เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ตัดสินใจเดินตามความฝันค่ะ

*แท็กวิทยาศาสตร์เพราะคิดว่าคงมีเด็กสายวิทย์หลายคนที่ประสบอะไรคล้ายๆกัน

สวัสดีค่ะ เราเป็นคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากจะไปเรียนต่อเมืองนอกมานานกว่า 13 ปีแล้ว วันนี้ในที่สุดความฝันก็กลายเป็นความจริง เลยอยากจะเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟัง เพื่อเป็นกำลังใจให้คนที่ตัดสินใจเลือกเดินตามความฝัน

เรื่องแอบดราม่าเล็กๆ และยาวมาก ถ้าใครไม่ชอบก็ผ่านกระทู้นี้ไปเลยนะคะ

เมื่อหกปีที่แล้ว เราก็มาตั้งกระทู้ถามที่พันทิปนี้หลายกระทู้เลยทีเดียว เพราะอยู่ในช่วงที่กำลังตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิต
เล่าย้อนไปสักหน่อยว่า เราเป็นลูกคนเดียว และครอบครัวเราต้องการให้เป็นหมออย่างเดียวเท่านั้น แม้ว่าเราจะยืนยันว่าเราอยากจะเรียนสายศิลป์ภาษา อยากจะเข้าอักษรฯ จุฬาฯ แต่พวกเขาก็ยื่นคำขาดว่าถ้าไม่เรียนสายวิทย์จะไม่ส่งเสียให้เล่าเรียน จะให้ออกจากโรงเรียนมาขายของ ทะเลาะกันหลายต่อหลายครั้งตอนเราอยู่ม.สาม

ตอนนั้นยังเด็ก และชอบเรียนมาก ไม่อยากขายของ ก็เลยเชื่อ บวกกับแม่ก็พูดว่า “เรียนเพื่อแม่เถอะ แม่ขอร้อง” ด้วยความที่โตมาในสังคมที่พยายามบอกอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องกตัญญูโดยการเรียนในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ ก็เลยยอมเรียนสายวิทย์ตอนม.ปลาย

ตอนม.ปลาย ก็ชอบในระดับหนึ่ง คือเราเป็นคนชอบเรียนมาก แล้วก็เป็นคนขี้สงสัย ชอบถามโน่นนี่ การเรียนสายวิทย์ก็ไม่ได้แย่เท่าไร เพียงแต่ว่าเรียนสู้เพื่อนไม่ค่อยได้ เพราะไม่ใช่แนวทางที่ถนัด เรามั่นใจว่าถ้าเราเรียนสายศิลป์ภาษา เราจะไปได้ดีกว่านี้แน่นอน

ตอนม.หก ก็เครียดมาก เพราะเรียนไม่เก่ง แล้วการสอบเข้าแพทย์มันก็ยาก กดดันมาก เป็นช่วงเวลาเลวร้ายช่วงหนึ่งของชีวิตเลย ทะเลาะกับที่บ้านอยู่เรื่อยๆ มีครั้งหนึ่งเราถามว่า “เรียนหมอดียังไง แล้วเรียนอักษรไม่ดีตรงไหน” เราก็โดนพ่อด่าเสียๆหายๆ แล้วก็บอกว่า “ถ้ารู้ว่าโตมาจะเป็นแบบนี้ คงเอาขี้เถ้ายัดปากให้ตายไปเสียตั้งแต่เด็ก ทุกวันนี้ถ้าฆ่าคนแล้วไม่ติดคุก ก็คงจะฆ่าแกไปแล้วล่ะ” (อันนี้เป็นเวอร์ชั่นที่แปลงให้เบาลงกว่าความจริง ในสถานการณ์จริงเขาใช้สรรพนามที่หยาบคาย) สุดท้ายเราก็สอบกสพท.ไม่ติดทั้งๆที่เราก็ได้พยายามเท่าที่ความสามารถเราจะมีแล้ว ก็เลยเลือกแอดมิชชั่นไปเรียนคณะทันตแพทย์แห่งหนึ่ง

วันทำสัญญาเข้าเป็นนักศึกษาทันตแพทย์ พ่อก็พูดว่า “เพราะพ่อกดดันและบังคับให้เรียนสายวิทย์ เราถึงได้สำเร็จอย่างทุกวันนี้” เราฟังแล้วร้องไห้ แล้วก็ทะเลาะกับพ่ออีก จนตัดพ่อตัดลูกกันไป ไม่พูดคุยกันอีกเลย นับจนถึงวันนี้ก็หกปีแล้วล่ะค่ะ

