแบบนี้ไม่มีซักคัน หน้าหนาวคืนเดือนหงายท้องฟ้าสว่างมากครับ จนเกือบจะถึงบ้านแล้วอีกไม่เกินสี่ร้อยเมตร เส้นทางก่อนถึงบ้านผม ผมจะต้องเดินผ่านวัดประจำหมู่บ้าน ซึ่งก็เดินผ่านวัดนี้ซึ่งเป็นถนนดินเล็กๆแคบผ่านรั้วกำแพงวัดที่เป็นปูนที่อยู่ด้านขวาพอข้ามรั้วกำแพงวัดก็เป็นโบสน์ และเมรุ ส่วนซ้ายมือก็ยังเป็นที่ดินว่างปล่าวที่มีต้นหญ้ารกไปหมดไม่มีบ้านคน บรรยากาศตอนนั้นก็เฉยๆนะ เพราะเราเด็กมั้งเลยไม่กัวเรื่องผีสางอะไร ทำนองนั้น แต่ที่ข้างถนนจะมีแสงไฟจากเสาไฟครับ ที่ทำให้เรามองเห็นคล้ายๆมีใครไปนั่งอยู่บนกำแพงวัดซึ่งผมเห็นมาแต่ไกลเลยครับแต่ยังไม่ใจว่าใคร ผญ หรือ ผช เด็กๆจะไม่ตั้งคำถามว่าดึกป่านนี้เขาจะปีนขึ้นไปนั่งทำไมบนรั้วกำแพงวัดที่สูงประมาณเกือบสองเมตร แต่ผมต้องเดินกลับบ้านผ่านเส้นนี้และก็ต้องเดินต่อไป แต่พอผมเดินไปจนถึงคนๆนั้น ผมยังหันหน้ามองเขาเลยครับ เป็นผู้หญิงใส่ผ้าถุงแต่งตัวมอมแมมเสื้อผ้ารุดรุ่ยมอซอผมยาวกระเซิงปิดหน้ามองไม่เห็นหน้าเขาและนั่งก้มหน้าลงมาไม่กระดุกระดิกอะไรนั่งเฉยมากเราก็ไม่ได้สนใจหรือทักถามอะไรเขาก็นึกว่าคนบ้ารึปล่าวคิดในใจเขาก็ไม่ได้มาแสดงอากาศอะไรให้เราตกใจหรือกัว เนื่องด้วยอยู่ในอำเภอเล็กๆถ้าเป็นคนบ้านี่เราต้องเคยเห็นเพราะมันมีไม่กี่คน ซึ่งถนนผ่านรั้ววัดมันก็แคบๆครับ เรียกว่าเห็นนี่แทบจะยื่นมือไปจับตัวเขาได้เลย พอเดินผ่านรั้ววัดไป ก็จะเป็นสามแยกถนนซีเมนต์ก่อนจะเดินเลี้ยวซ้ายไปทางบ้านผมระหว่างที่เดินเลี้ยวซ้ายผมก็ชายตามองไปตรงที่เขานั่งอีกที สายตาชำเรืองอ้าว เฮ้ย ไม่มีครับ แค่แว๊บเดียวหายไปไหนไวจัง แต่ก็ไม่คิดไรพอกลับเข้าบ้านเช้ามาก็เล่าให้แม่ฟังแม่ก็ยิ้มๆ ไม่พูดไรแล้วบอกว่าเราตาฝาดรึปล่าว ผญ ที่ไหนจะกล้ามานั่งบนรั้ววัดเพราะเขาถือแถมยังเที่ยงคืนกว่าๆ ไม่มีหลอก แต่พอผมโตผมเพิ่งสังเกตุครับว่าตามรั้ววัดเขาจะมีป้ายรูปคนตายติดพร้อมชื่อคนที่ตายติดอยู่แบบว่าญาติพี่น้องเขาทำเพื่อบริจาคให้คนตาย
ผ่านมาหลายปีผมยังสงสัยเลยว่าสิ่งที่ผมเห็นตอนั้นคนหรือวิญญาณกันแน่............
