เรื่องเล่าประสบการณ์ฝึกงานเเละการผจญภัยที่สถาบันสมิธโซเนียน วอชิงตัน ดีซี

สวัสดีค่ะเพื่อนชาวไกลบ้าน
ก่อนหน้านี้ดิฉันได้เล่าถึงประสบการณ์การเป็นนักเรียนทุน United World Colleges เมื่อซ้มเมอร์ปีที่เเล้ว
ปีนี้ด้วยความที่ว่าตอนนี้กําลังฝึกงานอยู่ที่เเผนก Invertebrate Zoology เน้นด้าน Bioinformatics and Systems Biology
ที่ National Museum of Natural History, Smithsonian Institution ที่ Washington, DC ประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็นเวลาสามเดือนเต็มๆค่ะ ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านไปเกินคริ่งทางเเล้วจะจบการฝึกงานตอนเดือนกันยายนนี้ค่ะ


รูปนี้คือตอนที่ได้ไปเยี่ยมชม Pentagon (รูปนี้ถ่ายกับทหารเรือที่พาพวกเราไปทัวร์ ซึ่งการเข้าไปก็ไม่ง่ายเลยทีเดียว)

ก่อนที่จะเข้าเรื่องประสบการณ์ของตัวเองก็ขอเริ่มเล่าถึงประวัติของ Smithsonian Institution
สถาบันนี้ได้รับการก่อตั้งโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ James Smithson ด้วยปณิธานที่
จะเพิ่มองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ซึ่งต่อมาก็ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลสหรัฐตั้งเเต่ปี 1836  
ซึ่งถึงเเม้จะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลเเต่ก็มีความเป็นอิสระมากในด้านงานวิจัยเเละการทํางานที่หนึ่งเลยทีเดียว
ปัจจุบันตอนนี้มีสถาบันสมิธโซเนียนนั้นเป็นหนึ่งในสถาบันวิจัยเเละพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีด้วยกัน
19 เเห่งเเละก็มีสถาบันวิจัยทั้งหมด 9 เเห่ง ทั้งในประเทศสหรัฐเเละในปานามาอีกด้วย

เริ่มรู้จักที่นี่ได้อย่างไรเเละทําไมถึงเลือกที่นี่
รู้จักที่นี่จากหนังเรื่อง The Night at the Musuem ที่นี่ Ben Stiller เป็นพระเอกนั้นเอง
ก็ด้วยความที่สนใจในวิทยาศาสตร์อยู่เเล้วเเละบวกกับเเรงบรรดาลใจที่ได้จากตัวหนังเองก็เลยเริ่มหาข้อมูล
เกี่ยวกับตัวสถาบันเอง นอกจากนี้ด้วยความที่มันอยู่ที่ Washington, DC สถานที่ที่ยังไม่เคยไปก็เลยคิดว่าน่าจะเป็น
การดีที่จะถือโอกาสในการไปเยือนอีกด้วย ตอนนั้นเรืยนอยู่ปีหนึ่ง เทอมที่เเรกที่ Clark University, Worcester
รัฐ Massachusetts (เพื่อนๆยังหาว่าตัวเองชอบวิขาอะไร อยากเมเจอร์อะไร เพราะพวกเรามีสิทธิเลือกที่จะ Declare เมเจอร์ตอนปีสอง)
ก็ด้วยความที่รู้ว่าอยากเรียนชีววิทยา เเต่ถว่าทางวิทยาลัยมีสองเเผนกคือ Molecular Biology and Biochemistry
เเละ Ecology and Conservation ก็เลยคิดว่าการฝึกงานน่าจะเป็นการดี ก็เลยพยายามหาโปรเจคที่สนใจ
เเบบระยะสั้นๆซึ่งก็คือการไปฝึกงานช่วง Spring Break (ปิดเทอมหนึ่งสัปดาห์ของ
นักเรียนที่อเมริกาในฤดูใบไม้ผลิ) เเผนกเเรกที่ไปทํางานก็คือเเผนกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม Mammals
ซึ่งตอนนั้นได้ทํางานในการผ่าชึ้นเนื้อปลาวาฬที่มาติดอยู่บนฝั่งเพื่อนํามาทําวิจัยต่อไป
งานนี้ไม่ง่ายเลยซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรมากมายจากการชันสูตรพลิกศพ โดยเฉพาะเรื่องกลิ่น
เเต่ด้วยความที่ว่า เราได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการ ฝึกงานที่นี่เเละยังมีอีกหลายเเผนกที่หน้าสนใจก็เลยเริ่มติดใจ
เเละตัดสินใจกลับมาอีกช่วง Spring Break อีกสองครั้งในเเผนกพฤษศาสตร์ (Botany) เเละ Informatics
สําหรับเเผนกพฤษศาสตร์ ก็ได้ทํางานจัดเรียงข้อมูลพืซพันธุ์หายากเข้าระบบดิจิตอลเเละ Informatics
ก็ได้ทํางานที่เกี่ยวกับการนําข้อมูลไปเกี่ยวกับผึ้งนําไปใส่ลงใน Encyclopedia of Life (EoL)
ก็ด้วยความที่ชอบวัฒนธรรมการทํางานที่นี่ โอกาสที่ได้สัมผัสสิ่งต่างๆเเละได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งที่มีความสนใจตั้งเเต่
อุกกาบาต ยัน กระดูกไดโนเสาร์ เเละก็ได้เข้าวิทยาศาสตร์เเบบสุดๆกับผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆที่อยู่ในตึกซึ่งพร้อม
ที่จะตอบคําถามเสมอก็เลยถึงได้กลับมาฝึกงานที่นี่อยู่เรื่อยๆ


