สวัสดีคะ อ่านในเวปนี้มานาน แต่ไม่เคยมาโพสอะไร จนวันนี้อดทนไม่ได้แล้ว เมื่อความยุติธรรมไม่มีให้แก่ดิฉัน ดิฉันเองเป็นพนักงานออฟฟิศธรรมดา ไม่ได้ร่ำเรียนมาทางด้านกฎหมาย ไม่ทราบข้อกฎหมายเลยคะ ครอบครัวเราฐานะปานกลาง อยู่ย่านนนทบุรี
วันเกิดเหตุ 30 มิถุนายน 2557 เวลาประมาณ 21.00 กว่าๆ พี่ชายดิฉันอายุ41 ปีไม่มีครอบครัว ซึ่งทำงานเป็นเทศกิจแต่บรรจุเป็นลูกจ้างประจำของเขตใจกลางศูนย์การค้าของวัยรุ่น ได้ขี่รถมอเตอไซค์ผ่านแยกสะพานแดง เพื่อไปถนนเทอดดำริ เพื่อเข้าเวร พอสัญญาณไฟเขียวพี่ชายดิฉันก็ขี่รถมุ่งไปยังถนนเทอดดำริทันที แต่ทันใดนั้นเอง มีรถแคมรี่ ทะเบียน พX XX ได้ขับตัดเลนพุ่งเข้าชนในเลนที่พี่ชายดิฉันขี่มา และเฉี่ยวชนกับรถวีออสของคุณ น. ด้วย แต่คุณ น.ไม่เอาความ แต่พี่ชายดิฉันโดนชนจนกระเด็นออกจากรถมอเตอไซค์ (จากคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์) รถมอเตอไซค์ของพี่ชายไปปักเข้าที่กันชนและพับยู่เข้าหากันทางด้านซ้ายของรถแคมรี่ (รูปของรถและผู้เสียหายจะมาโพสในช่วงดึกนะคะ วันนี้ลืมเอาโทรศัพท์มาคะ)
จากนั้นผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า คนขับลงมาจากรถมาดูแต่อยู่ในสภาพเมามาย และพยามจะขับหนีเข้ากรม....ของทางทหาร...แถวนั้น และมีคนจากในกรม... ตามมาและให้คนขับ ไปหลบในกรม โชคยังดีคะมีรถมอเตอไซค์ที่ขับตามหลังพี่ชายมา โดยมีผู้ขับขี่ชื่อ คุณส. (ตามบันทึกในสำนวนคดี) จอดลงมาดึงกุญแจของแคมรี่ และฝากไว้ที่ จ่า ม. ที่มาดูเหตุการณ์ โดยจ่า ม.ผู้นี้เป็นคนที่โทรแจ้งมูลนิธิอึ้ง.......ให้มารับพี่ชายดิฉันส่งโรงพยาบาลย่านสวนอ้อย จากนั้นคุณตำรวจชื่อ ว. ได้มาที่เกิดเหตุหลังจากที่ส่งพี่ชายไปโรงพยาบาลย่านสวนอ้อยแล้ว
จากนั้นเช้าวันต่อมา 1 กรกฎาคม 2557 ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากพี่สาวว่าพี่ชายเข้าโรงพยาบาล... โดนรถชน ดิฉันจึงเข้าเยี่ยมพี่ชายก่อน จากนั้นจึงได้ทราบว่า คู่กรณี หรือผู้ชน เป็นทหารอากาศ อายุใกล้จะ 60 แล้ว ทางคู่กรณีและเจ้านายของคู่กรณีได้มาที่ รพ.ก่อนแล้ว ได้มอบเงินให้พี่สาวไว้เบื้องต้น 5,000 ช่วงบ่ายดิฉันพร้อมพี่สาวได้เดินทางไป สถานีตำรวจย่านบาง...ใกล้กับถนนสายไม้ เมื่อคุณตำรวจ ว. มา
โดยดิฉันได้ถามคุณตำรวจ ว. ว่า
1. ได้ให้คู่กรณีเป่าแอลกอฮอล์หรือไม่
คำตอบ คือ ไม่ได้เป่า เพราะรีบส่งคนป่วยไปโรงพยาบาลก่อน
