พักเรื่องการเมืองร้อนๆ มาเที่ยวเย็นๆ ดีกว่าครับ ไม่อยากให้มองกระทู้นี้เป็นการเมืองครับผม
เมื่อปีก่อน สมัยอยู่ต่างจังหวัดผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆทั้งสิ้น" เป็นหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับท่านผู้หญิงพูนศุขที่ใช้ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน หลังจากอ่านหนังสือเล่มนั้นจบผมก็คิดในใจว่า ถ้าได้มีโอกาสไปฝรั่งเศส คงจะไปตามหาสถานที่นั้นๆด้วยตัวผมเอง แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีโอกาสได้มาครับ
ผมเข้ามาเรียนในกรุงเทพ ผมก็ใช้ชีวิตตามภาษาผมไปเรื่อยๆจนเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้วครับ แต่เมื่อปิดเทอมที่ผ่านมานี้ ประเทศไทยปรับตารางการเปิดปิดภาคการศึกษาตามอาเซียนที่กำลังจะมาถึง ทำให้มีเวลาว่างราวๆ 5 เดือนครับ ผมจึงลองสอนภาษาฝรั่งเศสให้กับน้องๆมัธยมปลายในราคาที่ต่ำกว่าที่เขาสอนกันจริงๆ แล้วผมก็ได้มาเจอน้องคนหนึ่ง น้องเป็นหลานของ คุณยายฉลบฉลัย พลางกูร(ยังมีชีวิตอยู่ครับ) ผู้ซึ่งเป็นภรรยาของ จำกัด พรางกูร หนึ่งในเสรีไทยที่ต้องระหกระเหินชีวิตไปต่างแดน และคุณยายยังเป็นเพื่อนสนิทของ คุณหญิงพูนศุข อีกครับ มันยิ่งทำให้ผมนึกถึงวันนั้น วันที่ผมคิดจะไปเดินทางตามบันทึกถึงสถานที่ต่างๆในฝรั่งเศส ในช่วงบั้นปลายชีวิตของ ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์
และผมก็ได้มีโอกาสมาฝรั่งเศสจริงๆครับ มาทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสิมธิมนุษยชนครับ ผมจึงรีบกลับไปหาหนังสือเล่มนั้นมาเปิดหาข้อมูลและสถานที่ต่างๆ จดลงกระดาษอย่างเรียบร้อยว่า ตำแหน่งนี้คือที่ไหน อยู่ตรงไหน เดินทางไปอย่างไร ผมต้องไปฝรั่งเศสคนเดียวครับ เลยต้องเตรียมตัวกันหน่อย ในหนังสือเล่มนั้นเขียนบ้านเลขที่ที่ทั้ง2ใช้ชีวิต ไว้อย่างดีครับ ผมก็คิดในใจสบายแล้วหล่ะ หาในกูเกิลเอิร์ธเลย ปรากฎว่า มันไม่ใช่เลยครับ มันไม่ใช่จริงๆและก็ไม่ใกล้กันด้วยครับ บ้านเลขที่นั้นคืออะไรก็ไม่รู้ครับเป็นตึกแถวยาวๆคล้ายกับสำนักงานอะไรบางอย่าง หรือว่า เขาทุบบ้านนั้นทิ้งไปแล้ว ผมตั้งคำถามกับตัวเอง... แอบเงิบครับ
ผมเลยลองค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ไปเจอบทสัมภาษณ์ของลูกสาวทั้งสามของท่าน มีคนหนึ่งพูดไว้ว่า ระยะห่างจากบ้านไปตลาด(อองโตนี)ราวๆ 2 กม. ในหนังสือเขียนไว้ว่า ราวๆ3 กม. ครับ ผมจึงทำการตีตารางรัศมีความกว้าง จากตลาดอองโตนีออกไป 2 กม. เมตร แล้วก็เริ่มการค้นหาครับ ผมทำแบบนี้เรื่อยๆวันละนิดวันละหน่อย จำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่แต่นานอยู่เป็นสัปดาห์ครับ เพราะบ้านเมืองแถวนั้นเป็นตรอกซอกซอยเต็มไปหมด จนในที่สุด ผมก็พบกับบ้านหลังหนึ่งมีลักษณะหลังคาคล้ายกัน เลยรีบกดเดินหน้าไปดูปรากฎว่า มันใช่จริงๆครับ ดีใจมากๆ ณ นาทีนั้น ...
ผมออกเดินทางจากบ้านที่ผมพักตั้งแต่ 8.00น. เพื่อไปยัง ย่าน อองโตนี Antony โดย RER B ทางทิศใต้ของเมืองปารีส ใช้เวลาทั้งหมดราวๆ1 ชม. พอมาถึงบอกเลยเมืองนี้น่าอยู่ครับ ไม่ใหญ่มากไม่เล็กเกินไป สงบดีครับ ผู้คนดูยิ้มแย้ม ผมตัดสินใจ เดินจากตลาดอองโตนีมาบ้านหลังนี้แบบทที่คุณหญิงพูนศุขเคยทำ ผมบอกเลยว่า ต้องยอมรับในท่านพูนศุขเลยนะ ว่านอกจากใจจะแกร่งแล้ว กายแกร่งอีก แอบไกลอยู่นะครับ ตอนนั้นอายุท่านก็เลยวัยเกษียณไปแล้ว ในนส.เล่มนั้นท่านบอกว่า ที่ท่านสุขภาพดีแบบนี้เพราะการเดินไปตลาดนี่แหละครับลากรถเข็นลายสก๊อตไปตลาดขากลับนั่งรถเมล์กลับบ้านครับ ท่านเล่าอีกด้วยว่า คนฝรั่งเศสมีน้ำใจช่วยแกตอนลงจากรถเมล์ด้วย
ระหว่างทางมาบ้านอองโตนี่ครับ

ผมเดินมาถึงบ้านหลังนี้พร้อมกับความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกมันเหมือนผมได้ทำภาระกิจอะไรบางอย่างที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ ผมไม่รอช้าที่จะกดกริ่งเพื่อเรียกเจ้าของบ้าน ในการขออนุญาติถ่ายรูป หรือเผื่อได้โอกาสดีกว่านี้จะขอเข้าไปภายในบ้าน แต่โชคไม่เข้าข้างครับ ไม่มีใครอยู่บ้านสักคน สภาพบ้านได้รับการดูแลอย่างดีนะครับ เหมือนใหม่อยู๋เลย ตามบทสัมภาษณ์ของลูกท่านเล่าว่าท่านขายบ้านหลังนี้ให้กับชาวเวียดนามไปครับ และผมก็คิดว่ายังเป็นของคนเวียดนามอยู่ เพราะที่หน้าประตูเข้าบ้านมีเหมือนเครื่องรางอะไรบางอย่างในรูปแบบของคนเอเชีย มีหัวมังกร อะไรทำนองนี้ครับ
หลังนี้เลยครับผมม

ยืนยันว่าใช่ เอารูปในโทรศัพท์เทียบให้ดูเลยครับ 5555+จะเห็นคุณหญิงพูนศุขยืนอยู่หน้าบ้านครับผม อาจไม่ชัดนิดหนึ่ง ขออภัยครับ

มันคือรูปนี้ครับ
ผมยืนตัดสินใจอยู่นานว่าจะขอถ่ายแบบชิดรั้วเลยจะน่าเกลียนไหมเพราะเจ้าของบ้านท่านก็ไม่ได้รับรู้ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ในที่สุดก็ถ่ายครับ อุตสาห์ข้ามทวีปมาถึงขนาดนั้น แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้างของผมครับ ซึ่งอย่างไรมันก็น่าเกลียดที่จะทำแบบนั้นอยู่ดี ผมอยากจะขอโทษเจ้าของบ้านจริงๆครับ
ลานหน้าบ้านที่อาจารย์ป๋วย เคยไปเยี่ยมท่านและถ่ายรูปครับ สังเกตุจากผนังหินก้อนด้านหลังครับ
ในหนังสือ หรือ บทสัมภาษณ์ของลูกสาวท่าน ซึ่งผมก็จำไม่ได้บอกว่า ท่านซื้อบ้านหลังเล็กๆที่ชานเมืองปารีส ผมว่าก็ไม่เล็กนะ 5555+ มีสวนหลังบ้านครับ ในหนังสือมีรูปที่ทั้งคู่นั่งพูดคุยกับบรรดานักเรียนไทยในยุโรป
และด้านในสวนบริเวณใกล้ๆกับที่ผมถ่ายเนี่ยแหละครับ ปรีดีกับ ส.ศิวรักษ์
