เเถวบ้านฝนตก เเถมเฟซล่ม รู้สึกเหงาๆวังเวง
เลยจะมาชวนเพื่อนๆมาตั้งวงเล่าประสบการณ์ความกลัวที่เกิดขึ้นในเวลากลางคืนกันค่ะ
รู้ๆกันดีเนอะว่าทุกๆสถานที่ บรรยากาศเวลากลางวันกับกลางคืนนี่คนละเรื่องเลย
เราเองก็เคยมีประสบการณ์ชวนหลอนครั้งหนึ่งตอนกลับบ้าน
วันนั้นเรากลับจากดูคอนเสิร์ตวงหนึ่ง ซึ่งพ่อขับรถมารับเเละเเวะทานข้าวกัน
ตลอดทางไม่มีอะไรน่ากลัวเพราะถนนใหญ่มีแสงไฟสว่าง มีร้านค้าเปิดโต้รุ่งอยู่เต็มข้างทาง
เเต่มันมาเสียวตรงที่รถเข้ามาโซนเส้นบางพลู เพราะพ่อมักจะเลี้ยวเข้าเส้นนี้โดยมีทางลัดผ่านทางซอยวัดไผ่เหลือง
เพราะไม่ต้องติดไฟแดง เลี้ยวเข้าซอยเลียบคลองไปไม่กี่กิโลก็จะถึงหลังหมู่บ้าน
เวลานั้นประมาณเกือบๆตีสอง ถนนใหญ่ก่อนเข้าซอยค่อนข้างโล่งเเต่ก็ยังมีไฟสว่างส่องอยู่ เเละมีรถสวนอยู่เป็นระยะ
เเต่พอพ่อเลี้ยวเข้าซอยที่มีป้ายเก่าๆเขียนว่า "วัดไผ่เหลือง" เท่านั้นล่ะ
ความมืดก็เข้าครอบคลุมเกือบทั้งคันรถ
ในซอยมืดมาก เเทบจะเรียกได้ว่ามืดสนิท แทบจะหาไฟรายทางไม่ได้เลย
ซึ่ง ณ จุดๆนั้นมีรถเราคันเดียวที่วิ่งเข้ามาในซอย
เวลากลางวันเวลานั่งรถผ่านเราจะบ้านคนปลูกเรียงกันเป็นกลุ่มๆ
อีกข้างทางจะเป็นทิวมะพร้าวเเละโครงการบ้านจัดสรร
เเต่พอเราเจอทัศนียภาพนี้ตอนกลางคืนเราหลอนเลยค่ะ
มันมืด เงียบ ทุกอย่างเป็นสีดำเกือบจะทั้งหมด
ระหว่างที่นั่งกวาดสายตามองข้างทาง เริ่มผ่านมายังเขตวัดไผ่เหลือง
เห็นเมรุตระหง่านสูงอยู่โดดเด่นท่ามกลางท้องฟ้าสีเเดงก่ำ
เรารู้สึกกลัว เลยชักสายตากลับมาหน้ากระจก
เเต่สิ่งที่เราเจอต่อจากนี้ทำให้เราสะดุ้งสุดตัว
เพราะสายตาเรา ห่างจากระยะรถวิ่งไม่น่าเกินสองเมตร
มองเห็นร่างคนๆหนึ่ง ใส่ชุดสีดำๆ (เราไม่รู้หรอกว่าสีอะไรเพราะมืด เเต่ดูมันดำๆ)
ยืนหันหน้าพิงต้นตาลต้นหนึ่ง ร่างนั้นพิงตัวเเบบโดดเดี่ยวโงนเงน
เอาหน้าผากค้ำต้นตาล มือสองข้างเเนบลำตัว
ยืนนิ่งเเทบจะทำมุม 45 องศากับต้นตาลเลยค่ะ
เรามือเย็นเจี๊ยบ จำได้เลยเพราะวันนั้นถือกระป๋องโค๊กไว้ โค๊กไม่เย็นนะ เเต่มือเราเย็นจนเเข็งชาเลย
เราเอื้อมมือจะไปสะกิดเเขนพ่อ เเต่พ่อเรารีบทำเสียงในลำคอ "แฮ่ม!"
เราก็หันมองพ่อ พ่อเหลือบมองเราด้วยหางตาเเล้วส่ายหน้าเป็นเชิงว่าอย่าทัก
เเล้วพ่อก็ตีหน้านิ่งขับผ่านคนๆนั้นไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนั้นเราก็เป่าปากโล่งใจว่าคงไม่มีอะไรเเล้ว เเต่คิดผิดค่ะ
พอพ้นเขตวัดผ่านบ้าน อบต.ทีนี้เราได้ยินเสียงตบหลังรถดัง ปั้กๆๆๆๆๆๆ!!!!
ตบรัวมาก! เรามองพ่ออีกครั้ง พ่อก็ยังนิ่ง (ตอนนั้นยอมรับว่าพ่อโคตรเท่)
เเล้วอยู่ๆรถก็วูบไถลไปทางป่ามะพร้าว คือยืนยันได้ว่าตอนนั้นพ่อเราไม่ได้หลับใน ไม่ได้ดื่มเหล้าเเน่นอน
รถมันเหมือนโดนกระชากไปทางป่ามะพร้าวเเละดงตาลข้างทางนั้น
เเต่พ่อมีสติมาก รีบหักรถสะบัดท้ายเเฉลบอย่างเเรงจนพ้นแรงดึงประคองรถไว้ตรงกลางถนนได้
ท่ามกลางเสียงตบรถที่ดังไม่หยุด..........
ตอนนั้นเรากลัวจนน้ำตาคลอ พ่อเราตบกระจกมองหลังขึ้นก่อนจะถอดเเหวนหลวงปู่ทวดให้เราใส่
ตอนนั้นไม่มีคำสนทนาระหว่างเรากับพ่อเลยค่ะ ใช้ซิกส์กันล้วนๆ
เราเลยใส่เเหวนพ่อค่ะ อธิษฐานในใจเทวดาองค์ไหนรู้จักเอาอัญเชิญมาหมด
พ่อเเก้วเเม่เเก้ว เเม่ย่านาง ท้าวเวศสุวรรณ ขอช่วยคุ้มครองหนูกับป๊า (เราเรียกพ่อว่าป๊า)
ให้กลับบ้านปลอดภัยพ้นจากสิ่งชั่วร้ายรบกวนด้วยเถิด
ซึ่งทันทีที่อธิษฐานจบ เสียงเคาะเงียบลง ตัดสินใจมองไปหน้ารถอีกที
รถก็เลี้ยวเข้ามาถึงทางท้ายหมู่บ้านเราเเล้ว
พ่อรีบเหยียบมิดตรงดิ่งจนมาถึงบ้านในที่สุด ซึ่งพอมาเขตบ้านก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเเล้ว
เพราะที่บ้านเเละข้างๆบ้านยังเปิดไฟกันอยู่เลย (ข้างบ้านนั่งกินเหล้ากัน)
พอมาถึงบ้านพ่อรีบสั่งให้เราล้างมือล้างเท้าก่อนเข้าบ้าน เเละพากันเข้าบ้านปิดบ้านล็อกเรียบร้อย
เราก็ทั้งกลัวทั้งเพลียทั้งโล่ง เลยอาบน้ำนอน
เช้ามาเราเลยมานั่งคุยเรื่องนี้กับพ่อระหว่างที่พ่อขับรถไปส่งที่ไปมหาลัย
พ่อเล่าให้ฟังว่าตอนที่เราเห็นคนยืนพิงต้นตาล พ่อก็เห็น เลยรีบทำเสียงห้ามตอนเราสะกิด
เพราะความเชื่อมีมาตั้งเเต่โบราณว่าเห็นสิ่งใดผิดปกติเวลากลางคืนห้ามทัก
พ่อไม่ค่อยกลัวเพราะพ่อเคยบวชเรียนมาเเล้ว นอนกุฏิฝาโลงมาตั้งหลายพรรษา
เเล้วเราก็ถามพ่อว่าทำไมตอนที่พ่อหักรถกลับพ่อถึงตบกระจกขึ้น
พ่อบอกด้วยเสียงเจือหัวเราะว่า
"ก็ไอ้ห่_ที่ยืนพิงต้นตาลนั่นมันวิ่งตามรถเรามานะสิ ตบหลังรถเราด้วย...."
