ตอนนั่งเครื่องบินมา ด้วยความบังเอิญ เราได้นั่งติดกับพี่คนไทย ซึ่งพี่เค้าจะไปดูงานที่สวิส แล้วเราก็มีโอกาสพูดคุยกันเล็กน้อยระหว่างอยู่บนเครื่อง คุยกันไปมา พอพี่สาวคนนั้นรู้ว่าเราจะไปปารีสต่อ ก็เตือนว่า ปารีส นี่ไม่ได้สวยงามเหมือนความฝันนะจ๊ะ อุ๊ต๊ะ ผ่าง
คุณพี่มาดับฝันกันตั้งแต่บนเครื่องบินเลยเหรอเนี่ยยยย (เราคิดในใจ) แล้วพี่เค้าก็เล่าต่อว่า มีคนญี่ปุ่นมาเที่ยวปารีสหลายคนแล้ว เจอเรื่องแย่ๆ ผิดหวังอย่างแรง ไม่ได้เป็นเมืองโรแมนติกอย่างภาพที่วาดฝันไว้ เจอแต่คนฝรั่งเศสแย่ๆเข้าไป ต้องบินกลับญี่ปุ่นด่วน พร้อมกับต้องไปบำบัดกับจิตแพทย์เลยทีเดียวเพราะช็อคมาก อะไรมันจะขนาดนั้นคนญี่ปุ่นนี่อ่อนไหวไปป่าว (เราคิดในใจอีกครั้ง)
มันช่างตรงกันข้ามกับสิ่งที่เค้าคิดไว้ คนญี่ปุ่นเค้าถึงกับขนานนามโรคนี้ว่า Paris Syndrome เลยทีเดียว เฮ้ย มันขนาดต้องมีชื่อโรคกันเลยเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลย (เราคิดในใจอีกที) แต่หลังจากที่คิดมาคิดไปหาเหตุผลอยู่นาน มันก็เป็นไปได้นะ ชาวญี่ปุ่นโนเนะที่แสนจะสุภาพ เอะอะ โค้ง เอะอะโค้ง มาเจอกับชาวฝรั่งเศสที่แสนจะเป็นตัวของตัวเองไม่แคร์สื่อ เมื่อชาวญี่ปุ่นที่พูดแต่ภาษาญี่ปุ่นมา เจอชาวฝรั่งเศสที่พูดแต่ภาษาฝรั่งเศส และที่นิสัยที่ต่างกันสุดขั้ว มันก็เลยลงเอยกันแบบนี้
ขอบคุณมากเลยคะพี่สาวคนสวยที่เตือน...ให้เราตื่นมาเตรียมพร้อมรับกับโลกแห่งความจริงไม่ใช่ฝันหวานๆ จะได้ไม่ช็อกแบบคนญี่ปุ่น
จริงๆก่อนเรามาเราเองก็ศึกษา หาข้อมูลมาพอสมควรแล้วว่าสิ่งที่จะต้องเจอ หรือควรระวังอะไรบ้างจากคำแนะนำของคนที่เคยไปเที่ยวมาก่อน ปารีส เมืองที่คนไม่พูดภาษาอังกฤษ มีนักล้วงกระเป๋าชาวต่างชาติชุกชุมตามสถานที่ท่องเที่ยว ก็เตรียมตัวเตรียมใจมาระดับนึงนะ แต่พี่สาวคนงามเตือนเรามาแบบนี้อีกที ต้องเพิ่มระดับการเฝ้าระวัง ความอดทนและสติ สะตังค์ เป็น 2 เท่าซะแล้วงานนี้ สติมาปัญญาเกิด ท่องไว้ๆ
หลังจากเที่ยวมาทั่วเมือง 3 วันเต็มๆที่ปารีส เราก็มองย้อนกลับไป นึกถึง ก่อนไปปารีสมีคนเตือนมามากว่าชาวปารีส หยิ่ง ไม่ค่อยช่วยเหลือ นักท่องเที่ยว ไม่พูดภาษาอังกฤษ เตรียมตัวลำบากได้เลยไปปารีส และ เราก็เจอจริงๆ พนง.ขายตั๋วไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษบ้าง เรียกคนพยายามจะถามทางแต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินบ้าง แต่ก็เป็นส่วนน้อยเทียบกับน้ำใจจากที่เราได้รับจากคนปารีสคนอื่นๆ