เรื่องแรกมีแค่นี้ครับยังมีอีกสองเรื่องที่เคยเจอมาไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังอีกครับ
คุณคิดว่าผมเจอผีรึปล่าวครับ
เรื่องแรกนะครับ คือ ตอนผมเป็นเด็กอายุ 7 ขวบ ผมอยู่บ้านนอกๆ ในอำเภอเล็กๆแถวภาคเหนือตอนล่าง และเป็นเด็กที่ซุกซน ชอบไปไหนมาไหนโดยไม่ค่อยบอกพ่อแม่ อาจจะเป็นเพราะสมัยก่อนรถรามันไม่ได้เยอะขนาดนี้พ่อแม่เลยไม่ค่อยเป็นห่วงเรื่องจะไปไหนมาไหนแล้วจะโดนรถชน ส่วนจะไปตกน้ำตกท่าอะไรก็สบายใจได้ตอนนั้นผมว่ายน้ำเป็นแล้ว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นถ้านับรวมเวลาที่ผ่านมาแล้วก็สามสิบกว่าปีแล้วครับ ช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าหนาวที่อำเภอผมจะมีงานงิ้ว ลิเก ประจำปี แหมเด็กบ้านนอกนี่ครับ สมัยนั้นไม่มีห้าง ไม่มีเฟสบุ๊ค ไม่มีไลน์ ไม่มีร้านเกมส์ มันจะมีไรที่จะทำให้ผมลิงโลดเท่างานงิ้ว ที่จะมีชิงช้าสรรค์ มีม้าหมุน มีร้านขายของมากมาย งานมี 8 วัน 8 คืน ปกติผมจะไปเที่ยวกับพ่อแม่ทุกคืน ส่วนมากก็กลับไม่เกินสามทุ่มเด็กนี่ครับส่วนใหญ่พ่อแม่ก็กลัวจะนอนดึกแล้วตื่นสายไปโรงเรียนไม่ทัน จนงานล่วงเลยมาจนถึงคืนสุดท้าย คืนนี้ผมมาดูลิเกครับเพราะก่อนหน้าจะดูงิ้วแต่คืนนี้ติดใจตัวตลกของลิเกเลยดูสนุกมาก แม่ก็พยายามชวนกลับบ้านเพราะเห็นว่าดึกแล้ว แต่เผอิญจำได้ว่าพรุ่งนี้วันเสาร์ไม่ต้องไปโรงเรียน ก็เลยขอแม่ว่าให้แม่กลับไปก่อนเดี๋ยวตามไป เนื่องจากบ้านผมกับงานมันก็ไม่ไกลมากนักซักสองกิโลเห็นจะได้ พอพ่อแม่กลับหมดกว่าลิเกซึ่งเป็นคืนสุดท้ายก่อนลาโรงจะเลิก แม่เจ้า เที่ยงคืนครับผมจำได้ดี พอลิเกเลิกคนเริ่มทยอยกลับ เราก็นึกขึ้นได้ว่าอ้าว พ่อแม่กลับหมดแล้ว รถก็ไม่มีเพราะตอนมาพ่อแม่เอารถมเตอร์ไซด์มา ก็เลยเดินกลับ เด็ก 7 ขวบเดินกลับบ้านตามลำพังตอนเที่ยงคืนอาจจะดูน่ากัว แต่เด็กตามบ้านๆ ไม่ค่อยคิดไรครับ เนื่องจากเที่ยงคืนกว่าแล้ว คนที่เขาไปดูงานเขาก็กลับไปเกือบหมดงานแล้ว เลยมีเพื่อนเดินกลับบ้านน้อยมาก เนื่องจากยังเด็กก็ไม่ค่อยประสีประสาอะไร ก็เดินตามทางกลับบ้านมาเรื่อยๆ คนที่เดินมาพร้อมๆเราตอนออกจากงานก็ทยอยแยกเข้าซอย เข้าบ้านหมดแล้ว เหลือผมคนเดียวที่ยังต้องเดินต่ออย่างลำพังยังไม่ถึงบ้านซะที