ผมก็เลยบุกดงข้างบ้านครับ ซึ่งโชคดีมากๆที่ข้างบ้านเป็นพื้นที่ว่างโล่งแต่ก็หญ้าขึ้นนิดหน่อย ใครสนใจไปซื้อเลยครับ 5555+ เล่นๆนะครับ

ผมเลยมุดๆเข้าไปถ่ายรูปในสวนหลังบ้านมาได้ครับ มีตาข่ายเขียวๆกันไว้ด้วยครับ

ต้องลุยเพื่อรูปที่ดีกว่าครับ ผมเข้าไปประชิดตาข่ายแล้วถ่ายครับเลยได้มาอีกมุมหนึ่งครับ ตรงรั้วนั้นมีกอไม้ประมาณหัวเข่าที่คอยทิ่มแทงตลอดเวลาครับ ออกมาจากตรงนั้นดึงกางเกงดูขาตัวเองเพราะรู้สึกเจ็บๆ ปรากฎว่าได้แผลเลยครับ 5555+

มุมข้างบ้านครับผม
ออกจากป่าครับกลับมายืนหาบ้านบนฟุตพาทอย่างมนุษย์ทั่วไปครับ ผมมองไปที่ระเบียงหน้าบ้านที่เป็นทรงโค้ง แล้วทำให้นึกถึงภาพภาพหนึ่งที่เคยเห็นครับ คือ ภาพที่อ.ปรีดี ยืนอยู่ตรงนั้น แต่ตอนนี้เหลือแต่เพียงความว่างเปล่าครับ ไม่มีใครทั้งนั้น มีแค่เกระถางต้นไม้และลมพัดอ่อนๆเท่านั้นครับ

และวันที่ไม่คาดคิดสำหรับคุณหญิงพูนศุขก็มาถึงครับ วันที่อ.ปรีดีเสียชีวิตอย่างสงบครับ บันไดหน้าบ้านที่เคยใช้เดินขึ้นลงก็กลายเป็นเส้นทางขนร่างไร้วิญญาณของคนคนหนึ่งที่ประเทศบ้านเกิดไม่ต้องการ
และสุดท้าย ถึงแม้ว่าเวลาจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ผมเชื่อว่าบ้านหลังนี้ยังคงเป็นความทรงจำดีๆสำหรับครอบครัว พนมยงค์ และเหล่าผู้ที่ได้ไปเยือนในเวลานั้น และเวลานี้อย่างผมด้วยครับ
ปล. เดี๋ยวมาทำต่อนะครับ มีอีกเยอะครับผม
เดินทางตามบันทึก "ปรีดี - พูนศุข พนมยงค์" ที่ฝรั่งเศส
เมื่อปีก่อน สมัยอยู่ต่างจังหวัดผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆทั้งสิ้น" เป็นหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับท่านผู้หญิงพูนศุขที่ใช้ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน หลังจากอ่านหนังสือเล่มนั้นจบผมก็คิดในใจว่า ถ้าได้มีโอกาสไปฝรั่งเศส คงจะไปตามหาสถานที่นั้นๆด้วยตัวผมเอง แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีโอกาสได้มาครับ
ผมเข้ามาเรียนในกรุงเทพ ผมก็ใช้ชีวิตตามภาษาผมไปเรื่อยๆจนเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้วครับ แต่เมื่อปิดเทอมที่ผ่านมานี้ ประเทศไทยปรับตารางการเปิดปิดภาคการศึกษาตามอาเซียนที่กำลังจะมาถึง ทำให้มีเวลาว่างราวๆ 5 เดือนครับ ผมจึงลองสอนภาษาฝรั่งเศสให้กับน้องๆมัธยมปลายในราคาที่ต่ำกว่าที่เขาสอนกันจริงๆ แล้วผมก็ได้มาเจอน้องคนหนึ่ง น้องเป็นหลานของ คุณยายฉลบฉลัย พลางกูร(ยังมีชีวิตอยู่ครับ) ผู้ซึ่งเป็นภรรยาของ จำกัด พรางกูร หนึ่งในเสรีไทยที่ต้องระหกระเหินชีวิตไปต่างแดน และคุณยายยังเป็นเพื่อนสนิทของ คุณหญิงพูนศุข อีกครับ มันยิ่งทำให้ผมนึกถึงวันนั้น วันที่ผมคิดจะไปเดินทางตามบันทึกถึงสถานที่ต่างๆในฝรั่งเศส ในช่วงบั้นปลายชีวิตของ ปรีดี-พูนศุข พนมยงค์