2. และขอเปิดดูกล้องวงจรปิดบริเวณแยกนั้นได้ไหม เพราะดิฉันนึกภสพเหตุการณ์ไม่ออกเลยคะคุณตำรวจ
คำตอบ คือ ไม่ให้เปิด คุณฟังเท่าที่ผมเล่ามานี้ก็พอแล้ว เดี๋ยวผมเขียนแผนที่อธิบายได้ ไม่ต้องเปิดๆ
3. ขอชื่อผู้ที่นำพี่ชายไปส่ง รพ. ได้ไหม
คำตอบ คือ ไม่ทราบชื่อ เนื่องจากคนจากมูลนิธิอึ้ง.. เป็นจิตอาสาไม่สามารถตรวจสอบให้ได้ คนตั้งเยอะตั้งแยะ
สรุป คือ ดิฉันไม่ได้รับคำตอบที่ดีจากทาง สน.ย่านบาง..ใกล้กับถนนสายไม้เลยคะ จนตำรวจเอาสำนวนมาให้อ่าน ลายมือคุณตำรวจ อ่านยากมาก(ขอติดรูปไว้ก่อนนะคะ ลืมเอาโทรศัพท์มาคะ) จากนั้น คุณตำรวจได้ให้พี่สาวเซ็นต์ชื่อ รับซากรถ และดิฉันด้วยความที่เสียใจ จึงได้ถาม ฝ่ายคู่กรณีว่า คุณเมาแล้วขับใช่ไหม ทำไมคุณทำแบบนี้ และมีเจ้านายชื่อ ว.ของคู่กรณี ได้พูดมาว่า มีงานเลี้ยง ทานมานิดหน่อย ดิฉันจึงได้ตอบไปว่า นั่นไง เมาและขับ จึงทำให้พี่ชายดิฉันเป็นแบบนี้ และฝั่งคู่กรณียังมาถามหากุญแจที่คุณส. เก็บไปด้วยว่าอยู่ไหน ขอคืน ด้วย เพราะเคลื่อนย้ายรถไม่ได้ แต่ได้บอกว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างจนหายดี
ต่อมาพยาบาลสาวมาแจ้งกับ เจ้านายของคู่กรณี ชื่อ บ. ว่าต้องให้พรบ. จ่ายมาก่อน 15,000 และจึงจะสามารถเบิกจ่ายตรงตามสิทธิ ของที่ทำงานพี่ชายได้ ทางคู่กรณีจึงได้จ่าย 15,000 ไปให้โรงพยาบาล เนื่องจากรถคู่กรณี(แคมรี่)ไม่มี พรบ. และไม่ต่อภาษีมา 4 ปีแล้ว แถมยังได้แจ้งว่าโอนลอยมา เลยไม่มีพรบ. ซึ่งรถมอเตอไซค์ของพี่ชายดิฉันก็ขาด พรบ. 1 ปี จึงทำให้ไม่มีสิทธิจาก พรบ.ตรงนี้
ต่อมาก็มีการนัดมาชำระเงินส่วนเกินจากทางโรงพยาบาล อาทิตย์ละครั้ง ทุกครั้งที่มา คู่กรณีเงียบทุกครั้งที่มาและเจ้านายของคู่กรณีเป็นคนพูดแทนสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเป็นเพื่อน คู่กรณีเสมอ และได้มีการต่อเถียงทางวาจา กับดิฉันและแม่ดิฉันด้วย ซึ่งเวลาเค้าจะมาชำระเงิน ดิฉันก็ลิสต์รายการแนบใบเสร็จไว้ให้ทุกครั้ง พยาม save cost ให้ แต่เจ้านายของคู่กรณีก็พูดว่าช่วยเซฟให้มากกว่านี้ เพราะคู่กรณีไม่มีเงินให้เห็นแก่มนุษยธรรมและเห็นใจ เพราะพ่อของผู้เสียหายก็เป็นทหารอากาศเช่นเดียวกัน และทางดิฉันละคะ ก็ไม่มีเงินสำรองไปก่อนเช่นกัน
ระหว่างที่พักรักษาตัวดูอาการห้องคนไข้รวมชั้น 8 พี่ชายดิฉันได้เดินไปห้องน้ำเอง และได้ล้มลงเนื่องจากขาอ่อนแรง จากนั้นจึงต้องผ่าตัดด่วน สรุปคือ เป็น กระดูกหักไปทับเส้นประสาท หลังผ่าตัดพี่ชายเป็นอัมพฤกษ์ทันทีคะ ร่างกายช่วงล่างไม่รับรู้ความรู้สึก แต่ช่วงบนขึ้นจากเอวมาสามารถทานข้าวได้ ขยับพลิกตัวเองได้ ตะแคงได้บ้างโดยมีหมอนหนุน โดยหมอวินิจฉัยอาการว่า เป็นอัมพฤกษ์ เดินไม่ได้-เดินไม่ได้ตลอดชีวิต และทำใบส่งตัวไปกายภาพต่อที่ศูนย์สิรินธร
โดยค่าใช้จ่ายที่คู่กรณีมาจ่ายให้ คือ ค่าส่วนเกินจากทาง รพ. และ ส่วนที่ทางเราออกค่าใช้จ่ายไปแล้ว เช่น แพมเพิสผู้ใหญ่ แผ่นซับ ทิชชู่ สำลี ซึ่งแต่ละวันใช้จำนวนมาก โดยวันสุดท้ายที่จะออกจาก รพ. ทางคู่กรณีมาชำระเงินให้เหมือนเดิม คือแค่ส่วนเกินและตามใบเสร็จที่ดิฉันแจ้งไป หลังจากนั้นที่ออก รพ.กลับมาอยู่บ้าน เวลาไปกายภาพ เราต้องจ้างรถนอนมารับไป รับกลับ ซึ่งมีค่าใช้จ่าย
และเมื่อวานนี้คะ 31 ก.ค สดๆร้อนๆ คุณตำรวจ ว. กับทางคู่กรณี ฉ. ได้นัดมาตกลงกันเพิ่มเติม และมาพร้อมกับข้าราชการชุดสีน้ำตาลอ่อน แต่ไม่แจ้งยศใดๆ ส่วน ดิฉันไปพร้อมกับพ่อ แม่ และลุงข้างบ้านที่ผ่านเรื่องคดีมาบ้างมาเป็นพยาน โดยคู่กรณีคือคนที่ใส่ชุดน้ำตาลอ่อน ขอดูใบเสร็จย้อนหลังที่เจ้านายของคู่กรณีได้ตรวจสอบไปหมดแล้ว ทุกใบ ให้เอามาให้ดูให้หมด ซึ่งดิฉันได้ตอบไปแล้วว่า เจ้านาย ว. เจ้านาย บ. ของคู่กรณี ฉ. ได้ตรวจสอบหมดแล้วก่อนที่คู่กรณีจะจ่ายเงินให้
ดิฉันได้ถามคุณตำรวจ ว. ว่า การที่ คู่กรณีมาจ่าย 15,000 ให้ทาง โรงพยาบาล ดิฉันจะได้รับสิทธิในฐานะที่เป็นทุพพลภาพไหมคะ และจริงๆพี่ชายก็มีสิทธิเบิกจ่ายตรงอยู่แล้ว ทำไมต้องมาจ่ายให้กับ โรงพยาบาลอีก คือเพื่อปิดเรื่องที่คู่กรณี ฉ. ไม่มี พรบ. ใช่หรือไม่ คุณตำรวจ ว. ตอบคำถามไม่ได้ แจ้งว่าเคยเจอเคสคุณ เคสแรกนี่แหละ แม่ดิฉันจึงได้ลิสต์รายการค่าใช้จ่ายในแต่ละวันตั้งแต่ออกจาก รพ.มา และไปจนถึง ไปทำกายภาพ ให้คู่กรณี ฉ. ดู แต่คู่กรณี ฉ. แจ้งว่า ทางดิฉันตกลงกับเจ้านาย บ. ไว้ ก็ไปคุยกับเจ้านาย บ. เอาเอง แม่ดิฉันเลยปรี้ดแตก โต้เถียงกันเสียงดังว่า เจ้านายของคุณรับรองเองว่าจะจ่ายให้ทุกอย่าง ให้ลิสต์รายการไว้ พอเอามาให้ดูกลับปฏิเสธไม่จ่าย และยังให้แม่ดิฉันไปฟ้องศาลเอาเองอีกด้วย
ดิฉันพูดไม่ออกเลย จากนี้ไป ทางบ้านต้องดูแลพี่ชายอีกนานแค่ไหน ทำไมคู่กรณี ฉ. ทำไมถึงกลับคำ เล่นลิ้น ไม่รับผิดชอบแบบนี้ ทำไมถึงไม่ให้ดิฉันเปิดกล้อง กลับพูดจาว่าดิฉันมองโลกแง่ร้าย มันเป็นแค่อุบัติเหตุธรรมดา ไม่มีอะไรมากกว่านี้ทำไมต้องปิดเรื่องเมาแล้วขับ ทั้งๆที่พยานมากกว่า 4 ปากยืนยันได้ว่าเมามาย และกร่าง และเจ้านายว. ก็ยอมรับต่อหน้าคุณตำรวจ ว. ว่ามีงานเลี้ยงดื่มมานิดหน่อย