สมัยนั้นรถราก็ไม่ค่อยมียิ่งดึกๆแบบนี้ไม่มีซักคัน หน้าหนาวคืนเดือนหงายท้องฟ้าสว่างมากครับ จนเกือบจะถึงบ้านแล้วอีกไม่เกินสี่ร้อยเมตร เส้นทางก่อนถึงบ้านผม ผมจะต้องเดินผ่านวัดประจำหมู่บ้าน ซึ่งก็เดินผ่านวัดนี้ซึ่งเป็นถนนดินเล็กๆแคบผ่านรั้วกำแพงวัดที่เป็นปูนที่อยู่ด้านขวาพอข้ามรั้วกำแพงวัดก็เป็นโบสน์ และเมรุ ส่วนซ้ายมือก็ยังเป็นที่ดินว่างปล่าวที่มีต้นหญ้ารกไปหมดไม่มีบ้านคน บรรยากาศตอนนั้นก็เฉยๆนะ เพราะเราเด็กมั้งเลยไม่กัวเรื่องผีสางอะไร ทำนองนั้น แต่ที่ข้างถนนจะมีแสงไฟจากเสาไฟครับ ที่ทำให้เรามองเห็นคล้ายๆมีใครไปนั่งอยู่บนกำแพงวัดซึ่งผมเห็นมาแต่ไกลเลยครับแต่ยังไม่ใจว่าใคร ผญ หรือ ผช เด็กๆจะไม่ตั้งคำถามว่าดึกป่านนี้เขาจะปีนขึ้นไปนั่งทำไมบนรั้วกำแพงวัดที่สูงประมาณเกือบสองเมตร แต่ผมต้องเดินกลับบ้านผ่านเส้นนี้และก็ต้องเดินต่อไป แต่พอผมเดินไปจนถึงคนๆนั้น ผมยังหันหน้ามองเขาเลยครับ เป็นผู้หญิงใส่ผ้าถุงแต่งตัวมอมแมมเสื้อผ้ารุดรุ่ยมอซอผมยาวกระเซิงปิดหน้ามองไม่เห็นหน้าเขาและนั่งก้มหน้าลงมาไม่กระดุกระดิกอะไรนั่งเฉยมากเราก็ไม่ได้สนใจหรือทักถามอะไรเขาก็นึกว่าคนบ้ารึปล่าวคิดในใจเขาก็ไม่ได้มาแสดงอากาศอะไรให้เราตกใจหรือกัว เนื่องด้วยอยู่ในอำเภอเล็กๆถ้าเป็นคนบ้านี่เราต้องเคยเห็นเพราะมันมีไม่กี่คน ซึ่งถนนผ่านรั้ววัดมันก็แคบๆครับ เรียกว่าเห็นนี่แทบจะยื่นมือไปจับตัวเขาได้เลย พอเดินผ่านรั้ววัดไป ก็จะเป็นสามแยกถนนซีเมนต์ก่อนจะเดินเลี้ยวซ้ายไปทางบ้านผมระหว่างที่เดินเลี้ยวซ้ายผมก็ชายตามองไปตรงที่เขานั่งอีกที สายตาชำเรืองอ้าว เฮ้ย ไม่มีครับ แค่แว๊บเดียวหายไปไหนไวจัง แต่ก็ไม่คิดไรพอกลับเข้าบ้านเช้ามาก็เล่าให้แม่ฟังแม่ก็ยิ้มๆ ไม่พูดไรแล้วบอกว่าเราตาฝาดรึปล่าว ผญ ที่ไหนจะกล้ามานั่งบนรั้ววัดเพราะเขาถือแถมยังเที่ยงคืนกว่าๆ ไม่มีหลอก แต่พอผมโตผมเพิ่งสังเกตุครับว่าตามรั้ววัดเขาจะมีป้ายรูปคนตายติดพร้อมชื่อคนที่ตายติดอยู่แบบว่าญาติพี่น้องเขาทำเพื่อบริจาคให้คนตาย
ผ่านมาหลายปีผมยังสงสัยเลยว่าสิ่งที่ผมเห็นตอนั้นคนหรือวิญญาณกันแน่............
เรื่องแรกมีแค่นี้ครับยังมีอีกสองเรื่องที่เคยเจอมาไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังอีกครับ