โดย : ดาริน โชสูงเนิน
"ยูเอซี โกลบอล" ยกธุรกิจพลังงานทดแทนขึ้นแท่น “ดาวเด่น” “กิตติ ชีวะเกตุ” โชว์แผนโตทางลัด ควักเงินไล่เทคโอเวอ
“1+1 ต้องมากกว่า 2”
เดือนมิ.ย.2556 “แอ็ด-กิตติ ชีวะเกตุ” เจ้าของ บมจ.ยูเอซี โกลบอล หรือ UAC หรือชื่อเดิม บมจ.ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบ้นท์ แอนด์ เคมิคัลส์ เคยมีความเชื่อเช่นนี้กับดีลควบรวมกิจการระหว่าง UAC และ บมจ.ไฮโดรเท็ค หรือ HYDRO ของเพื่อนรัก “สลิบ สูงสว่าง”
บอกความเชื่อให้นักลงทุนตื่นเต้นได้เพียง 15 วัน “สองเพื่อนร่วมรุ่นวศ.15” (คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่น15) ตัดสินใจเลื่อนดีลควบรวมกิจการออกไปอย่างไม่มีกำหนด ด้วยเหตุผลว่า สภาวะตลาดการเงินทั้งในและต่างประเทศผันผวนอย่างมากทำให้ไม่เอื้อต่อการดำเนินการตามแผนการร่วมกิจการ
สวนทางกับเสียงเม้าท์มอยที่ว่า ผู้ถือหุ้น HYPRO ไม่ปลื้มวิธีแลกหุ้นของ UAC หลังจะขอชำระเงินลงทุนให้ HYPRO เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ UAC จำนวนไม่เกิน 194,984,380 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในอัตราการแลกเปลี่ยน 1 หุ้นของ HYPRO ต่อ 1 หุ้นของ UAC ส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า “ไม่คุ้มค่า”
หลังแผนควบรวมกิจการไม่เป็นไปดั่งใจหวัง “กิตติ ชีวะเกตุ” หุ้นใหญ่ UAC สัดส่วนการลงทุน 300,421,146 หุ้น คิดเป็น 54.21 เปอร์เซ็นต์ (ตัวเลข ณ วันที่ 22 เม.ย.2557) จึงหันมาขยายอาณาจักรด้วยวิธีอื่น โดยหันมารุก “ธุรกิจพลังงานทดแทน” จากเดิมที่เน้นทำธุรกิจ ผู้นำเข้าและจำหน่ายสารเคมีและอุปกรณ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ
“วันนี้แผนธุรกิจ UAC มีทั้งรูปแบบระยะสั้นและระยะยาว” “แอ๊ด-กิตติ ชีวะเกตุ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ยูเอซี โกลบอล ถือโอกาสอัพเดทแผนธุรกิจให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังอีกครั้ง หลังสละตำแหน่งกรรมการผู้จัดการให้ “ชัชพล ประสพโชค” ดูแลต่อเมื่อเดือนมิ.ย.2557
สำหรับแผนระยะสั้น เราได้เร่งแผนลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทนให้เกิดเร็วขึ้น ด้วยการหันมาเทคโอเวอร์ธุรกิจพลังงานทดแทน จากเดิมที่มีแผนจะเข้าไปลงทุนโครงการพลังงานทดแทนด้วยตนเอง หลังพบว่า ในช่วง 6-8 เดือนที่ผ่านมา การเมืองไทยวุ่นวาย ทำให้ UAC เห็นถึงความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐ
เมื่อลองกลับมานั่งทบทวนทำให้เห็นว่า ความไม่แน่นอนเช่นนี้ อาจทำให้แผนลงทุนพลังงานทดแทนสะดุด เขายกตัวอย่างให้ฟังว่า สมมุติเรากำลังก่อสร้างโครงการพลังงานระหว่างนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายของภาครัฐ หากเป็นเช่นนั้นเราจะเดินต่ออย่างไร สู้ไปเทคโอเวอร์บริษัทที่ผลิตในเชิงพาณิชย์แล้วไม่ดีกว่าหรือ
ภายในไตรมาส 3/2557 จะเห็น UAC เทคโอเวอร์กิจการพลังงานทดแทนภายในประเทศ ปัจจุบันกำลังคุยอยู่ 3-4 ราย ล่าสุดได้เข้าไปดูกิจการของเพื่อนใหม่แล้วพบว่า “มีผลเป็นบวก” รอดูเพียงว่า ผลการเจรจาจะจบหรือไม่จบเท่านั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างคุยเรื่องราคา และการถือครองหุ้น คงต้องใช้เวลาสักพัก