เมื่อเข้าเรียนทันตะได้สักพัก แม่ก็เริ่มพูดว่าอยากให้ซิ่วไปเรียนหมอ แม่บอกว่าหมอมีเกียรติมากกว่าทันตะ เวลาคนเลือกลูกสะใภ้เขาก็เลือกคนเป็นหมอก่อน เราฟังแล้วสะอึกมาก ทำไมแม่คิดแบบนี้ แล้วเราก็เสียใจมาก ไม่มีความสุขเลย ไม่อยากเรียนเลย ร้องไห้ทุกวันเป็นเดือนๆ เป็นโรคซึมเศร้า คิดฆ่าตัวตาย ขอซิ่วไปเรียนอักษร ตอนแรกแม่ก็ไม่ยอม บอกว่าจะซิ่วไปในสิ่งที่มันแย่กว่าทำไม สุดท้ายเราก็พูดว่า “แม่มีความสุขเหรอที่เห็นลูกเป็นทุกข์ขนาดนี้” แม่ก็เลยยอมให้ลาออก

ตอนนั้นมาตั้งกระทู้พันทิปประมาณหกกระทู้ได้ ส่วนใหญ่คนก็ไม่เห็นด้วยที่เราจะซิ่ว เพื่อนหลายคนก็บอกว่ายังไงเราก็เรียนสู้เด็กศิลป์ไม่ได้ ไปเรียนอักษรยังไงก็ไม่รุ่ง  แต่ก็มีบางคน บางความเห็นที่พูดอะไรให้ได้คิด ให้เราตัดสินใจชีวิตของเราเอง แล้วเราก็ได้แรงบันดาลใจจากกระทู้นี้ >> http://topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/2008/08/H6856008/H6856008.html

ตอนลาออกมา พวกญาติๆก็ดูถูก บอกว่าเราเป็นพวกไม่ได้เรื่อง เรียนทันตะก็ไม่จบ พ่อก็ยังมีแอบกระแนะกระแหนมาเรื่อยๆ แม้จะไม่ได้คุยกัน แต่แม่ก็เอามาเล่าให้ฟัง

เมื่อเข้าเรียนอักษรแล้ว เรามีความสุขมาก อยากจะไปเรียนทุกๆวัน ลงทะเบียนไปเจ็ดวิชา ก็ยังไปขอซิทอินเพิ่มอีกสองวิชา แต่แม่ก็ยังชอบพูดทำร้ายจิตใจอยู่เรื่อยๆ เช่น “ถ้าจะเรียนคณะนี้ เรียนราชภัฏแถวบ้านยังดีกว่า จะได้ไม่ต้องเปลืองเงินส่งเสียไปเรียนกรุงเทพ จบมาก็ไม่ได้ต่างกัน”
บางทีเราก็อิจฉาเพื่อนในคณะที่เขาครอบครัวอบอุ่น พ่อแม่สนับสนุนให้เรียนสิ่งที่ชอบ เวลามีปัญหาอะไรก็ปรึกษาที่บ้านได้ ในขณะที่เราต้องผ่านทุกอย่างไปด้วยตนเอง ที่บ้านไม่เคยให้กำลังใจหรือสนับสนุนเลย มีแต่ซ้ำเติม และทำให้เรารู้สึกแย่ลงทุกครั้งที่เราพูดถึงปัญหาอุปสรรคอะไรที่เราต้องเจอ สิ่งเหล่านี้ทำให้เราไม่รู้สึกผูกพันกับบ้านหรือครอบครัวตัวเองเลย

โชคดีอยู่อย่างหนึ่งคือพ่อเราไม่ได้ทำงาน ดังนั้นเมื่อแม่มีอำนาจทางการเงิน ถ้าแม่ยอมให้เรียนได้ ก็คือได้เรียนตามนั้น เราก็ต้องพยายามบอกตัวเองว่าได้เรียนสิ่งที่ชอบก็ดีมากแล้ว แม้จะต้องทนฟังคำพูดที่ทำให้เจ็บปวดอยู่เสมอก็ตาม

ช่วงแรกๆเราก็ตามเพื่อนไม่ค่อยทัน เคยสอบได้คะแนนต่ำสุดของห้อง ภาษาอังกฤษก็ได้แต่เกรด C+ แต่พอปีสองเทอมสอง เราเริ่มปรับตัวได้ เราก็เรียนได้เกรดดีขึ้น เราเรียนจบอักษรด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เคยได้ 4.00 ติดกันสองเทอม สอบทุนเรียนต่อต่างประเทศได้ตั้งแต่ปีสี่เทอมสอง วันที่รู้ว่าได้ทุน เราดีใจมากที่ในที่สุดเราก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเรามีความสามารถทางด้านนี้จริง แต่แม่ก็ยังพูดว่าที่เราได้เนี่ยเป็นเพราะแม่ให้หมอดูทำพิธี อันนี้ฟังแล้วเสียใจมากๆ เพราะเราทุ่มเทพยายาม เราอ่านหนังสืออย่างหนัก กว่าเราจะได้มา ทำไมถึงไม่คิดว่าเราได้มาเพราะความสามารถของเรา

(มีต่อค่ะ)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่