พ่อดิฉันเกษียณราชการจากทหารอากาศเหมือนกันได้เงินรายเดือน ราว 10,000 นิดๆ จะเลี้ยงดู ลูกชายอายุ 41 ที่เป็นอัมพฤกษ์ได้นานแค่ไหนคะ แม่ก็เป็นข้าราชการครูกินเงินบำนาญเหมือนกัน ต้องมาคอยสวนปัสสาวะ ทุก 4 ชม. ล้วงอุจจาระทุกเช้าวันละ 1 ครั้ง อีกนานแค่ไหน ถ้าเค้าไม่เมาและขับพี่ชายดิฉันไม่มีทางเป็นแบบนี้แน่
บอกตรงๆ ดิฉันไม่มีความรู้กฎหมายแต่ก็ไม่เกรงกลัว ทางฝ่ายดิฉันเป็นผู้เสียหาย ทำไมต้องมาตามเรียกร้อง ตามขอเงินทั้งๆที่ฝ่ายคู่กรณีน่าจะเห็นใจทางเรามากกว่า ลองคิดกลับกัน ใจเขาใจเรา ตัวคู่กรณีเองก็มีลูก ก็น่าจะเข้าใจ ดิฉันจะต้องทำอย่างไรดีคะ รบกวนขอคำแนะนำเพิ่มเติมคะ (ขอบคุณที่ทนอ่านคะ เนื้อเรื่องยาวไป แต่เรื่องจริงคะ) เป็นอุทาหรณ์ไว้คะ แม้ว่าเราจะขี่มอเตอไซค์มาอย่างดี ถูกเลน แต่เมื่อเจอคนเมาแล้วขับเค้าสามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ และเมื่อเค้าให้ปากคำอยู่ฝ่ายเดียว ทำให้สำนวนคดีอ่อนได้
RIP ให้แก่เมืองไทย ที่หาความยุติธรรมยากเหลือเกินค่ะ
เมื่อพี่ชายถูกคนเมาแล้วขับชนจนเป็นอัมพฤกษ์ คู่กรณีปฏิเสธไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ให้ไปฟ้องศาลเอาเอง ดิฉันต้องทำอย่างไรดีคะ
วันเกิดเหตุ 30 มิถุนายน 2557 เวลาประมาณ 21.00 กว่าๆ พี่ชายดิฉันอายุ41 ปีไม่มีครอบครัว ซึ่งทำงานเป็นเทศกิจแต่บรรจุเป็นลูกจ้างประจำของเขตใจกลางศูนย์การค้าของวัยรุ่น ได้ขี่รถมอเตอไซค์ผ่านแยกสะพานแดง เพื่อไปถนนเทอดดำริ เพื่อเข้าเวร พอสัญญาณไฟเขียวพี่ชายดิฉันก็ขี่รถมุ่งไปยังถนนเทอดดำริทันที แต่ทันใดนั้นเอง มีรถแคมรี่ ทะเบียน พX XX ได้ขับตัดเลนพุ่งเข้าชนในเลนที่พี่ชายดิฉันขี่มา และเฉี่ยวชนกับรถวีออสของคุณ น. ด้วย แต่คุณ น.ไม่เอาความ แต่พี่ชายดิฉันโดนชนจนกระเด็นออกจากรถมอเตอไซค์ (จากคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์) รถมอเตอไซค์ของพี่ชายไปปักเข้าที่กันชนและพับยู่เข้าหากันทางด้านซ้ายของรถแคมรี่ (รูปของรถและผู้เสียหายจะมาโพสในช่วงดึกนะคะ วันนี้ลืมเอาโทรศัพท์มาคะ)