เขา บอกถึงเป้าหมายของตัวเองว่า เราต้องการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สำหรับเงินลงทุนที่เตรียมไว้ใช้ในการเทคโอเวอร์ตกอยู่ประมาณ 700-800 ล้านบาท โดยจะเป็นเงินของบริษัทประมาณ 200-300 ล้านบาท ที่เหลือจะเป็นเงินกู้จากสถาบันทางการเงิน หรืออาจชำระค่าลงทุนแบบไม่ต้องเสียเงิน
สำหรับแผนธุรกิจในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2557-2561) “กิตติ” บอกว่า เรายังคงเน้นธุรกิจพลังงานทดแทนเหมือนเคย เนื่องจากเมืองไทยมีความต้องการใช้พลังงานมหาศาล และยังเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าพลังงานอีกมาก
ที่ผ่านมา UAC ศึกษาพลังงานทดแทนในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นไบโอดีเซลหรือเอทานอล ฉะนั้นหากพบว่า มีโอกาสก็พร้อมลงมือทำทันที ยิ่งเราได้รับการยืนยันจากพันธมิตรอิตาลีว่า เมืองไทยยังมีศักยภาพในการทำพลังงานทดแทนได้อีก เรายิ่งไม่พลาด
“เราเห็นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.และกระทรวงพลังงาน หันมาศึกษาเรื่องการนำขยะมาผลิตเป็นพลังงาน เรื่องนี้ UAC เห็นด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ แต่คงต้องมาดูว่า จะสามารถทำให้เป็นรูปธรรมได้มากน้อยแค่ไหน”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บอกว่า ปี 2559 บริษัทจะต้องมีสัดส่วนรายได้ธุรกิจพลังงานทดแทน และธุรกิจเทรดดิ้ง 50:50 เปอร์เซ็นต์ จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้ธุรกิจเทรดดิ้ง 90 เปอร์เซ็นต์ และธุรกิจพลังงาน 10 เปอร์เซ็นต์ หลังจากปี 2559 สัดส่วนรายได้ธุรกิจพลังงานจะแซงหน้าธุรกิจเทรดดิ้ง แต่สัดส่วนจะเป็นเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับการรับรู้รายได้ของแต่ละโครงการ และการเทคโอเวอร์ธุรกิจพลังงาน
ภายใน 5 ปี (2557-2561) รายได้จะยืน 5,000 ล้านบาท จากปี 2557 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 1,200 ล้านบาท เขาทำนายผลประกอบการ ก่อนขยายความว่า ตัวเลขนี้ได้รับการสนับสนุนจากการสร้างโรงผลิตก๊าซชีวภาพอัดความดันสูง (CBG) จำนวน 21 แห่ง ภายในปี 2558 ปัจจุบันสร้างเสร็จแล้ว 6 แห่ง
เขา เล่าต่อว่า UAC สนใจลงทุนพลังงานทดแทนในต่างประเทศ แต่จะเป็นในลักษณะเข้าไปจับมือเป็นพันธมิตรที่เขาดำเนินการอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศพม่าและมาเลเซีย คาดว่าจะเห็นภาพการลงทุนในปี 2558-2559 เบื้องต้นคงเข้าไปลงทุนกับพันธมิตรอิตาลีก่อน ซึ่งเขามีแผนจะเข้าไปลงทุนในโรงไฟฟ้าอยู่แล้ว
ส่วนแผนงานธุรกิจเทรดดิ้งคงเติบโตไปเรื่อย ที่ผ่านมาธุรกิจเทรดดิ้งเป็นงานทำเงินหรือ Cash Cow ของบริษัท เพราะใช้เงินลงทุนต่ำ แต่มีกำไรตลอดเวลา ในช่วง 5 ปีแรก คงเน้นธุรกิจด้านพลังงาน หลังจากนั้นจะมองหาธุรกิจอื่น UAC ไม่ต้องการนำตัวเองไปเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่ เพียงแต่ต้องการแตกไลน์ธุรกิจออกไป เพื่อกระจายความเสี่ยงเท่านั้น