และผมก็ได้มีโอกาสมาฝรั่งเศสจริงๆครับ มาทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับสิมธิมนุษยชนครับ ผมจึงรีบกลับไปหาหนังสือเล่มนั้นมาเปิดหาข้อมูลและสถานที่ต่างๆ จดลงกระดาษอย่างเรียบร้อยว่า ตำแหน่งนี้คือที่ไหน อยู่ตรงไหน เดินทางไปอย่างไร ผมต้องไปฝรั่งเศสคนเดียวครับ เลยต้องเตรียมตัวกันหน่อย ในหนังสือเล่มนั้นเขียนบ้านเลขที่ที่ทั้ง2ใช้ชีวิต ไว้อย่างดีครับ ผมก็คิดในใจสบายแล้วหล่ะ หาในกูเกิลเอิร์ธเลย ปรากฎว่า มันไม่ใช่เลยครับ มันไม่ใช่จริงๆและก็ไม่ใกล้กันด้วยครับ บ้านเลขที่นั้นคืออะไรก็ไม่รู้ครับเป็นตึกแถวยาวๆคล้ายกับสำนักงานอะไรบางอย่าง หรือว่า เขาทุบบ้านนั้นทิ้งไปแล้ว ผมตั้งคำถามกับตัวเอง... แอบเงิบครับ
ผมเลยลองค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ไปเจอบทสัมภาษณ์ของลูกสาวทั้งสามของท่าน มีคนหนึ่งพูดไว้ว่า ระยะห่างจากบ้านไปตลาด(อองโตนี)ราวๆ 2 กม. ในหนังสือเขียนไว้ว่า ราวๆ3 กม. ครับ ผมจึงทำการตีตารางรัศมีความกว้าง จากตลาดอองโตนีออกไป 2 กม. เมตร แล้วก็เริ่มการค้นหาครับ ผมทำแบบนี้เรื่อยๆวันละนิดวันละหน่อย จำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่แต่นานอยู่เป็นสัปดาห์ครับ เพราะบ้านเมืองแถวนั้นเป็นตรอกซอกซอยเต็มไปหมด จนในที่สุด ผมก็พบกับบ้านหลังหนึ่งมีลักษณะหลังคาคล้ายกัน เลยรีบกดเดินหน้าไปดูปรากฎว่า มันใช่จริงๆครับ ดีใจมากๆ ณ นาทีนั้น ...
ผมออกเดินทางจากบ้านที่ผมพักตั้งแต่ 8.00น. เพื่อไปยัง ย่าน อองโตนี Antony โดย RER B ทางทิศใต้ของเมืองปารีส ใช้เวลาทั้งหมดราวๆ1 ชม. พอมาถึงบอกเลยเมืองนี้น่าอยู่ครับ ไม่ใหญ่มากไม่เล็กเกินไป สงบดีครับ ผู้คนดูยิ้มแย้ม ผมตัดสินใจ เดินจากตลาดอองโตนีมาบ้านหลังนี้แบบทที่คุณหญิงพูนศุขเคยทำ ผมบอกเลยว่า ต้องยอมรับในท่านพูนศุขเลยนะ ว่านอกจากใจจะแกร่งแล้ว กายแกร่งอีก แอบไกลอยู่นะครับ ตอนนั้นอายุท่านก็เลยวัยเกษียณไปแล้ว ในนส.เล่มนั้นท่านบอกว่า ที่ท่านสุขภาพดีแบบนี้เพราะการเดินไปตลาดนี่แหละครับลากรถเข็นลายสก๊อตไปตลาดขากลับนั่งรถเมล์กลับบ้านครับ ท่านเล่าอีกด้วยว่า คนฝรั่งเศสมีน้ำใจช่วยแกตอนลงจากรถเมล์ด้วย
ระหว่างทางมาบ้านอองโตนี่ครับ