จากนั้นผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า คนขับลงมาจากรถมาดูแต่อยู่ในสภาพเมามาย และพยามจะขับหนีเข้ากรม....ของทางทหาร...แถวนั้น และมีคนจากในกรม... ตามมาและให้คนขับ ไปหลบในกรม โชคยังดีคะมีรถมอเตอไซค์ที่ขับตามหลังพี่ชายมา โดยมีผู้ขับขี่ชื่อ คุณส. (ตามบันทึกในสำนวนคดี) จอดลงมาดึงกุญแจของแคมรี่ และฝากไว้ที่ จ่า ม. ที่มาดูเหตุการณ์ โดยจ่า ม.ผู้นี้เป็นคนที่โทรแจ้งมูลนิธิอึ้ง.......ให้มารับพี่ชายดิฉันส่งโรงพยาบาลย่านสวนอ้อย จากนั้นคุณตำรวจชื่อ ว. ได้มาที่เกิดเหตุหลังจากที่ส่งพี่ชายไปโรงพยาบาลย่านสวนอ้อยแล้ว
จากนั้นเช้าวันต่อมา 1 กรกฎาคม 2557 ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากพี่สาวว่าพี่ชายเข้าโรงพยาบาล... โดนรถชน ดิฉันจึงเข้าเยี่ยมพี่ชายก่อน จากนั้นจึงได้ทราบว่า คู่กรณี หรือผู้ชน เป็นทหารอากาศ อายุใกล้จะ 60 แล้ว ทางคู่กรณีและเจ้านายของคู่กรณีได้มาที่ รพ.ก่อนแล้ว ได้มอบเงินให้พี่สาวไว้เบื้องต้น 5,000 ช่วงบ่ายดิฉันพร้อมพี่สาวได้เดินทางไป สถานีตำรวจย่านบาง...ใกล้กับถนนสายไม้ เมื่อคุณตำรวจ ว. มา
โดยดิฉันได้ถามคุณตำรวจ ว. ว่า
1. ได้ให้คู่กรณีเป่าแอลกอฮอล์หรือไม่
คำตอบ คือ ไม่ได้เป่า เพราะรีบส่งคนป่วยไปโรงพยาบาลก่อน
2. และขอเปิดดูกล้องวงจรปิดบริเวณแยกนั้นได้ไหม เพราะดิฉันนึกภสพเหตุการณ์ไม่ออกเลยคะคุณตำรวจ
คำตอบ คือ ไม่ให้เปิด คุณฟังเท่าที่ผมเล่ามานี้ก็พอแล้ว เดี๋ยวผมเขียนแผนที่อธิบายได้ ไม่ต้องเปิดๆ
3. ขอชื่อผู้ที่นำพี่ชายไปส่ง รพ. ได้ไหม
คำตอบ คือ ไม่ทราบชื่อ เนื่องจากคนจากมูลนิธิอึ้ง.. เป็นจิตอาสาไม่สามารถตรวจสอบให้ได้ คนตั้งเยอะตั้งแยะ
สรุป คือ ดิฉันไม่ได้รับคำตอบที่ดีจากทาง สน.ย่านบาง..ใกล้กับถนนสายไม้เลยคะ จนตำรวจเอาสำนวนมาให้อ่าน ลายมือคุณตำรวจ อ่านยากมาก(ขอติดรูปไว้ก่อนนะคะ ลืมเอาโทรศัพท์มาคะ) จากนั้น คุณตำรวจได้ให้พี่สาวเซ็นต์ชื่อ รับซากรถ และดิฉันด้วยความที่เสียใจ จึงได้ถาม ฝ่ายคู่กรณีว่า คุณเมาแล้วขับใช่ไหม ทำไมคุณทำแบบนี้ และมีเจ้านายชื่อ ว.ของคู่กรณี ได้พูดมาว่า มีงานเลี้ยง ทานมานิดหน่อย ดิฉันจึงได้ตอบไปว่า นั่นไง เมาและขับ จึงทำให้พี่ชายดิฉันเป็นแบบนี้ และฝั่งคู่กรณียังมาถามหากุญแจที่คุณส. เก็บไปด้วยว่าอยู่ไหน ขอคืน ด้วย เพราะเคลื่อนย้ายรถไม่ได้ แต่ได้บอกว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างจนหายดี