ถามว่าอนาคตจะแตกไลน์ไปทำธุรกิจอื่นหรือไม่ “กิตติ” บอกว่า UAC อาจผันตัวเองเข้าไปสู่ “ธุรกิจปิโตรเคมี” หลังพบว่า แม้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในเมืองไทยจะมีขนาดใหญ่มาก เห็นได้จากโรงงานปิโตรเคมีที่มีจำนวนมากในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด แต่ปัจจุบันเมืองไทยยังต้องนำเข้าวัตถุดิบปิโตรเคมีบางอย่างจากต่างประเทศ
เราอาจต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 500-1,000 ล้านบาท งานนี้ไม่ทำคนเดียวแน่นอนต้องมีเพื่อนร่วมทางด้วย ซึ่งเพื่อนคนนั้นต้องมีความเชี่ยวชาญเรื่องปิโตรเคมี และต้องมีเทคโนโลยีและการตลาดที่แข็งแกร่ง
“ธุรกิจปิโตรเคมีอาจเป็นเพียงงานส่วนเล็กๆ ของบริษัท แต่อย่างน้อยก็เป็นงานเสริมที่ดี ด้วยความที่ผมเติบโตมากจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ ทำให้พอมองภาพรวมของอุตสาหกรรมดังกล่าวออกว่า ยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง”
เขาไม่ลืมที่จะวิเคราะห์ผลประกอบการในปี 2557 ว่า รายได้คงยืน 1,200 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 1,000 ล้านบาท แม้ในช่วง 6 เดือนแรกจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การเมืองก็ตาม ส่วนในแง่ของอัตรากำไรสุทธิจะพยายามรักษาไว้ระดับ 13 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมา อัตรากำไรสุทธิจะยืนเพียง 5.2 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม
ถามว่าจะเห็น UAC กับ HYDRO จับมือกันทำอะไรธุรกิจอีกหรือไม่ “กิตติ” ตอบว่า วันนี้ยังไม่เห็น เพราะเราเห็นโอกาสในธุรกิจพลังงานทดแทนมากกว่า หากมัวแต่ไปโฟกัสร่วมลงทุนกับ “ไฮโดรเท็ค” เพื่อบำบัดน้ำเสีย UAC อาจพลาดโอกาสดีๆ
“ผมในฐานะผู้ถือหุ้นลำดับ 2 ใน HYDRO สัดส่วน 25,662,327 หุ้น คิดเป็น 13.16 เปอร์เซ็นต์ ยังคงอยากให้ HYDRO บริหารจัดการน้ำต่อไป”
เขา เล่าถึงช่วงที่ตัดสินใจควบรวมกิจการกับ HYDRO ว่า ตอนนั้น UAC และ HYDRO ทำธุรกิจด้านสาธารณูปโภคเหมือนกัน เราจึงคิดว่าน่าจะพัฒนางานด้วยกันได้ แต่เมื่อ HYDRO ยังไม่พร้อม เราจึงหันมาดูแลบริษัทของตัวเองก่อน แต่อนาคตหากต้องจับมือร่วมกันจริงๆ คงมองเรื่องการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในแถบอาเซียนแทนการลงทุนในประเทศ หลังพบว่า ระบบสาธาณูปโภคเมืองไทยค่อนข้างอยู่ตัวแล้ว
“สมมุติต้องจับมือกันจริงๆ สิ่งที่เป็นไปได้ที่สุด คือ UAC ทำธุรกิจไฟฟ้า HYDRO ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำ ออกแนวทำด้วยกัน”
ส่วนอนาคตจะมีโอกาสทำงานร่วมกับแกงค์ “จตุรมิตร” เพื่อนร่วมรุ่นวศ.15 หรือไม่ (กิตติ-สลิบ-สมัย ลี้สกุล-ชวลิต หวังธำรง-พูลพิพัฒน์ ตันธนสิน) เขาตอบว่า แม้จะนั่งกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ แต่วันนี้ทุกคนยังคงโฟกัสในธุรกิจของตัวเอง เพราะอยากสร้างธุรกิจของตัวเองให้มีความมั่นคงและยั่งยืน แต่ก็ไม่ได้ปิดโอกาสที่จะร่วมงานกัน
“ถ้าจะร่วมมือกันจริงๆคงจะเป็นการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศมากกว่า ที่ผ่านมามีการแซวกันเล่นๆ ว่า หากได้จับมือกันทำธุรกิจแล้วใครจะเป็นผู้นำ” ประเด็นนี้ยังคงต้องถกเถียงกันต่อไป
ไตรมาส 3 UAC มีเซอร์ไพรส์!!