ผมเดินมาถึงบ้านหลังนี้พร้อมกับความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกมันเหมือนผมได้ทำภาระกิจอะไรบางอย่างที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ ผมไม่รอช้าที่จะกดกริ่งเพื่อเรียกเจ้าของบ้าน ในการขออนุญาติถ่ายรูป หรือเผื่อได้โอกาสดีกว่านี้จะขอเข้าไปภายในบ้าน แต่โชคไม่เข้าข้างครับ ไม่มีใครอยู่บ้านสักคน สภาพบ้านได้รับการดูแลอย่างดีนะครับ เหมือนใหม่อยู๋เลย ตามบทสัมภาษณ์ของลูกท่านเล่าว่าท่านขายบ้านหลังนี้ให้กับชาวเวียดนามไปครับ และผมก็คิดว่ายังเป็นของคนเวียดนามอยู่ เพราะที่หน้าประตูเข้าบ้านมีเหมือนเครื่องรางอะไรบางอย่างในรูปแบบของคนเอเชีย มีหัวมังกร อะไรทำนองนี้ครับ
หลังนี้เลยครับผมม
ยืนยันว่าใช่ เอารูปในโทรศัพท์เทียบให้ดูเลยครับ 5555+จะเห็นคุณหญิงพูนศุขยืนอยู่หน้าบ้านครับผม อาจไม่ชัดนิดหนึ่ง ขออภัยครับ
ผมยืนตัดสินใจอยู่นานว่าจะขอถ่ายแบบชิดรั้วเลยจะน่าเกลียนไหมเพราะเจ้าของบ้านท่านก็ไม่ได้รับรู้ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ในที่สุดก็ถ่ายครับ อุตสาห์ข้ามทวีปมาถึงขนาดนั้น แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้างของผมครับ ซึ่งอย่างไรมันก็น่าเกลียดที่จะทำแบบนั้นอยู่ดี ผมอยากจะขอโทษเจ้าของบ้านจริงๆครับ
ลานหน้าบ้านที่อาจารย์ป๋วย เคยไปเยี่ยมท่านและถ่ายรูปครับ สังเกตุจากผนังหินก้อนด้านหลังครับ
ในหนังสือ หรือ บทสัมภาษณ์ของลูกสาวท่าน ซึ่งผมก็จำไม่ได้บอกว่า ท่านซื้อบ้านหลังเล็กๆที่ชานเมืองปารีส ผมว่าก็ไม่เล็กนะ 5555+ มีสวนหลังบ้านครับ ในหนังสือมีรูปที่ทั้งคู่นั่งพูดคุยกับบรรดานักเรียนไทยในยุโรป
และด้านในสวนบริเวณใกล้ๆกับที่ผมถ่ายเนี่ยแหละครับ ปรีดีกับ ส.ศิวรักษ์
ผมก็เลยบุกดงข้างบ้านครับ ซึ่งโชคดีมากๆที่ข้างบ้านเป็นพื้นที่ว่างโล่งแต่ก็หญ้าขึ้นนิดหน่อย ใครสนใจไปซื้อเลยครับ 5555+ เล่นๆนะครับ
มุมข้างบ้านครับผม
ออกจากป่าครับกลับมายืนหาบ้านบนฟุตพาทอย่างมนุษย์ทั่วไปครับ ผมมองไปที่ระเบียงหน้าบ้านที่เป็นทรงโค้ง แล้วทำให้นึกถึงภาพภาพหนึ่งที่เคยเห็นครับ คือ ภาพที่อ.ปรีดี ยืนอยู่ตรงนั้น แต่ตอนนี้เหลือแต่เพียงความว่างเปล่าครับ ไม่มีใครทั้งนั้น มีแค่เกระถางต้นไม้และลมพัดอ่อนๆเท่านั้นครับ
และวันที่ไม่คาดคิดสำหรับคุณหญิงพูนศุขก็มาถึงครับ วันที่อ.ปรีดีเสียชีวิตอย่างสงบครับ บันไดหน้าบ้านที่เคยใช้เดินขึ้นลงก็กลายเป็นเส้นทางขนร่างไร้วิญญาณของคนคนหนึ่งที่ประเทศบ้านเกิดไม่ต้องการ
และสุดท้าย ถึงแม้ว่าเวลาจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ผมเชื่อว่าบ้านหลังนี้ยังคงเป็นความทรงจำดีๆสำหรับครอบครัว พนมยงค์ และเหล่าผู้ที่ได้ไปเยือนในเวลานั้น และเวลานี้อย่างผมด้วยครับ
ปล. เดี๋ยวมาทำต่อนะครับ มีอีกเยอะครับผม