- ขากลับลากกระเป๋าจะขึ้นแท็กซี่ผิดฝั่งต้องไปฝั่งตรง ข้าม หนุ่มคนดำในแท๊กซี่ลงให้เราขึ้นโดยที่เค้ายังไม่ ถึงที่หมายเลย เค้าต้องเดินต่อ เพราะเห็นใจเราที่ต้อง ลากกระเป๋าข้ามถนน
- เจ้าหน้าที่สายการบินให้เราโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่อง ได้ 2 ใบทั้งๆที่กฎได้แค่ใบเดียวบอกเราว่าหนักทั้ง 2 ใบเลย เราแบกไม่ไหวหรอก ไม่เป็นไรเดี๋ยวเค้า จัดการให้
- พนักงาน ร้าน duty free ที่สนามบินเห็น เรานับเหรียญจะจ่ายตัง แลกเหรียญคืนเป็นบาทไม่ได้ ต้องใช้ให้หมด เค้าก็บอกเรารอแป๊ปนึงเดี๋ยวเค้าช่วย แลกให้
- พนักงาน ตม.ทักเราว่าบงชู เราก็ทักกลับว่า ชู เฉยๆเค้าก็มองหน้าเราแบบขำๆ
- ซื้อสลัดที่ร้าน เค้าก็แถมขนมปังมาให้ตั้ง 2 ก่อนในห่อ
ทุกที่บนโลกใบนี้มีทั้งคนใจดี และคนใจร้าย อยู่ที่ เราเลือกที่จะจดจำคนแบบไหน
สิ่งสำคัญคือเราให้ ค่ากับคนแบบไหน ที่เข้ามาในชีวิตเราต่างหากจริงมั๊ยค่ะ
"To travel is to discover that everyone is wrong about other countries" - Aldous Huxley
ติดตามเรื่องอื่นๆได้ที่ facebook page:
https://www.facebook.com/theworldasiseeitbyjung
Paris Syndrome
ตอนนั่งเครื่องบินมา ด้วยความบังเอิญ เราได้นั่งติดกับพี่คนไทย ซึ่งพี่เค้าจะไปดูงานที่สวิส แล้วเราก็มีโอกาสพูดคุยกันเล็กน้อยระหว่างอยู่บนเครื่อง คุยกันไปมา พอพี่สาวคนนั้นรู้ว่าเราจะไปปารีสต่อ ก็เตือนว่า ปารีส นี่ไม่ได้สวยงามเหมือนความฝันนะจ๊ะ อุ๊ต๊ะ ผ่าง
คุณพี่มาดับฝันกันตั้งแต่บนเครื่องบินเลยเหรอเนี่ยยยย (เราคิดในใจ) แล้วพี่เค้าก็เล่าต่อว่า มีคนญี่ปุ่นมาเที่ยวปารีสหลายคนแล้ว เจอเรื่องแย่ๆ ผิดหวังอย่างแรง ไม่ได้เป็นเมืองโรแมนติกอย่างภาพที่วาดฝันไว้ เจอแต่คนฝรั่งเศสแย่ๆเข้าไป ต้องบินกลับญี่ปุ่นด่วน พร้อมกับต้องไปบำบัดกับจิตแพทย์เลยทีเดียวเพราะช็อคมาก อะไรมันจะขนาดนั้นคนญี่ปุ่นนี่อ่อนไหวไปป่าว (เราคิดในใจอีกครั้ง)
มันช่างตรงกันข้ามกับสิ่งที่เค้าคิดไว้ คนญี่ปุ่นเค้าถึงกับขนานนามโรคนี้ว่า Paris Syndrome เลยทีเดียว เฮ้ย มันขนาดต้องมีชื่อโรคกันเลยเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลย (เราคิดในใจอีกที) แต่หลังจากที่คิดมาคิดไปหาเหตุผลอยู่นาน มันก็เป็นไปได้นะ ชาวญี่ปุ่นโนเนะที่แสนจะสุภาพ เอะอะ โค้ง เอะอะโค้ง มาเจอกับชาวฝรั่งเศสที่แสนจะเป็นตัวของตัวเองไม่แคร์สื่อ เมื่อชาวญี่ปุ่นที่พูดแต่ภาษาญี่ปุ่นมา เจอชาวฝรั่งเศสที่พูดแต่ภาษาฝรั่งเศส และที่นิสัยที่ต่างกันสุดขั้ว มันก็เลยลงเอยกันแบบนี้