"ยูเอซี โกลบอล" ยกธุรกิจพลังงานทดแทนขึ้นแท่น “ดาวเด่น” “กิตติ ชีวะเกตุ” โชว์แผนโตทางลัด ควักเงินไล่เทคโอเวอ
“1+1 ต้องมากกว่า 2”
เดือนมิ.ย.2556 “แอ็ด-กิตติ ชีวะเกตุ” เจ้าของ บมจ.ยูเอซี โกลบอล หรือ UAC หรือชื่อเดิม บมจ.ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบ้นท์ แอนด์ เคมิคัลส์ เคยมีความเชื่อเช่นนี้กับดีลควบรวมกิจการระหว่าง UAC และ บมจ.ไฮโดรเท็ค หรือ HYDRO ของเพื่อนรัก “สลิบ สูงสว่าง”
บอกความเชื่อให้นักลงทุนตื่นเต้นได้เพียง 15 วัน “สองเพื่อนร่วมรุ่นวศ.15” (คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่น15) ตัดสินใจเลื่อนดีลควบรวมกิจการออกไปอย่างไม่มีกำหนด ด้วยเหตุผลว่า สภาวะตลาดการเงินทั้งในและต่างประเทศผันผวนอย่างมากทำให้ไม่เอื้อต่อการดำเนินการตามแผนการร่วมกิจการ
สวนทางกับเสียงเม้าท์มอยที่ว่า ผู้ถือหุ้น HYPRO ไม่ปลื้มวิธีแลกหุ้นของ UAC หลังจะขอชำระเงินลงทุนให้ HYPRO เป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ UAC จำนวนไม่เกิน 194,984,380 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในอัตราการแลกเปลี่ยน 1 หุ้นของ HYPRO ต่อ 1 หุ้นของ UAC ส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่า “ไม่คุ้มค่า”
หลังแผนควบรวมกิจการไม่เป็นไปดั่งใจหวัง “กิตติ ชีวะเกตุ” หุ้นใหญ่ UAC สัดส่วนการลงทุน 300,421,146 หุ้น คิดเป็น 54.21 เปอร์เซ็นต์ (ตัวเลข ณ วันที่ 22 เม.ย.2557) จึงหันมาขยายอาณาจักรด้วยวิธีอื่น โดยหันมารุก “ธุรกิจพลังงานทดแทน” จากเดิมที่เน้นทำธุรกิจ ผู้นำเข้าและจำหน่ายสารเคมีและอุปกรณ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ
“วันนี้แผนธุรกิจ UAC มีทั้งรูปแบบระยะสั้นและระยะยาว” “แอ๊ด-กิตติ ชีวะเกตุ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ยูเอซี โกลบอล ถือโอกาสอัพเดทแผนธุรกิจให้ “กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังอีกครั้ง หลังสละตำแหน่งกรรมการผู้จัดการให้ “ชัชพล ประสพโชค” ดูแลต่อเมื่อเดือนมิ.ย.2557
สำหรับแผนระยะสั้น เราได้เร่งแผนลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทนให้เกิดเร็วขึ้น ด้วยการหันมาเทคโอเวอร์ธุรกิจพลังงานทดแทน จากเดิมที่มีแผนจะเข้าไปลงทุนโครงการพลังงานทดแทนด้วยตนเอง หลังพบว่า ในช่วง 6-8 เดือนที่ผ่านมา การเมืองไทยวุ่นวาย ทำให้ UAC เห็นถึงความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐ
เมื่อลองกลับมานั่งทบทวนทำให้เห็นว่า ความไม่แน่นอนเช่นนี้ อาจทำให้แผนลงทุนพลังงานทดแทนสะดุด เขายกตัวอย่างให้ฟังว่า สมมุติเรากำลังก่อสร้างโครงการพลังงานระหว่างนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายของภาครัฐ หากเป็นเช่นนั้นเราจะเดินต่ออย่างไร สู้ไปเทคโอเวอร์บริษัทที่ผลิตในเชิงพาณิชย์แล้วไม่ดีกว่าหรือ
ภายในไตรมาส 3/2557 จะเห็น UAC เทคโอเวอร์กิจการพลังงานทดแทนภายในประเทศ ปัจจุบันกำลังคุยอยู่ 3-4 ราย ล่าสุดได้เข้าไปดูกิจการของเพื่อนใหม่แล้วพบว่า “มีผลเป็นบวก” รอดูเพียงว่า ผลการเจรจาจะจบหรือไม่จบเท่านั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างคุยเรื่องราคา และการถือครองหุ้น คงต้องใช้เวลาสักพัก