หลังจากนั้นพ่อก็พ่อเหอะ ผ่านเส้นบางพลูทีไรพ่อจะเหยียบเลยวิ่งไปโซนบางใหญ่เเละยูเทิร์นกลับเส้นจันทร์ทองเอี่ยม
ที่มีไฟสว่างจากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าเเทน โดยมีข้ออ้างเเมนๆว่า
"อ่อ เผื่อดึกๆหิวจะได้หาไรกินเเถวนั้นได้ ร้านโต้รุ่งมียันสว่าง"
นี่ละค่ะประสบการณ์หลอนยามวิกาลของเรา
เพื่อนๆคนไหนมีประสบการณ์ความน่ากลัวในยามกลางคืนมาเเชร์กันค่ะ
มาเเชร์ประสบการณ์ความน่ากลัวของ "กลางคืน" กันค่ะ
เลยจะมาชวนเพื่อนๆมาตั้งวงเล่าประสบการณ์ความกลัวที่เกิดขึ้นในเวลากลางคืนกันค่ะ
รู้ๆกันดีเนอะว่าทุกๆสถานที่ บรรยากาศเวลากลางวันกับกลางคืนนี่คนละเรื่องเลย
เราเองก็เคยมีประสบการณ์ชวนหลอนครั้งหนึ่งตอนกลับบ้าน
วันนั้นเรากลับจากดูคอนเสิร์ตวงหนึ่ง ซึ่งพ่อขับรถมารับเเละเเวะทานข้าวกัน
ตลอดทางไม่มีอะไรน่ากลัวเพราะถนนใหญ่มีแสงไฟสว่าง มีร้านค้าเปิดโต้รุ่งอยู่เต็มข้างทาง
เเต่มันมาเสียวตรงที่รถเข้ามาโซนเส้นบางพลู เพราะพ่อมักจะเลี้ยวเข้าเส้นนี้โดยมีทางลัดผ่านทางซอยวัดไผ่เหลือง
เพราะไม่ต้องติดไฟแดง เลี้ยวเข้าซอยเลียบคลองไปไม่กี่กิโลก็จะถึงหลังหมู่บ้าน
เวลานั้นประมาณเกือบๆตีสอง ถนนใหญ่ก่อนเข้าซอยค่อนข้างโล่งเเต่ก็ยังมีไฟสว่างส่องอยู่ เเละมีรถสวนอยู่เป็นระยะ
เเต่พอพ่อเลี้ยวเข้าซอยที่มีป้ายเก่าๆเขียนว่า "วัดไผ่เหลือง" เท่านั้นล่ะ
ความมืดก็เข้าครอบคลุมเกือบทั้งคันรถ
ในซอยมืดมาก เเทบจะเรียกได้ว่ามืดสนิท แทบจะหาไฟรายทางไม่ได้เลย
ซึ่ง ณ จุดๆนั้นมีรถเราคันเดียวที่วิ่งเข้ามาในซอย
เวลากลางวันเวลานั่งรถผ่านเราจะบ้านคนปลูกเรียงกันเป็นกลุ่มๆ
อีกข้างทางจะเป็นทิวมะพร้าวเเละโครงการบ้านจัดสรร
เเต่พอเราเจอทัศนียภาพนี้ตอนกลางคืนเราหลอนเลยค่ะ
มันมืด เงียบ ทุกอย่างเป็นสีดำเกือบจะทั้งหมด
ระหว่างที่นั่งกวาดสายตามองข้างทาง เริ่มผ่านมายังเขตวัดไผ่เหลือง
เห็นเมรุตระหง่านสูงอยู่โดดเด่นท่ามกลางท้องฟ้าสีเเดงก่ำ
เรารู้สึกกลัว เลยชักสายตากลับมาหน้ากระจก
เเต่สิ่งที่เราเจอต่อจากนี้ทำให้เราสะดุ้งสุดตัว
เพราะสายตาเรา ห่างจากระยะรถวิ่งไม่น่าเกินสองเมตร
มองเห็นร่างคนๆหนึ่ง ใส่ชุดสีดำๆ (เราไม่รู้หรอกว่าสีอะไรเพราะมืด เเต่ดูมันดำๆ)
ยืนหันหน้าพิงต้นตาลต้นหนึ่ง ร่างนั้นพิงตัวเเบบโดดเดี่ยวโงนเงน
เอาหน้าผากค้ำต้นตาล มือสองข้างเเนบลำตัว
ยืนนิ่งเเทบจะทำมุม 45 องศากับต้นตาลเลยค่ะ
เรามือเย็นเจี๊ยบ จำได้เลยเพราะวันนั้นถือกระป๋องโค๊กไว้ โค๊กไม่เย็นนะ เเต่มือเราเย็นจนเเข็งชาเลย
เราเอื้อมมือจะไปสะกิดเเขนพ่อ เเต่พ่อเรารีบทำเสียงในลำคอ "แฮ่ม!"
เราก็หันมองพ่อ พ่อเหลือบมองเราด้วยหางตาเเล้วส่ายหน้าเป็นเชิงว่าอย่าทัก
เเล้วพ่อก็ตีหน้านิ่งขับผ่านคนๆนั้นไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนั้นเราก็เป่าปากโล่งใจว่าคงไม่มีอะไรเเล้ว เเต่คิดผิดค่ะ
พอพ้นเขตวัดผ่านบ้าน อบต.ทีนี้เราได้ยินเสียงตบหลังรถดัง ปั้กๆๆๆๆๆๆ!!!!