ต่อมาพยาบาลสาวมาแจ้งกับ เจ้านายของคู่กรณี ชื่อ บ. ว่าต้องให้พรบ. จ่ายมาก่อน 15,000 และจึงจะสามารถเบิกจ่ายตรงตามสิทธิ ของที่ทำงานพี่ชายได้ ทางคู่กรณีจึงได้จ่าย 15,000 ไปให้โรงพยาบาล เนื่องจากรถคู่กรณี(แคมรี่)ไม่มี พรบ. และไม่ต่อภาษีมา 4 ปีแล้ว แถมยังได้แจ้งว่าโอนลอยมา เลยไม่มีพรบ. ซึ่งรถมอเตอไซค์ของพี่ชายดิฉันก็ขาด พรบ. 1 ปี จึงทำให้ไม่มีสิทธิจาก พรบ.ตรงนี้
ต่อมาก็มีการนัดมาชำระเงินส่วนเกินจากทางโรงพยาบาล อาทิตย์ละครั้ง ทุกครั้งที่มา คู่กรณีเงียบทุกครั้งที่มาและเจ้านายของคู่กรณีเป็นคนพูดแทนสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเป็นเพื่อน คู่กรณีเสมอ และได้มีการต่อเถียงทางวาจา กับดิฉันและแม่ดิฉันด้วย ซึ่งเวลาเค้าจะมาชำระเงิน ดิฉันก็ลิสต์รายการแนบใบเสร็จไว้ให้ทุกครั้ง พยาม save cost ให้ แต่เจ้านายของคู่กรณีก็พูดว่าช่วยเซฟให้มากกว่านี้ เพราะคู่กรณีไม่มีเงินให้เห็นแก่มนุษยธรรมและเห็นใจ เพราะพ่อของผู้เสียหายก็เป็นทหารอากาศเช่นเดียวกัน และทางดิฉันละคะ ก็ไม่มีเงินสำรองไปก่อนเช่นกัน
ระหว่างที่พักรักษาตัวดูอาการห้องคนไข้รวมชั้น 8 พี่ชายดิฉันได้เดินไปห้องน้ำเอง และได้ล้มลงเนื่องจากขาอ่อนแรง จากนั้นจึงต้องผ่าตัดด่วน สรุปคือ เป็น กระดูกหักไปทับเส้นประสาท หลังผ่าตัดพี่ชายเป็นอัมพฤกษ์ทันทีคะ ร่างกายช่วงล่างไม่รับรู้ความรู้สึก แต่ช่วงบนขึ้นจากเอวมาสามารถทานข้าวได้ ขยับพลิกตัวเองได้ ตะแคงได้บ้างโดยมีหมอนหนุน โดยหมอวินิจฉัยอาการว่า เป็นอัมพฤกษ์ เดินไม่ได้-เดินไม่ได้ตลอดชีวิต และทำใบส่งตัวไปกายภาพต่อที่ศูนย์สิรินธร
โดยค่าใช้จ่ายที่คู่กรณีมาจ่ายให้ คือ ค่าส่วนเกินจากทาง รพ. และ ส่วนที่ทางเราออกค่าใช้จ่ายไปแล้ว เช่น แพมเพิสผู้ใหญ่ แผ่นซับ ทิชชู่ สำลี ซึ่งแต่ละวันใช้จำนวนมาก โดยวันสุดท้ายที่จะออกจาก รพ. ทางคู่กรณีมาชำระเงินให้เหมือนเดิม คือแค่ส่วนเกินและตามใบเสร็จที่ดิฉันแจ้งไป หลังจากนั้นที่ออก รพ.กลับมาอยู่บ้าน เวลาไปกายภาพ เราต้องจ้างรถนอนมารับไป รับกลับ ซึ่งมีค่าใช้จ่าย
และเมื่อวานนี้คะ 31 ก.ค สดๆร้อนๆ คุณตำรวจ ว. กับทางคู่กรณี ฉ. ได้นัดมาตกลงกันเพิ่มเติม และมาพร้อมกับข้าราชการชุดสีน้ำตาลอ่อน แต่ไม่แจ้งยศใดๆ ส่วน ดิฉันไปพร้อมกับพ่อ แม่ และลุงข้างบ้านที่ผ่านเรื่องคดีมาบ้างมาเป็นพยาน โดยคู่กรณีคือคนที่ใส่ชุดน้ำตาลอ่อน ขอดูใบเสร็จย้อนหลังที่เจ้านายของคู่กรณีได้ตรวจสอบไปหมดแล้ว ทุกใบ ให้เอามาให้ดูให้หมด ซึ่งดิฉันได้ตอบไปแล้วว่า เจ้านาย ว. เจ้านาย บ. ของคู่กรณี ฉ. ได้ตรวจสอบหมดแล้วก่อนที่คู่กรณีจะจ่ายเงินให้