ขอบคุณมากเลยคะพี่สาวคนสวยที่เตือน...ให้เราตื่นมาเตรียมพร้อมรับกับโลกแห่งความจริงไม่ใช่ฝันหวานๆ จะได้ไม่ช็อกแบบคนญี่ปุ่น
จริงๆก่อนเรามาเราเองก็ศึกษา หาข้อมูลมาพอสมควรแล้วว่าสิ่งที่จะต้องเจอ หรือควรระวังอะไรบ้างจากคำแนะนำของคนที่เคยไปเที่ยวมาก่อน ปารีส เมืองที่คนไม่พูดภาษาอังกฤษ มีนักล้วงกระเป๋าชาวต่างชาติชุกชุมตามสถานที่ท่องเที่ยว ก็เตรียมตัวเตรียมใจมาระดับนึงนะ แต่พี่สาวคนงามเตือนเรามาแบบนี้อีกที ต้องเพิ่มระดับการเฝ้าระวัง ความอดทนและสติ สะตังค์ เป็น 2 เท่าซะแล้วงานนี้ สติมาปัญญาเกิด ท่องไว้ๆ
หลังจากเที่ยวมาทั่วเมือง 3 วันเต็มๆที่ปารีส เราก็มองย้อนกลับไป นึกถึง ก่อนไปปารีสมีคนเตือนมามากว่าชาวปารีส หยิ่ง ไม่ค่อยช่วยเหลือ นักท่องเที่ยว ไม่พูดภาษาอังกฤษ เตรียมตัวลำบากได้เลยไปปารีส และ เราก็เจอจริงๆ พนง.ขายตั๋วไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษบ้าง เรียกคนพยายามจะถามทางแต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินบ้าง แต่ก็เป็นส่วนน้อยเทียบกับน้ำใจจากที่เราได้รับจากคนปารีสคนอื่นๆ
- ขากลับลากกระเป๋าจะขึ้นแท็กซี่ผิดฝั่งต้องไปฝั่งตรง ข้าม หนุ่มคนดำในแท๊กซี่ลงให้เราขึ้นโดยที่เค้ายังไม่ ถึงที่หมายเลย เค้าต้องเดินต่อ เพราะเห็นใจเราที่ต้อง ลากกระเป๋าข้ามถนน
- เจ้าหน้าที่สายการบินให้เราโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่อง ได้ 2 ใบทั้งๆที่กฎได้แค่ใบเดียวบอกเราว่าหนักทั้ง 2 ใบเลย เราแบกไม่ไหวหรอก ไม่เป็นไรเดี๋ยวเค้า จัดการให้
- พนักงาน ร้าน duty free ที่สนามบินเห็น เรานับเหรียญจะจ่ายตัง แลกเหรียญคืนเป็นบาทไม่ได้ ต้องใช้ให้หมด เค้าก็บอกเรารอแป๊ปนึงเดี๋ยวเค้าช่วย แลกให้
- พนักงาน ตม.ทักเราว่าบงชู เราก็ทักกลับว่า ชู เฉยๆเค้าก็มองหน้าเราแบบขำๆ
- ซื้อสลัดที่ร้าน เค้าก็แถมขนมปังมาให้ตั้ง 2 ก่อนในห่อ
ทุกที่บนโลกใบนี้มีทั้งคนใจดี และคนใจร้าย อยู่ที่ เราเลือกที่จะจดจำคนแบบไหน
สิ่งสำคัญคือเราให้ ค่ากับคนแบบไหน ที่เข้ามาในชีวิตเราต่างหากจริงมั๊ยค่ะ
"To travel is to discover that everyone is wrong about other countries" - Aldous Huxley
ติดตามเรื่องอื่นๆได้ที่ facebook page:
https://www.facebook.com/theworldasiseeitbyjung