เขา บอกถึงเป้าหมายของตัวเองว่า เราต้องการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สำหรับเงินลงทุนที่เตรียมไว้ใช้ในการเทคโอเวอร์ตกอยู่ประมาณ 700-800 ล้านบาท โดยจะเป็นเงินของบริษัทประมาณ 200-300 ล้านบาท ที่เหลือจะเป็นเงินกู้จากสถาบันทางการเงิน หรืออาจชำระค่าลงทุนแบบไม่ต้องเสียเงิน
สำหรับแผนธุรกิจในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2557-2561) “กิตติ” บอกว่า เรายังคงเน้นธุรกิจพลังงานทดแทนเหมือนเคย เนื่องจากเมืองไทยมีความต้องการใช้พลังงานมหาศาล และยังเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าพลังงานอีกมาก
ที่ผ่านมา UAC ศึกษาพลังงานทดแทนในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นไบโอดีเซลหรือเอทานอล ฉะนั้นหากพบว่า มีโอกาสก็พร้อมลงมือทำทันที ยิ่งเราได้รับการยืนยันจากพันธมิตรอิตาลีว่า เมืองไทยยังมีศักยภาพในการทำพลังงานทดแทนได้อีก เรายิ่งไม่พลาด
“เราเห็นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.และกระทรวงพลังงาน หันมาศึกษาเรื่องการนำขยะมาผลิตเป็นพลังงาน เรื่องนี้ UAC เห็นด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ แต่คงต้องมาดูว่า จะสามารถทำให้เป็นรูปธรรมได้มากน้อยแค่ไหน”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บอกว่า ปี 2559 บริษัทจะต้องมีสัดส่วนรายได้ธุรกิจพลังงานทดแทน และธุรกิจเทรดดิ้ง 50:50 เปอร์เซ็นต์ จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้ธุรกิจเทรดดิ้ง 90 เปอร์เซ็นต์ และธุรกิจพลังงาน 10 เปอร์เซ็นต์ หลังจากปี 2559 สัดส่วนรายได้ธุรกิจพลังงานจะแซงหน้าธุรกิจเทรดดิ้ง แต่สัดส่วนจะเป็นเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับการรับรู้รายได้ของแต่ละโครงการ และการเทคโอเวอร์ธุรกิจพลังงาน
ภายใน 5 ปี (2557-2561) รายได้จะยืน 5,000 ล้านบาท จากปี 2557 ที่คาดว่าจะมีรายได้ 1,200 ล้านบาท เขาทำนายผลประกอบการ ก่อนขยายความว่า ตัวเลขนี้ได้รับการสนับสนุนจากการสร้างโรงผลิตก๊าซชีวภาพอัดความดันสูง (CBG) จำนวน 21 แห่ง ภายในปี 2558 ปัจจุบันสร้างเสร็จแล้ว 6 แห่ง
เขา เล่าต่อว่า UAC สนใจลงทุนพลังงานทดแทนในต่างประเทศ แต่จะเป็นในลักษณะเข้าไปจับมือเป็นพันธมิตรที่เขาดำเนินการอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศพม่าและมาเลเซีย คาดว่าจะเห็นภาพการลงทุนในปี 2558-2559 เบื้องต้นคงเข้าไปลงทุนกับพันธมิตรอิตาลีก่อน ซึ่งเขามีแผนจะเข้าไปลงทุนในโรงไฟฟ้าอยู่แล้ว
ส่วนแผนงานธุรกิจเทรดดิ้งคงเติบโตไปเรื่อย ที่ผ่านมาธุรกิจเทรดดิ้งเป็นงานทำเงินหรือ Cash Cow ของบริษัท เพราะใช้เงินลงทุนต่ำ แต่มีกำไรตลอดเวลา ในช่วง 5 ปีแรก คงเน้นธุรกิจด้านพลังงาน หลังจากนั้นจะมองหาธุรกิจอื่น UAC ไม่ต้องการนำตัวเองไปเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่ เพียงแต่ต้องการแตกไลน์ธุรกิจออกไป เพื่อกระจายความเสี่ยงเท่านั้น