ดิฉันได้ถามคุณตำรวจ ว. ว่า การที่ คู่กรณีมาจ่าย 15,000 ให้ทาง โรงพยาบาล ดิฉันจะได้รับสิทธิในฐานะที่เป็นทุพพลภาพไหมคะ และจริงๆพี่ชายก็มีสิทธิเบิกจ่ายตรงอยู่แล้ว ทำไมต้องมาจ่ายให้กับ โรงพยาบาลอีก คือเพื่อปิดเรื่องที่คู่กรณี ฉ. ไม่มี พรบ. ใช่หรือไม่ คุณตำรวจ ว. ตอบคำถามไม่ได้ แจ้งว่าเคยเจอเคสคุณ เคสแรกนี่แหละ แม่ดิฉันจึงได้ลิสต์รายการค่าใช้จ่ายในแต่ละวันตั้งแต่ออกจาก รพ.มา และไปจนถึง ไปทำกายภาพ ให้คู่กรณี ฉ. ดู แต่คู่กรณี ฉ. แจ้งว่า ทางดิฉันตกลงกับเจ้านาย บ. ไว้ ก็ไปคุยกับเจ้านาย บ. เอาเอง แม่ดิฉันเลยปรี้ดแตก โต้เถียงกันเสียงดังว่า เจ้านายของคุณรับรองเองว่าจะจ่ายให้ทุกอย่าง ให้ลิสต์รายการไว้ พอเอามาให้ดูกลับปฏิเสธไม่จ่าย และยังให้แม่ดิฉันไปฟ้องศาลเอาเองอีกด้วย
ดิฉันพูดไม่ออกเลย จากนี้ไป ทางบ้านต้องดูแลพี่ชายอีกนานแค่ไหน ทำไมคู่กรณี ฉ. ทำไมถึงกลับคำ เล่นลิ้น ไม่รับผิดชอบแบบนี้ ทำไมถึงไม่ให้ดิฉันเปิดกล้อง กลับพูดจาว่าดิฉันมองโลกแง่ร้าย มันเป็นแค่อุบัติเหตุธรรมดา ไม่มีอะไรมากกว่านี้ทำไมต้องปิดเรื่องเมาแล้วขับ ทั้งๆที่พยานมากกว่า 4 ปากยืนยันได้ว่าเมามาย และกร่าง และเจ้านายว. ก็ยอมรับต่อหน้าคุณตำรวจ ว. ว่ามีงานเลี้ยงดื่มมานิดหน่อย
พ่อดิฉันเกษียณราชการจากทหารอากาศเหมือนกันได้เงินรายเดือน ราว 10,000 นิดๆ จะเลี้ยงดู ลูกชายอายุ 41 ที่เป็นอัมพฤกษ์ได้นานแค่ไหนคะ แม่ก็เป็นข้าราชการครูกินเงินบำนาญเหมือนกัน ต้องมาคอยสวนปัสสาวะ ทุก 4 ชม. ล้วงอุจจาระทุกเช้าวันละ 1 ครั้ง อีกนานแค่ไหน ถ้าเค้าไม่เมาและขับพี่ชายดิฉันไม่มีทางเป็นแบบนี้แน่
บอกตรงๆ ดิฉันไม่มีความรู้กฎหมายแต่ก็ไม่เกรงกลัว ทางฝ่ายดิฉันเป็นผู้เสียหาย ทำไมต้องมาตามเรียกร้อง ตามขอเงินทั้งๆที่ฝ่ายคู่กรณีน่าจะเห็นใจทางเรามากกว่า ลองคิดกลับกัน ใจเขาใจเรา ตัวคู่กรณีเองก็มีลูก ก็น่าจะเข้าใจ ดิฉันจะต้องทำอย่างไรดีคะ รบกวนขอคำแนะนำเพิ่มเติมคะ (ขอบคุณที่ทนอ่านคะ เนื้อเรื่องยาวไป แต่เรื่องจริงคะ) เป็นอุทาหรณ์ไว้คะ แม้ว่าเราจะขี่มอเตอไซค์มาอย่างดี ถูกเลน แต่เมื่อเจอคนเมาแล้วขับเค้าสามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ และเมื่อเค้าให้ปากคำอยู่ฝ่ายเดียว ทำให้สำนวนคดีอ่อนได้
RIP ให้แก่เมืองไทย ที่หาความยุติธรรมยากเหลือเกินค่ะ