ตบรัวมาก! เรามองพ่ออีกครั้ง พ่อก็ยังนิ่ง (ตอนนั้นยอมรับว่าพ่อโคตรเท่)
เเล้วอยู่ๆรถก็วูบไถลไปทางป่ามะพร้าว คือยืนยันได้ว่าตอนนั้นพ่อเราไม่ได้หลับใน ไม่ได้ดื่มเหล้าเเน่นอน
รถมันเหมือนโดนกระชากไปทางป่ามะพร้าวเเละดงตาลข้างทางนั้น
เเต่พ่อมีสติมาก รีบหักรถสะบัดท้ายเเฉลบอย่างเเรงจนพ้นแรงดึงประคองรถไว้ตรงกลางถนนได้
ท่ามกลางเสียงตบรถที่ดังไม่หยุด..........
ตอนนั้นเรากลัวจนน้ำตาคลอ พ่อเราตบกระจกมองหลังขึ้นก่อนจะถอดเเหวนหลวงปู่ทวดให้เราใส่
ตอนนั้นไม่มีคำสนทนาระหว่างเรากับพ่อเลยค่ะ ใช้ซิกส์กันล้วนๆ
เราเลยใส่เเหวนพ่อค่ะ อธิษฐานในใจเทวดาองค์ไหนรู้จักเอาอัญเชิญมาหมด
พ่อเเก้วเเม่เเก้ว เเม่ย่านาง ท้าวเวศสุวรรณ ขอช่วยคุ้มครองหนูกับป๊า (เราเรียกพ่อว่าป๊า)
ให้กลับบ้านปลอดภัยพ้นจากสิ่งชั่วร้ายรบกวนด้วยเถิด
ซึ่งทันทีที่อธิษฐานจบ เสียงเคาะเงียบลง ตัดสินใจมองไปหน้ารถอีกที
รถก็เลี้ยวเข้ามาถึงทางท้ายหมู่บ้านเราเเล้ว
พ่อรีบเหยียบมิดตรงดิ่งจนมาถึงบ้านในที่สุด ซึ่งพอมาเขตบ้านก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเเล้ว
เพราะที่บ้านเเละข้างๆบ้านยังเปิดไฟกันอยู่เลย (ข้างบ้านนั่งกินเหล้ากัน)
พอมาถึงบ้านพ่อรีบสั่งให้เราล้างมือล้างเท้าก่อนเข้าบ้าน เเละพากันเข้าบ้านปิดบ้านล็อกเรียบร้อย
เราก็ทั้งกลัวทั้งเพลียทั้งโล่ง เลยอาบน้ำนอน
เช้ามาเราเลยมานั่งคุยเรื่องนี้กับพ่อระหว่างที่พ่อขับรถไปส่งที่ไปมหาลัย
พ่อเล่าให้ฟังว่าตอนที่เราเห็นคนยืนพิงต้นตาล พ่อก็เห็น เลยรีบทำเสียงห้ามตอนเราสะกิด
เพราะความเชื่อมีมาตั้งเเต่โบราณว่าเห็นสิ่งใดผิดปกติเวลากลางคืนห้ามทัก
พ่อไม่ค่อยกลัวเพราะพ่อเคยบวชเรียนมาเเล้ว นอนกุฏิฝาโลงมาตั้งหลายพรรษา
เเล้วเราก็ถามพ่อว่าทำไมตอนที่พ่อหักรถกลับพ่อถึงตบกระจกขึ้น
พ่อบอกด้วยเสียงเจือหัวเราะว่า
"ก็ไอ้ห่_ที่ยืนพิงต้นตาลนั่นมันวิ่งตามรถเรามานะสิ ตบหลังรถเราด้วย...."
หลังจากนั้นพ่อก็พ่อเหอะ ผ่านเส้นบางพลูทีไรพ่อจะเหยียบเลยวิ่งไปโซนบางใหญ่เเละยูเทิร์นกลับเส้นจันทร์ทองเอี่ยม
ที่มีไฟสว่างจากโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าเเทน โดยมีข้ออ้างเเมนๆว่า
"อ่อ เผื่อดึกๆหิวจะได้หาไรกินเเถวนั้นได้ ร้านโต้รุ่งมียันสว่าง"
นี่ละค่ะประสบการณ์หลอนยามวิกาลของเรา
เพื่อนๆคนไหนมีประสบการณ์ความน่ากลัวในยามกลางคืนมาเเชร์กันค่ะ