ถามว่าอนาคตจะแตกไลน์ไปทำธุรกิจอื่นหรือไม่ “กิตติ” บอกว่า UAC อาจผันตัวเองเข้าไปสู่ “ธุรกิจปิโตรเคมี” หลังพบว่า แม้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในเมืองไทยจะมีขนาดใหญ่มาก เห็นได้จากโรงงานปิโตรเคมีที่มีจำนวนมากในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด แต่ปัจจุบันเมืองไทยยังต้องนำเข้าวัตถุดิบปิโตรเคมีบางอย่างจากต่างประเทศ
เราอาจต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 500-1,000 ล้านบาท งานนี้ไม่ทำคนเดียวแน่นอนต้องมีเพื่อนร่วมทางด้วย ซึ่งเพื่อนคนนั้นต้องมีความเชี่ยวชาญเรื่องปิโตรเคมี และต้องมีเทคโนโลยีและการตลาดที่แข็งแกร่ง
“ธุรกิจปิโตรเคมีอาจเป็นเพียงงานส่วนเล็กๆ ของบริษัท แต่อย่างน้อยก็เป็นงานเสริมที่ดี ด้วยความที่ผมเติบโตมากจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ ทำให้พอมองภาพรวมของอุตสาหกรรมดังกล่าวออกว่า ยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง”
เขาไม่ลืมที่จะวิเคราะห์ผลประกอบการในปี 2557 ว่า รายได้คงยืน 1,200 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 1,000 ล้านบาท แม้ในช่วง 6 เดือนแรกจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การเมืองก็ตาม ส่วนในแง่ของอัตรากำไรสุทธิจะพยายามรักษาไว้ระดับ 13 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมา อัตรากำไรสุทธิจะยืนเพียง 5.2 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม
ถามว่าจะเห็น UAC กับ HYDRO จับมือกันทำอะไรธุรกิจอีกหรือไม่ “กิตติ” ตอบว่า วันนี้ยังไม่เห็น เพราะเราเห็นโอกาสในธุรกิจพลังงานทดแทนมากกว่า หากมัวแต่ไปโฟกัสร่วมลงทุนกับ “ไฮโดรเท็ค” เพื่อบำบัดน้ำเสีย UAC อาจพลาดโอกาสดีๆ
“ผมในฐานะผู้ถือหุ้นลำดับ 2 ใน HYDRO สัดส่วน 25,662,327 หุ้น คิดเป็น 13.16 เปอร์เซ็นต์ ยังคงอยากให้ HYDRO บริหารจัดการน้ำต่อไป”
เขา เล่าถึงช่วงที่ตัดสินใจควบรวมกิจการกับ HYDRO ว่า ตอนนั้น UAC และ HYDRO ทำธุรกิจด้านสาธารณูปโภคเหมือนกัน เราจึงคิดว่าน่าจะพัฒนางานด้วยกันได้ แต่เมื่อ HYDRO ยังไม่พร้อม เราจึงหันมาดูแลบริษัทของตัวเองก่อน แต่อนาคตหากต้องจับมือร่วมกันจริงๆ คงมองเรื่องการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในแถบอาเซียนแทนการลงทุนในประเทศ หลังพบว่า ระบบสาธาณูปโภคเมืองไทยค่อนข้างอยู่ตัวแล้ว
“สมมุติต้องจับมือกันจริงๆ สิ่งที่เป็นไปได้ที่สุด คือ UAC ทำธุรกิจไฟฟ้า HYDRO ทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำ ออกแนวทำด้วยกัน”
ส่วนอนาคตจะมีโอกาสทำงานร่วมกับแกงค์ “จตุรมิตร” เพื่อนร่วมรุ่นวศ.15 หรือไม่ (กิตติ-สลิบ-สมัย ลี้สกุล-ชวลิต หวังธำรง-พูลพิพัฒน์ ตันธนสิน) เขาตอบว่า แม้จะนั่งกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ แต่วันนี้ทุกคนยังคงโฟกัสในธุรกิจของตัวเอง เพราะอยากสร้างธุรกิจของตัวเองให้มีความมั่นคงและยั่งยืน แต่ก็ไม่ได้ปิดโอกาสที่จะร่วมงานกัน
“ถ้าจะร่วมมือกันจริงๆคงจะเป็นการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศมากกว่า ที่ผ่านมามีการแซวกันเล่นๆ ว่า หากได้จับมือกันทำธุรกิจแล้วใครจะเป็นผู้นำ” ประเด็นนี้ยังคงต้องถกเถียงกันต่อไป