ตอนที่ผ่าชึ้นเนื้อปลาวาฬเอามาทําวิจัย ในเเผนก Mammals ตอนที่เรียนปีหนึ่ง ตอนนั้นยังเด็กอยู่เลย

เเล้วครั้งนี้มันต่างกับอีกสามโปรเจคอย่างไร?
หลังจากที่ได้ไปฝึกงานครั้งละหนึ่งถึงสองสัปดาห์ไปเเล้ว ตอนนี้ก็ได้สําเร็จการศึกษาปริญญาตรีไปเรียบร้อยเเล้ว
เเละตอนนี้ก็ศึกษาปริญญาโท ในด้าน Bioinformatics and Systems Biology อยู่เเละด้วยความที่อยู่ในช่วงปิดเทอม
(จริงๆก็ไม่ได้ปิดจริงๆเพราะเพื่อนๆก็เตรียมทําโปรเจคจบกันเเล้ว) เเต่ด้วยความรู้สึกว่ามันน่าจะดีที่เราจะไปฝึกงาน
สามเดือนระหว่างปิดเทอมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ประสบการณ์ในด้านที่เรียนอยู่ เเละด้วยความที่วิชานี้ก็ได้มีการ
ใช้เข้ามาช่วยในการทําวิจัยมากขึ้นมากที่นี่ ก็เลยตัดสินใจที่จะ ลองสักตั้งหาโปรเจคดูเเละปรากฎว่าก็เกิด
เเจ็คพ็อตที่เค้ามีโปรเจค Bioinformatics ขึ้นมาทันทีก็เลยตัดสินใจลองสมัครดู ต้องเตรียมเอกสารต่างๆ
ขอ Recommendations จากอาจารย์ที่ Clark University (ถ้าอยากจะมาฝึกงานที่นี่ก็ด้องสมัครกันตั้ง
ตุลาคมเป็นต้นไปค่ะเพราะเค้าใช้เวลานานพอควี) หลังจากที่รอนานพอควรเเละสัมภาษณ์หลายรอบอยู่
เค้าก็ได้เชิญเรามาฝึกงานที่นี่ จําได้ว่าวันที่ได้นั้นเราร้องกริ๊ดลั่นห้องเลยเเบบดีใจอย่างบอกไม่ถูก
เเต่ตอนนั้นก็เกือบไม่ได้ไป เพราะตอนนั้นมีชื่อติดสํารองรอเรียกของ Erasmus Mundus
ที่จะไปเบลเยี่ยมก็เพราะถ้าไปเเล้วก็คงไปฝึกงานไม่ได้ไม่งั้นเรียนไม่จบเเน่นอน!!
เเต่ด้วยการที่ไม่ได้โดนเรียกสํารองก็เลยได้ไป

ด่านต่อไปเเละการเตรียมตัว
ตอนนั้นเราก็รอเรื่องเอกสารต่างๆจากทางสถาบันที่อเมริกา จัดการเรื่องวีซ่าให้เรียบร้อยซึ่งได้เป็น
J-1 visa, G-category (เพราะไปฝึกงานกับ Federal agency) จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน
เเละก็บอกอาจารย์เเบบพร้อมกันในวันที่เราต้องพรีเซ้นท์สัมมนาในวิชาสัมมนา
ทีทําเเบบนั้นก็คืออยากให้ทุกอย่างเรียบร้อยเเล้ว นอกจากนี้ก็ต้องเตรียมเรื่องที่อยู่ก็ด้วย
ความที่รู้สึกว่ามันน่าจะประสบการณ์เเปลกใหม่เเละจะได้อยู่กับครอบครัวอเมริกันบ้าง
งานนี้เราก็เลยใช้บริการ Couchsurfing ซึ่งก็ได้คิดว่าจะทําตลอดสามเดือน
ตอนนั้นก็บอกเพื่อนว่าจะทําเเบบนั้นตลอดสามเดือน ทุกคนก็บอกว่าจะบ้าเหรอ คิดไปได้นะ
ปลอดภัยไหม เเละอื่นๆอีกมากมาย เเต่ด้วยความที่อยากจะลองก็จะเลยพยายามหา
ที่อยู่ของเดือนเเรกก่อนที่จะมาฝึกงาน นอกจากนี้ก็เตรียมหาสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเช่น
Pentagon, Smithsonian Museums, Hillwood Mansions and Garden เเละอื่นอีกมากมาย

เริ่มเล่ากันเลยดีกว่า
ก่อนที่จะไปก็ตื่นเต้นนอนไม่หลับไปตามๆกันเพราะเป็นการเดินทางที่รอคอยเป็นเวลา
เฉียดปีได้เป็นทริปที่ตื่นเต้นมากที่สุดทริปหนึ่ง เมื่อไปถึงที่สนามบิน Dulles ก็มีนักศึกษา
ปริญญาเอกจากเเคนาดาขับรถมารับที่สนามบิน พาไปทานข้าวร้านโปรดของเราที่ดีซี
ที่มีเเถวบ้านที่เราจะไปอยู่ด้วยเป็นเวลาสามวัน (บ้าน Kosok)
ทางโฮสเค้าก็ตอนรับเป็นอย่างดีเเละตื่นเต้นมากที่มีเรามาอยู่ที่
บ้าน เพราะเค้ามีเพื่อนเป็นคนไทยเเละเเถมมีญาติเป็นผู้อํานวยการของ
Smithsonian Affiliates หน่วยหนึ่งของที่นี่อีกด้วย! ระหว่างที่อยู่บ้านนี้
เราก็ได้คุยกันเรื่องเเถวที่อยู่เเละก็เริ่มไปออฟฟิศทํางานวันเเรก

สําหรับทางสถาบันเองเนื่องด้วยเป็นหน่วยงานของรัฐทุกคน
จะต้องมีบัตรประจําตัวใครที่ฝึกงานเกินเก้าสิบวันในหนึ่งปีจะต้อง
มีบัตรประจําตัวเหมือนเจ้าหน้าที่ทั่วไปเเต่คนละสีกัน จะมีรูปเรา ชื่อ
สถานที่ทํางาน เเละ ตําเเหน่งอยู่ในนั้น ก่อนที่จะทําได้จะต้อง
โดนตรวจสอบประวัติเเละลายนึ้วมือที่หน่วยรักษาความปลอดภัยก่อน
ระหว่างที่รอก็จะได้ป้ายสีขาวมา เวลารอนั้นใช้เวลาประมาณ
14 วันทําการขึ้นไป ซึ่งถือว่าเร็วสําหรับชาวต่างชาติ วิถีการเคลียร์ก็คงไม่น่าเเตกต่างจากที่
Pentagon, US Capitol เเละ State Department ที่ได้ไปเยี่ยมชมมาด้วย เเต่ทาง Pentagon
นั้นเราได้ยื่นเรื่องไว้ตั้งเเต่เดือนพฤษภาคม ก็คิดว่าน่าจะช่วย
ทําให้มันเร็วขึ้นที่นี่ด้วย ระหว่างรอเอกสารเเละป้ายชั่วคราวเราก็ได้รับการพาทัวร์โดย
ที่ปรึกษาของเราว่าทําอะไรกันบ้างเเละอะไรอยู่ไหน เเละก็ไปยื่นเรื่องที่ตึกซึ่งอยู่ไกล
พอควรก็ได้เริ่มออกกําลังกายเเล้วคะวันเเรก ระหว่างรอป้ายชื่อชั่วคราวก็ได้ไปเดินรอบๆ
นิทรรศการต่างๆซึ่งก็ได้ไปเจอ Unlocking the Genome ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับที่เรียนพอดี
ในงานนี้ก็พูดถึงว่าจีโนม ดีเอ็นเอ มีความสําคัญยังไง
เเละมีเทคโนโลยีอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับการไขรหัสจีโนม


กับเครื่อง Sequencing รุ่นเเรกๆ

อะไรคือ Bioinformatics?
หลายๆคนคงจะสงสัยเเน่นอนเพราะนักวิทยาศาสตร์หลายๆคนก็ยังไม่เเน่ใจเลยว่ามันคืออะไร
วิชา Bioinformatics หรือที่เรียกว่า ชีวสารสนเทศศาสตร์ คือการนําเอาศาสตร์ทางคอมพิวเตอร์
มาผสมผสานกับการศึกษาด้านชีววิทยาในระดับจีโนม เช่นการจัดเรียงลําดับนิวคลีโอไทด์ของสิ่งมีชีวิตที่สนใจ
นอกจากนี้ก็ยังประยุกต์ในไปใช้ในการค้นหายารักษาโรคเฉพาะบุคคล (Personalized medicine)
สําหรับใครที่สนใจที่อยากเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับศาสตร์ก็มีมหาวิทยาลัยในเมืองไทยที่เปิดสอนอย่าง
มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) ในระดับปริญญาโทเเละเอกก็ไปหารายละเอียดได้นะคะ
www.bioinformatics.kmutt.ac.th

วันนี้ขอเล่าต่อด้านล่างนะค่ะ (Comment #4,9, 10, 11,21,22,32 and 35)

นอกจากนี้ก็สามารถอ่านพรุ่งนี้จะกลับมาเล่าถึงความโหด มันส์ ฮา กับการที่มาฝึกงานที่นี่
การที่ได้เจอหัวหน้าอพวชที่ทํางาน เรื่องผจญภัยต่างๆ นอกจากฝึกงาน การได้จับอุกกาบาตจากดาวอังคาร
การได้คุยกับผู้ดูเเลโฮปไดมอน การออกไปจับเเมงกระพรุนที่ North Carolina โปรเจคต่างๆที่ทําอยู่
เเละอื่นๆอีกมากมาย จากการที่ได้ทํางานกับเพื่อนๆ พี่ๆ ทีมงานจากทั่วโลกในหนึ่งในสถาบันวิจัยที่เจ๋งที่สุดของโลกเเบบนี้

การที่มาเขียนครั้งนี้ก็เพื่อมาเป็นเเรงบันดาลใจให้ใครที่ฝันอยากที่จะฝึกงานสถาบันใหญ่ๆเเบบนี้
เพราะมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ไม่ได้ต้องเก่งสุดๆไปเลยถึงจะได้มีโอกาส เพราะโดยส่วนตัวเเล้วก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมาย
ที่ได้ไปก็คงเป็นเพราะความพยายามตามหาเสาะเเสวงหาโอกาสให้กับตัวเองตลอดเวลา
ก็หวังว่าจะติดตามอ่านกันจนจบนะคะ

งานนี้ก็ต้องขอขอบคุณครอบครัว เพื่อนสนิทมิตรสหาย รุ่นพี่ที่อเมริกา อาจารย์ที่มหาวิทยาลัย
โฮส ที่ปรึกษาที่นี่ เพื่อนที่ฝึกงานด้วยกัน เเละอีกหลายๆคนที่ทําให้ประสบการณ์ที่ผ่านมานี้เป็นอะไรที่คุ้มค่ามากที่สุดจริงๆ
ตอนนี้ก็ยังฝึกงานอยู่เหลืออีกหนึ่งเดือนเเต่ก็ชัวร์ว่าตอนจบจะเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าจริงๆ



“The purpose of life is not to be happy. It is to be useful, to be honorable,
to be compassionate, to have it make some difference that you have lived and lived well.”  
― Ralph Waldo Emerson

เพียงฝัน นาคสุขไพบูลย์ (Piangfan A. Naksukpaiboon)
Bioinformatics Intern, Invertebrate Zoology Department
National Museum of Natural History (NMNH), Smithsonian Institution, Washington DC
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่